พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1229 ตื่นตระหนกกับความเปลี่ยนแปลง
ถ้าในตอนนี้เหมียวอี้อยู่ข้างโลงศพแดงหกโลงและได้เห็นวัตถุไร้รูปร่างนั่น เขาจะต้องรู้จักแน่นอน คนอื่นอาจจะไม่รู้จัก แต่ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จัก
และยิ่งไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก ทั้งดาวรองมีลมพัดจนเมฆไหลทะลัก หมอกเลือดม้วนตัวไม่หยุดนิ่ง กำลังสลายหายไปอย่างช้าๆ
ในดาราจักร ขุนพลหกลัทธิมองความเปลี่ยนแปลงบนดาวรองด้วยสีหน้าฮึกเหิม
เมิ่งหรูกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “สงสัยเจ้าเหมียวอี้นั่นจะหาจุดที่ขังประมุขขุนพลหกท่านเจอแล้ว”
เหลิ่งจัวฉุนพยักหน้า “ถ้าสิ่งที่ประมุขไป๋บอกคือความจริง คาดว่าเวลาที่ประมุขขุนพลหกท่านจะหลุดพ้นคงมาถึงแล้ว!”
แววตาที่ตื่นเต้นหวั่นไหวหลายคู่กำลังมองดาวรองที่อยู่ตรงหน้า ต้องทราบไว้ว่าสิ่งที่ประมุขไป๋พูดในปีนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่ประมุขขุนพลหกท่านจะหลุดพ้นเท่านั้น ทั้งยังเกี่ยวข้องกับอนาคตของพวกเขาด้วย…
เหมียวอี้ถอยหลังอย่างช้าๆ ตอนที่เพิ่งจะถอยออกจากห้องศิลา ตรงหน้าก็มีเสียงดังโครม ทั้งห้องศิลาถล่มลงมา มีฝุ่นตลบอบอวลอยู่ตรงหน้าเขา
พอสะบัดแขนเสื้อกวาดฝุ่นที่ตลบฟุ้งออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับมามองโลงศพแดงหกโลงที่วางอยู่กลางพื้นที่ว่างใต้ดิน เมื่อไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวอะไร เขาก็หันตัวไปอีกด้าน มองข้ามห้องศิลาที่ถล่มอยู่ข้างหลัง เดินกลับไปไม่กี่ก้าว แล้วเปิดกล่องที่อยู่ในมือออก
เมื่อเห็นของที่อยู่ข้างในก็ตกตะลึงอีกครั้ง เพราะไม่เหมือนกับหลายครั้งก่อนหน้านี้ ครั้งนี้ในกล่องมีแผ่นหยกสามแผ่นและลูกกลมโลหะสองลูก โดยลูกหนึ่งสีแดงและลูกหนึ่งสีดำ ลูกกลมโลหะลูกหนึ่งและแผ่นหยกแผ่นหนึ่งที่ไม่เหมือนกับที่เคยเจอ
เขาหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาอ่านดู ด้านบนของเคล็ดวิชาฝึกตนที่ยั้วเยี้ยหนาแน่นมีตัวอักษรเขียนว่า : เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง ดิน!
ส่วนแผ่นหยกอีกสองแผ่นก็คือ…ในหัวเหมียวอี้มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา รีบเปลี่ยนหยิบอีกแผ่นออกมาดู ด้านบนมีตัวอักษรเขียนว่า : มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ ดิน!
เหมียวอี้ตื่นเต้นร้อนใจทันที รีบหยิบแผ่นที่สามขึ้นมาดูอีก เป็นเคล็ดวิชาฝึกตนเช่นเดียวกัน ด้านบนเขียนไว้ว่า : หฤทัยสูตรสุขาวดี ดิน!
ภาคดินของสามเคล็ดวิชา เคล็ดวิชาภาคดินของสามในหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ที่นี่ทั้งหมดเลย!
เหมียวอี้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ภาคดินของหกเคล็ดวิชาพิเศษมีครบในรวดเดียวแล้ว พอเป็นแบบนี้ การเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ก็คุ้มค่าเหมือนกัน พียงแต่พอเป็นแบบนี้ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะขาดแหล่งแสวงหาความร่ำรวยไปแล้วสองแห่ง
เดิมทีเขาคาดเดาไว้ว่า จะสามารถร่ำรวยจนพอหาเลี้ยงครอบครัวได้ในทุกจุดที่หาสมบัติพบ ตอนนี้ได้มาครบในรวดเดียวแล้ว กลับทำให้เขาผิดหวังนิดหน่อย
“เอ๋!” เหมียวอี้ทำเสียงประหลาดใจ สายตาไปหยุดอยู่บนลูกกลมโลหะสองลูก และอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า หาหกเคล็ดวิชาพิเศษภาคดินครอบแล้ว ทำไมยังมีลูกกลมโลหะอีก หรือว่า…
เขาวางแผ่นหยกลง คว้าลูกกลมโลหะสีดำมาไว้ในมือ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นตามประสบการณ์ที่เคยทำ ลูกกลมสีดำแผ่ออกทันที กลายเป็นแผนที่โลหะฉบับหนึ่ง
สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือภาพสตรีทะยานฟ้า ด้านข้างมีตัวอักษรสองแถว : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!
เขาไม่อ่านแผนที่ดาวที่อยู่ข้างๆ สิ่งนั้นไม่สามารถอ่านออกได้ในช่วงเวลาสั้นๆ สายตาตรงไปอยู่บนตัวอักษรด้านบนแผนที่ดาวโดยตรง : มาร ฟ้า!
ว่าแล้วเชียว! เหมียวอี้แอบอุทานในใจ ในมือประมุขไป๋ยังมีภาคฟ้าของหกเคล็ดวิชาพิเศษด้วย!
ถ้าหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาพฟ้าพบแล้วมอบให้อวิ๋นจือชิว รอจนกระทั่งอวิ๋นจือชิวฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานจนครบสมบูรณ์ ก็จินตนาการพลังความสามารถได้ไม่ยากแล้ว บนโลกนี้คนที่สามารถทำให้อวิ๋นจือชิวเจ็บตัวได้ เกรงว่าคงมีจะมีน้อยจนนับนิ้วได้เลย
ถ้ายังมีภาคฟ้าของเคล็ดวิชาอื่นๆ อีก ก็จะทำให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษอย่างสมบูรณ์ได้ รอให้คนกลุ่มนี้วรยุทธ์สูงขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นศักยภาพของคนฝ่ายตัวเองก็ทำให้ไม่มีใครมาแตะต้องได้อีกแล้ว
แผ่นที่โลหะในมือหดลง เขาหยิบลูกกลมโลหะสีแดงอีกลูกขึ้นมาอีก ต้องการจะร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นให้เปิดออก แต่เคล็ดวิชาฝึกตนกลับถูกดูดเข้าไปอย่างฉับพลัน ข้างในปรากฏแผนที่ดาวสี่ภาพ ระบุพิกัดของประตูดวงดาวเอาไว้สี่แห่ง
“ของนี่คืออะไร…” เหมียวอี้พึมพำอย่างแปลกใจ อ่านสถานการณ์ไม่ออก
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาศึกษาอย่างละเอียด กลับไปยังมีโอกาสให้ค่อยๆ ตรวจสอบอีก แบ่งปันข่าวดีเรื่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ก่อนแล้วกัน ทำให้เหมียวฮูหยินดีใจสักหน่อยสิถึงจะถูก เหมียวอี้รีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับอวิ๋นจือชิว
ตอนไม่ติดต่อก็ยังไม่รู้ พอได้ติดต่อแล้วถึงได้รู้ว่าเกิดปัญหา ไม่น่าเชื่อว่าติดต่อไม่ได้ เหมือนดึงเชือกเส้นหนึ่งเอาไว้ แต่อีกด้านหนึ่งไม่มีของอะไร หรือพูดได้อีกอย่างว่าอีกด้านไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้มองไปรอบๆ อีกครั้ง อย่าบอกนะว่าที่นี่เหมือนกับค่ายกลมารโลหิตของปีศาจโลหิต ขัดขวางการติดต่อของระฆังดารากับโลกภายนอกได้ด้วย?
มีบางอย่างที่เขายังไม่รู้ นั่นก็คือภายนอกกลุ่มโจรกบฏไม่ได้ทำอะไรเขา แต่ความจริงเตรียมป้องกันเขาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ขุนพลหกลัทธิสั่งให้คนตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้ระฆังดาราบนดาวเคราะห์ดวงนี้ติดต่อกับโลกภายนอก ไม่ให้โอกาสพวกเขาเล่นอุบายอะไร และก่อนที่จะช่วยให้ประมุขขุนพลหกท่านหลุดพ้นออกมาได้ อีกฝ่ายก็ไม่กลั่นแกล้งพวกเขาเช่นกัน
เหมียวอี้ที่ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนทำได้เพียงหยุดติดต่อกับอวิ๋นจือชิวชั่วคราว เก็บสมบัติที่ได้มา แต่กันกลับไปมองห้องศิลาที่พังถล่ม ‘ทำลายศพกลบร่องรอย’ ไปแล้ว กลับทำให้เขาประหยัดแรงไม่ต้องทำลายหลักฐานอะไรอีก
พอโบกมือหนึ่งครั้ง พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็โผล่ออกมาจากกระเป๋าสัตว์ทันที
พอทั้งห้าคนเหยียบลงพื้น ก็ไม่มีคำถามอะไรเลยสักนิด สายตาไปหยุดอยู่ที่โลงศพหกโลงนั่น เมื่อเห็นฝาโลงศพตกลงพื้น ทั้งห้าคนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ รีบหันมองไปรอบๆ อย่างระวังตัว เหมือนกังวลนิดหน่อยว่าคนในโลงศพออกมาแล้วหรือยัง
ไม่เห็นว่ามีคนอื่น เห็นเพียงเหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนวางมาดอยู่ข้างๆ จีฮวนโบกมือชี้แล้วถามอย่างประหลาดใจสงสัยว่า “คนในนั้น…”
เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก ที่นี่ก็คือที่ขังประมุขขุนพลหกท่าน”
“คนในนั้นออกมาแล้วเหรอ?” จีฮวนถามอย่างระมัดระวัง
เหมียวอี้ส่ายหน้า “คิดมากไปแล้ว คนยังอยู่ในโลงศพ ถูกควบคุมไว้ ออกมาไม่ได้หรอก ตอนนี้พวกเรามาปรึกษากันเถอะว่าจะเอาหกคนนี้มาใช้ประโยชน์เพื่อออกจากที่นี่ยังไง”
ไม่มีใครตอบคำถามของเขา พอได้ยินว่าประมุขขุนพลหกท่านถูกควบคุมไว้ ทั้งห้าก็ถลันตัวไปอยู่ข้างโลงศพเพื่อดูสภาพในโลงศพทันที ความรู้สึกเหมือนกับเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ ต่างก็อยากเห็นว่าประมุขขุนพลหกท่านหน้าตาเป็นอย่างไร
“ผู้หญิงดูท่าทางยังเหมือนเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง เป็นนักพรตปีศาจ คงจะเป็นประมุขขุนพลลัทธิปีศาจ ปีศาจเฒ่า เจ้ามาดูสิ” ซือถูเซี่ยวบอกจีฮวนด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
จีฮวนเดินเข้ามายื่นศีรษะ เห็นสาวน้อยนอนอยู่ในโลงศพกำลังลืมตาที่กลมโตงดงาม เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายของหนุ่มสาว เพียงแต่ ‘ขลุ่ย’ ที่ตอกอยู่บนหน้าผากน่าตกใจไปหน่อย
ซือถูเซี่ยวพูดหยอกว่า “ปีศาจเฒ่า นางเบิกตากว้างแบบนั้น เหมือนกำลังจ้องเจ้าอยู่เลยนะ”
เบิกตากว้าง? เหมียวอี้กำลังเอามือลูบคางครุ่นคิดว่าจะหลุดออกจากที่นี่ได้อย่างไร พอได้ยินแบบนั้นก็อึ้งทันที เงยหน้าช้าๆ มองมา ถ้าเขาจำไม่ผิด หกคนที่อยู่ในโลงศพล้วนกำลังหลับตาไม่ใช่เหรอ หรือว่าตัวเองมองผิดไป?
พวกเขาเดินไปเดินมาระหว่างโลงศพหลายโลง มู่ฝานจวินจ้องชายชุดขาวผู้สง่างามดูมีความรู้ในโลงศพ ยื่นมือเข้าไปสำรวจในแขนเสื้อสองข้างของชายชุดขาว แล้วหันกลับมาถามเหมียวอี้ที่ยืนเหม่ออยู่ข้างๆ ว่า “เหมียวอี้ สมบัติที่อยู่บนตัวเขาถูกเจ้าค้นไปหมดแล้วใช่มั้ย?”
พอกล่าวคำนี้ออกมา คนอื่นๆ ก็ยื่นมือไปสำรวจคนในโลงศพเช่นกัน
ผ่านไปครู่เดียว ฉางเหลยก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว โดนเจ้าหนุ่มนี่ค้นไปหมดแล้วแน่นอน”
อวิ๋นอ้าวเทียนเก็บมือแล้วหันตัวมาจ้องเหมียวอี้ “เจ้าเด็กนี่ อย่าทำเกินไปนัก เจ้ารวยจนน้ำมันจะหยดอออกมาอยู่แล้ว ทุกคนมาที่นี่ด้วยกัน แต่เจ้าคนเดียวฮุบของไปหมดมันจะฟังไม่ขึ้นหรือเปล่า?” ความหมายที่จะสื่อก็คือ ‘ผู้ที่เห็นย่อมมีส่วนแบ่ง ต้องแบ่งให้สักส่วน’
“เจ้า…” มู่ฝานจวินที่หันกลับมามองในโลงศพอีกครั้งพลันสบตากับชายที่นอนอยู่ในโลงศพ นาอดไม่ได้ที่จะถอยหลัง นางจำได้ชัดเจนว่าเมื่อครู่ชายผู้สง่างามที่อยู่ในโลงศพหลับตาอยู่ ตอนนี้ทำไมลืมตาแล้วล่ะ?
ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน เห็นเพียงมู่ฝานจวินถอยหลังหลายก้าว ไม่รู้ว่ามู่ฝานจวินเห็นอะไรเข้า
หารู้ไม่ว่าสิ่งที่มู่ฝานจวินเห็นก็คือ ‘ขลุ่ย’ ขลุ่ยที่ปักอยู่บนหน้าอกของชายชุดขาวผู้สง่างามกำลังโผล่ออกมาทีละส่วน
ฉึก! ‘ขลุ่ย’ ด้ามนั้นพลันยิงออกมาจากโลงศพ แล้วตกลงพื้นเสียงดังแกร๊ง
ทั้งหกคนตกใจพร้อมกัน สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นยังอยู่ตอนหลัง เห็นเพียงในโลงศพที่มู่ฝานจวินกำลังเผชิญหน้าปรากฏคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่ง ตามติดด้วยคนที่ลอยขึ้นมาจากโลงศพอย่างช้าๆ ชายชุดขาวผู้สง่างามที่นอนราบค่อยๆ ลอยขึ้นมาแล้ว ลอยขึ้นมาหยุดอยู่กลางอากาศ
ขณะเดียวกันนี้เอง ก็มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมขึ้นมาจากโลงศพอีกห้าโลงเช่นกัน อวิ๋นอ้าวเทียน ฉางเหลย จีฮวน ซือถูเซี่ยว ทั้งสี่คนบ้างก็ก้มหน้ามองในโลงศพที่อยู่ตรงหน้า บ้างก็หันมองในโลงศพที่อยู่ข้างหลัง
ทั้งสี่คนสีหน้าเปลี่ยนพร้อมกัน แต่ละคนถอยหลังไปหลายก้าว ถลันตัวไปอยู่ข้างกายเหมียวอี้พร้อมกัน
ผ่านไปเร็วมาก ในโลงศพห้าโลง คนที่นอนอยู่ในโลงศพทยอยกันยืนขึ้นตัวตรง แต่ละคนกำลังยืนอยู่ในโลงศพ พร้อมกวาดสายตามองพวกเขา
มีเสียง ‘ฉีก’ ดังห้าครั้ง ‘ขลุ่ย’ ที่ปักอยู่บนร่างกายของทั้งห้าคนยิงขึ้นมาตกลงพื้น ชายชุดขาวที่ลอยอยู่กลางอากาศค่อยๆ พลิกร่างกายให้ตรง ชุดขาวพัดกระพือโดยไร้ลม กวาดมองทุกคนด้วยสายตาราบเรียบ
ฉางเหลยแอบดึงแขนเสื้อเหมียวเงียบ พลางถ่ายทอดเสียงถาม “เหมียวอี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน? เจ้าบอกไม่ใช่เหรอว่าพวกเขาโดนควบคุมไว้แล้ว?”
สายตาของคนอื่นๆ ก็มองไปที่เหมียวอี้เช่นกัน ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เล่นบ้าอะไร ทำเอาทุกคนอกสั่นขวัญแขวนไปหมด
เหมียวอี้จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องอะไร สงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองควรหรือไม่ควรเปิดฝาโลงศพออก แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก อาศัยโลงศพหกโลงนี้ขังหกท่านนี้ไว้ไม่ได้แน่นอน
สายตาของเขารีบเหลือบไปที่ทางปากทางเข้า มีความคิดอยากจะหนีหัวซุกหัวซุน แต่ไม่นานก็ล้มเลิกความคิดนี้ อยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ของหกลัทธิแบบนี้ พวกเขาจะหนีรอดได้อย่างไร
ขณะที่ในหัวมีความคิดจะเอาตัวรอด เรียกว่าเจอคนพูดภาษาคน เจอผีพูดภาษาผี เขากุมหมัดคารวะถามทันทีว่า “พวกเราได้รับคำสั่งจากขุนพลหกลัทธิให้มาช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกลัทธิ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสทั้งหกท่านคือประมุขขุนพลหกลัทธิหรือเปล่า?”
ใครจะคิดว่าสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดกระโปรงสีแดงจะกวาดตามองมา จ้องทั้งหกพร้อมถามอย่างเย็นเยียบว่า “ก่อนหน้านี้ใครค้นตัวพวกเรา?”
ตอนไม่เตือนก็ยังดีอยู่ พอเตือนแบบนี้ เหมียวอี้ก็แอบปาดเหงื่อในใจทันที อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้รู้สึกตัวมาตลอด? เหมือนตัวเองจะค้นตัวผู้หญิงคนนี้ทั้งข้างล่างข้างบนไปรอหบนึ่งแล้ว
ถามใจแล้วไม่รู้สึกผิด เขาสาบานได้ว่าตัวเองไม่ได้มีความคิดต่ำทรามแบบนั้น แต่คาดว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดแบบนี้แน่ เกรงว่าคงจะฆ่าตนในทันที แม้แต่โอกาสจะหนีก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนเริ่มวิตกกังวลแล้ว เมื่อครู่นี้พวกเขาก็เพิ่งจะค้นตัวหกคนที่อยู่ในโลงศพเหมือนกัน
ที่จริงพวกเขาก็แค่หิ้วแขนเสื้อหกคนที่อยู่ในโลงศพขึ้นมา จะดูว่ามีพวกกำไลเก็บสมบัติหรือไม่ เมื่อพบว่าไม่มีก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ ต่างก็คิดว่าสมบัติถูกเหมียวอี้ค้นเอาไปก่อนแล้ว ไม่ได้ค้นทั้งร่างกายของอีกฝ่ายเหมือนเหมียวอี้
…………………………