พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1227 ที่สูงพ่ายแพ้ความหนาว
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ในที่สุดเหมียวอี้ที่แสดงละครก็ลุกขึ้นแล้ว
คนกลุ่มหนึ่งเหาะมาถึงนอกท้องฟ้าของดาวรอง กำลังสังเกตดาวรองที่อยู่ตรงหน้า หมอกเลือดที่อยู่บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงหายไปหมดแล้ว ส่วนหมอกเลือดที่อยู่บนดาวรองก็เหมือนจะลดลงครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เหมียวอี้เอามือลูบคางครุ่นคิดขณะจ้องมองดาวรอง กำลังครุ่นคิดว่าประโยค ‘ที่สูงพ่ายแพ้ความหนาว’ บนแผนที่ซ่อนสมบัติหมายความว่าอะไร จากประสบการณ์ค้นหาสมบัติที่ผ่านมา ประโยคนี้น่าจะซ่อนกุญแจสำคัญในการตามหาจุดซ่อนสมบัติเอาไว้…
“หมอกโฉมงามอาภัพที่อยู่บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงหายไปหมดแล้ว ทำไมหมอกที่อยู่บนดาวรองยังไม่สลายหายไปอีก?” เมิ่งหรูที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถาม
ข้าก็ยังอยากจะถามเจ้าอยู่เลย แต่เจ้ามาถามข้างั้นเหรอ? เหมียวอี้ส่ายหน้าตอบว่า “ตอนนี้ยังตอบได้ไม่ชัดเจน รอดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ สายตาก็กวาดไปเจอบนภูเขาทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่โผล่ขึ้นมาจากหมอกเลือด ในใจเกิดความคิดบางอย่างทันที เขาขยับตัวเหาะขึ้นฟ้า เริ่มเหาะอ้อมสำรวจค้นหาที่ท้องฟ้ารอบดาวรอง
คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเขาค้นพบอะไร กลุ่มคนได้แต่เหาะตามอยู่ข้างหลังเขา
หลังจากวนอ้อมดาวรองไปหลายรอบ จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยุดอยู่ที่เดิม จ้องมองยอดเขาสีดำขลับด้านล่างลูกหนึ่งที่สูงตระหง่านโดดเด่นที่สุด เขาเงียบไปครู่เดียว ก่อนจะชี้ถามว่า “นี่คือภูเขาที่สูงที่สุดบนดาวรองใช่รึเปล่า?”
หลังจากพิจารณาดูนิดหน่อย เมิ่งหรูก็ตอบอย่างไม่แน่ใจว่า “เมื่อหลายปีก่อน ตอนยังไม่ได้วางค่ายกล ภูเขาลูกนี้สูงที่สุดบนดาวเคราะห์ดวงนี้จริงๆ ในปีนั้นบนภูเขาปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน แต่ตั้งแต่ไหล่เขาลงมาเขียวชอุ่ม ไม่ได้เป็นสีดำเหมือนในตอนนี้ ทำไมเหรอ? เจ้ารู้สึกว่าประมุขขุนพลทั้งหกโดนขังอยู่บนภูเขาลูกนี้เหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก” เหมียวอี้ส่ายหน้า แล้วถอนหายใจบอกอีกว่า “ก่อนหน้านี้ขุนพลใหญ่บอกไว้ว่าบนดาวรองมีค่ายกลโจมตีที่ร้ายกาจที่สุด ค่ายกลที่เชื่อมโยงกันบนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงถูกกำจัดไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าค่ายกลโจมตีที่อยู่บนดาวรองจะยังอยู่หรือเปล่า? วรยุทธ์ของข้ามีจำกัด ไม่สะดวกจะไปตรวจดู แต่ถ้าข้าไม่ลงไปสำรวจดูสถานที่จริง ก็ไม่มีทางหาจุดที่ประมุขขุนพลทั้งหกโดนขังพบได้เลย”
เมิ่งหรูเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ เขาอยากจะให้คนไปสำรวจเส้นทาง จึงหันกลับมาสั่งทันทีว่า “ลงไปลองดูสักคน”
ฝ่ายนี้ให้ยอดฝีมือระดับบงกชกลายเคลื่อนไหวทันที พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศของดาวรองออกไปสำรวจ
กลุ่มคนที่อยู่ในท้องฟ้าด้านนอกต่างก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องมองคนคนนั้น เห็นเพียงนักพรตคนนั้นเหาะไปทั่วอยู่บนดาวรอง สุดท้ายก็เหยียบลงบนภูเขาลูกนั้น ถึงขั้นกำหมัดทุบด้วย ทำให้ยอดเขาที่อยู่ใต้เท้าพังทลายแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีปฏิกิริยาอะไร
ผ่านไปไม่นาน นักพรตคนนั้นก็เหาะกลับ กุมหมัดคารวะเมิ่งหรู “ขุนพลใหญ่ ค่ายกลโจมตีบนดาวรองหายไปแล้ว”
เมิ่งหรูมองไปที่เหมียวอี้พร้อมบอกว่า “สงสัยค่ายกลที่เชื่อมโยงกันนั่นจะโดนเจ้าทำลายสิ้นซากแล้ว เหลือแค่ ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ข้างล่างที่ยังจัดการได้ยาก ยังต้องรบกวนให้เจ้าลงมืออีกครั้ง”
“ก็ได้! พวกท่านรออยู่ตรงนี้ก่อน อย่ามารบกวนข้า ให้เวลาข้าสักหลายๆ วัน ให้ข้าได้ตั้งใจตรวจดูให้ดี ครุ่นคิดให้ละเอียดสักหน่อย” หลังจากเหมียวอี้พูดทิ้งท้าย ก็ไม่ได้พาพวกอวิ๋นอ้าวเทียนไปด้วย เขาเหาะลงไปข้างล่างเพียงลำพัง
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนสบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกกระตุกวูบในหัวใจทันที กังวลนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะขังพวกเขาไว้แล้วเข้าไปซ่อนใน ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ คนเดียว ถึงอย่างไรก็รู้สึกว่าเจ้าเวรอย่างเหมียวอี้ไม่ใช่คนดีอะไร
และเมื่อมีความสำเร็จในการทำลายค่ายกลที่เชื่อมโยงกันก่อนหน้านี้ กลุ่มโจรกบฏจึงไม่ได้มีความเห็นแย้งอะไร ปล่อยเหมียวอี้ไปคนเดียวอย่างที่คาดไว้ ไม่ได้ตามไปอีก
ภายใต้การจับตาดูจากดวงตาอิทธิฤทธิ์ของกลุ่มคน เหมียวอี้ไปเหยียบลงบนยอดเขาที่สูงทีสุด แล้วหันตัวเดินอย่างเนิบนาบ ทอดสายตามองภูเขาหลายลูกที่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆสีเลือด ปากแอบพึมพำว่า “ที่สูงพ่ายแพ้ความหนาว ไม่รู้ว่าใช่ที่นี่หรือเปล่า…”
เขาเงยหน้ามองสีของท้องฟ้า จากการคำนวณเวลาของที่นี่ ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาบ่ายแล้ว ถ้าอยากจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตัวเองเดาถูกหรือไม่ ก็ต้องรอให้ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกันตอนเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้
อาศัยช่วงเวลานี้ เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินช้าๆ อยู่บนยอดเขา สำรวจการวางหมากของยอดเขาจากไกลมาใกล้ รอให้ถึงเวลาฟ้าสางวันพรุ่งนี้เช้า
กลุ่มคนที่กำลังใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองจากท้องฟ้าด้านนอกไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร แต่มองออกว่าเหมียวอี้กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากเหมียวอี้ กอปรกับเหมียวอี้ไม่ได้เพ่นพ่านไปทั่ว จึงไม่มีใครลงมารบกวนเหมียวอี้ กลุ่มคนได้แต่มองดูอยู่ที่ท้องฟ้าด้านนอก
เหมียวอี้เหมือนจะ ‘ครุ่นคิด’ แล้วหนึ่งคืน กลุ่มคนที่อยู่บนท้องฟ้าด้านนอกก็รอเขาเป็นเวลาหนึ่งคืนเช่นกัน
ตัวอยู่บนยอดเขา วันต่อมาตอนที่แสงสีทองปรากฏตรงเส้นขอบฟ้า เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่บนยอดเขาทั้งคืนก็หยุดอยู่ตรงตำแหน่งกลางยอดเขาแล้ว เขาลอยขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ ขณะที่ลอยขึ้นเขาก็รีบสำรวจรอบๆ อย่างรวดเดียว แอบจดจจำตำแหน่งยอดเขารอบๆ ที่อยู่เหนือทะเลเมฆสีเลือดเอาไว้
ถ้าไม่จดจำไว้ล่วงหน้าก็คงไม่ได้ บนฟ้ามีคนมากมายกำลังดูอยู่ เขาไม่สะดวกจะหยุดอยู่บนตำแหน่งสูงหกพันจั้งบนท้องฟ้านาน ไม่อย่างนั้นจะโดนสงสัยได้ ถ้าจุดซ่อนสมบัติตรงกับการตัดสินของตัวเองขึ้นมา ก็ต้องรีบระบุตำแหน่งให้เร็วไว จะหยุดอยู่กับที่นานๆ ไม่ได้
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการวินิจฉัยของเขาไม่ผิด ‘ที่สูงพ่ายแพ้ความหนาว’ ก็หมายถึงยอดเขาที่สูงที่สุดของดาวเคราะห์ดวงนี้
ตอนที่ลอยขึ้นบนฟ้าสูงหกพันจั้ง ภายใต้เค้าโครงเงาของยอดเขาที่ถูกแสงสีทองสาดส่อง ภาพขนาดใหญ่ที่งดงามอลังการก็ปรากฏอยู่บนทะเลเมฆสีเลือด สตรีทะยานฟ้าที่ทำให้เหมียวอี้แอบดีใจโผล่ออกมาแล้ว กำลังทำท่ากางแขนอรชรอ้อนแอ้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ถ้าจะบอกว่าตอนอยู่ที่ปราสาทดำเนินเซียนเห็นสตรีทะยานฟ้าสวมชุดกระโปรงสีขาว เช่นนั้นสตรีทะยานฟ้าของที่นี่ก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีแดงทั้งตัว ในจุดซ่อนสมบัติที่ต่างกัน ราวกับเปลี่ยนชุดที่แตกต่างกันให้สตรีทะยานฟ้าแล้ว การวางหมากแบบนี้ช่างทำให้คนรู้สึกทึ่งจริงๆ
ตลอดทางที่เหมียวอี้เคยค้นหาสมบัติมา จุดซ่อนสมบัติที่ประมุขไป๋จัดไว้มีบางที่ที่หยาบไปบ้าง เหมือนจะทำไปด้วยความรีบร้อน ยกตัวอย่างเช่นบนภาพดาวที่อยู่บนแผนที่ซ่อนสมบัติ อีกฝ่ายไม่ได้ใช้ความพยายามสักเท่าไรเลย ไม่ได้วาดภาพดาวที่มากมายหนาแน่นลงไปจนครบด้วย แต่สิ่งเดียวที่จะทำอย่างลวกๆ ไม่ได้นั่นก็คือภาพของสตรีทะยานฟ้า มีเพียงภาพสตรีทะยานฟ้าที่วาดได้งดงามประณีตที่สุด จะเห็นได้ว่าประมุขไป๋ตกหลุมรักสตรีทะยานฟ้าท่านนี้อย่างไร
ว่ากันตามจริง เหมียวอี้อยากจะรู้จริงๆ ว่าประมุขไป๋ท่านนั้นเป็นคนอย่างไร ไม่รู้ว่ามีกิริยาท่าทางสง่าระดับไหน อย่างน้อยเมื่อดูจากการวางแผนที่เป็นขั้นเป็นตอนต่อเนื่องกัน ก็รู้แล้วว่าประมุขไป๋เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานแน่นอน ทั้งยังวางแผนได้ล้ำลึกด้วย
สิ่งนี้ทำลายความมั่นใจของเหมียวอี้นิดหน่อย ขนาดตัวละครอย่างประมุขไป๋ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขชิงและประมุขพุทธะเลย บุคคลที่จะได้ครอบครองใต้หล้าล้วนต้องมองโลกด้วยความหยิ่งสโยแบบนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่า?
เมื่อเทียบตัวเองกับอีกฝ่ายแล้ว เหมียวอี้ทำได้เพียงแอบยิ้มอย่างขมขื่น ตัวเองเทียบไม่ติดเลย หวังว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาขี้เหร่กว่าตนสักหน่อยก็แล้วกัน! ในเมื่อความสามารถสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ขอแค่หน้าตาดีกว่าก็ยังดี
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดอะไรเยอะแยะ สายตาของเหมียวอี้รีบมองตามตำแหน่งแขนที่รองถือของของสตรีทะยานฟ้า ตรงนั้นมียอดเขาห้าลูกเรียงรายเป็นรูปวงกลม ตรงกลางที่โดนล้อมรอบเป็นสีขาว
เหมียวอี้รีบจดจำตำแหน่งไว้ในสมอง หลังจากทั้งตัวเหาะขึ้นสูงอีกระดับ จู่ๆ เขาก็รีบเหาะไปยังทิศทางตรงกันข้ามอย่างรวดเร็ว ไปเหยียบอยู่บนยอดเขาที่ไม่เกี่ยวข้องกันแล้วมองสำรวจไปรอบๆ
พอเหยียบลงบนเขาลูกนี้แล้วก็ไปเหยียบบนเขาอีกลูกแล้วมองสำรวจ เขาหยุดอยู่ที่ภูเขาแต่ละลูกเป็นเวลาหนึ่งวัน แทบจะวนครบทั้งดาวเคราะห์หนึ่งรอบแล้ว เขาเหยียบลงบนภูเขาหลายสิบลูก ใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนเต็มเพื่อทำให้โจรกบฏสับสน
เขาดันทำท่าทางเหมือนค้นพบอะไรบางอย่าง ทำให้กลุ่มโจรกบฏไม่กล้ารบกวนเขา ทำได้เพียงติดตามเขาอยู่ที่ท้องฟ้าด้านนอก
กลับเป็นพวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย ฉงนใจว่าเหมียวอี้มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เหมียวอี้เหาะพุ่งฝ่าท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ออกมาจากดาวเสริม เมิ่งหรูรีบเข้ามาถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“มีเบาะแสแล้วนิดหน่อย สามารถลองดูได้” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าลังเล
เมิ่งหรูจึงกล่าวว่า “ต้องระวังให้ดีนะ อย่าฝืนดันทุรัง ประมุขไป๋บอกว่าเขาเตรียมแผนสำรองไว้ ถ้าฝืนดันทุรังจะส่งผลต่อชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหก ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดกับประมุขขุนพลทั้งหก พวกเจ้าก็จะคิดว่าจะได้มีชีวิตต่อไป”
“รู้แล้ว!” เหมียวอี้หันกลับมาเรียกพวกอวิ๋นอ้าวเทียน “พวกเจ้าตามข้ามา พวกเราร่วมมือกันทดลองดูหน่อย”
ต้องแสดงละครให้ความร่วมมือเจ้าอีกแล้วเหรอ? ทั้งห้าโล่งอกนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าเหมียวอี้จะหนีไปคนเดียว
พวกโจรกบฏไม่ได้ขัดขวาง ทั้งหกคนพุ่งเข้าไปในดาวรองด้วยกัน ตอนที่เข้าใกล้หมอกสีเลือด ทั้งห้าให้เหมียวอี้เป็นจุดศูนย์กลางอีกครั้ง หันหลังให้พลางร่ายอิทธิฤทธิ์ สายฟ้ากะพริบอยู่ท่ามกลางปราณปีศาจมารผี ชนเข้าไปในหมอกเลือดแล้ว ทั้งหกคนหายไปพร้อมกัน
เมิ่งหรูมองซ้ายมองขวาพร้อมบอกว่า “เหมียวอี้รีบอยากเก็บสมุนไพรเซียนซิงหัวหมายความว่าอะไร? พวกเจ้าว่าถ้าเจ้าหนุ่มนั่นเจอประมุขขุนพลทั้งหกแล้ว จะเอาชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหกมากดดันมั้ย?”
“ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้าจะทำแบบนี้หรือเปล่า? ถ้าข้าเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เพื่อที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง ข้าจะต้องเอาประมุขขุนพลทั้งหกมาป้องป้องตัวเองแน่นอน” สืออวิ๋นเปียนกล่าว
เมิ่งหรูบอกว่า “ข้าแค่สงสัยนิดหน่อย ถ้าหกคนนั้นคือคนที่ประมุขไป๋ส่งมาทำลายค่ายกลจริงๆ ทำไมไม่ตรงไปตรงมาสักหน่อยนะ? ถ้าจะบอกว่าหกคนนี้ไม่ใช่คนที่ประมุขไป๋ส่งมา ข้าก็ไม่เชื่อหรอก คิดว่าใครก็ทำลายค่ายกลที่ประมุขไป๋วางไว้ได้เหรอ ถ้าเจ้าหนุ่มนี่เอาประมุขขุนพลทั้งหกมาทำเป็นทางหนีทีไล่จริงๆ งั้นข้าก็คิดไม่ตกแล้ว”
จ่างหงบอกว่า “จะเอาชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหกมากดดันหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือพวกเขาอยากจะมีชีวิตรอด ตราบใดที่พวกเขาอยากมีชีวิตรอด พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรประมุขขุนพลทั้งหกอยู่ดี นอกเสียจากพวกเขาจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ขอเพียงสามารถช่วยชีวิตประมุขขุนพลทั้งหกออกมาได้ ถ้าโดนพวกเขากดดัน จะปล่อยให้พวกเขารอดชีวิตไปสักครั้งก็ไม่เป็นอะไร มิหนำซ้ำประมุขขุนพลทั้งหกก็ยินดีถูกประมุขไป๋ควบคุม แสดงว่าประมุขไป๋ต้องพูดอะไรที่ทำลายความเคลือบแคลงสงสัยของประมุขขุนพลแน่นอน ตราบใดที่พวกเราทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประมุขไป๋ แผนที่ประมุขไป๋วางไว้ก็จะไม่เกิดอันตรายต่อชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหกแน่นอน แล้วอีกอย่าง ถ้าคนที่ประมุขไป๋กำหนดให้มาทำลายค่ายกลฆ่าประมุขขุนพลทั้งหกแล้ว จากนั้นพวกเราฆ่าผู้ที่มาทำลายค่ายกลอีก แล้วแผนที่ประมุขไป๋วางไว้จะยังมีความหมายอะไรล่ะ? ถ้าต้องการจะฆ่าประมุขขุนพลทั้งหกจริงๆ ประมุขไป๋ก็สามารถลงมือเองได้เลย ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมมากขนาดนี้ ดังนั้นพวกเจ้าวางใจเถอะ ตราบใครที่คนพวกนี้คือคนที่ประมุขไป๋กำหนดไว้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องประมุขขุนพลทั้งหกเลย!”
“อืม! ที่พูดก็มีเหตุผล!” คนที่เหลือได้ฟังแล้วพยักหน้า ต่างก็คิดว่าสิ่งที่จ่างหงพูดมีเหตุผล
แต่เมิ่งหรูก็ยังส่ายหน้าเล็กน้อย “อย่างไรเสียประมุขไป๋ก็ตกอยู่ในมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะแล้ว จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่มีใครรู้ กลัวก็แต่เจ้าพวกนั้นจะเป็นสายลับที่โจรกบฏส่งมา”
“คิดมากไปแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับประมุขไป๋จริงๆ เกรงว่าทัพใหญ่ของโจรกบฏคงจะมาล้อมโจมตีนรกตั้งนานแล้ว มีหรือที่จะทำอะไรมากขนาดนี้ เรื่องราวเบื้องลึกในนั้น เกรงว่าประมุขขุนพลทั้งหกจะรู้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นคงไม่สมัครใจโดนควบคุม รอให้ประมุขขุนพลทั้งหกออกมาได้ก่อนแล้วค่อยถามรายละเอียดก็ได้ ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าพวกนั้นจะช่วยชีวิตประมุขขุนพลทั้งหกออกมาได้อย่างราบรื่น” จ่างหงกล่าว
“ระวังไว้จะได้ไม่ผิดพลาดมาก!” เหลิ่งจัวฉุนหันกลับมาสั่งลูกน้องตัวเองว่า “วางค่ายกลล้อมดาวรองเอาว้ ตัดขาดการเชื่อมต่อของระฆังดารากับภายนอก”
“รับทราบ!” มีคนเหาะไประดมพลมาช่วยกันวางค่ายกลทันที
เหมียวอี้ในตอนนี้กำลังเหาะอย่างรวดเร็วเพียงลำพังภายใต้หมอกสีเลือด บางครั้งก็ใช้ตาทิพย์แยกแยะทิศทาง รีบไปยังตำแหน่งที่ตัวเองจดจำไว้ให้หัวอย่างรวดเร็ว
…………………………