พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1230 หกประมุขขุนพลหลุดพ้นความลำบาก
ถึงแม้จะไม่ได้เสียมารยาทกับอีกฝ่ายเหมือนกับเหมียวอี้ แต่พอสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดกระโปรงทองกล่าวมาแบบนี้ คนที่เคยลูบคลำค้นหาในโลงศพก่อนหน้านี้ก็ต้องพากันอกสั่นขวัญแขวน
บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด!
มาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าถ้าจะจบเห่ไปพร้อมกับทุกคน ไม่สู้เหลืออะไรไว้บ้างดีกว่า
เขามองซ้ายมองขวา ถึงอย่างไรคนแก่ห้าคนนี้ก็ไม่รู้ว่าตนทำอะไรลงไป ก็เลยพูดทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียดจริงจังขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ข้าไม่เคยค้นนะ”
ไม่ได้พูดแค่ปากเท่านั้น พูดจบก็ออกห่างจากกลุ่มคนไปยืนอีกด้าน
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนรีบหันกลับไปมองเขา แต่ละคนแค้นจนกัดฟันกรอด พบว่าเจ้าเวรนี่ไร้คุณธรรมน้ำมิตรเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทุกคน
แต่ทั้งห้าคนล้วนไม่ใช่คนธรรมดา เป็นคนที่รู้จักชั่งน้ำหนักแยกแยะเมื่อถึงตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน ต่างก็รู้ว่าในเวลานี้ถ้าสามารถปกป้องได้สักคนก็ควรจะปกป้อง ถ้าสละชีวิตไปด้วยกันจะไม่คุ้มค่า ที่เหมียวอี้ทำแบบนี้ก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ว่าอะไรเหมียวอี้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางแน่ใจได้ว่าเหมียวอี้เคยค้นตัวอีกฝ่ายหรือเปล่า
สายตาของสตรีวัยกลางคนชุย้ายออกจากเหมียวอี้ ไปจ้องที่ทั้งห้าค้นพร้อมถามว่า “ใครเป็นคนเปิดฝาโลงศพแล้วค้นตัวข้า?”
“เป็นใครกันที่เปิดโลงศพที่ข้านอนอยู่?” สาวน้อยชุดชมพูก็ถามเสียงดังเช่นกัน
เมื่อผู้หญิงทั้งสองถามแบบนี้ ชายชุดขาวผู้สง่างามที่ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วก็ชายสามคนที่ยืนอยู่ในโลงศพก็พากันงุนงง มองไปที่ผู้หญิงสองคนนี้พร้อมกัน ในดวงตาฉายแววหยอกล้อแปลกๆ
พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนใครค้นตัว คาดว่าเรื่องแบบเดียวกันคงเกิดขึ้นกับตัวผู้หญิงสองคนนี้เหมือนกัน พวกผู้ชายโดนค้นตัวนิดหน่อยก็ไม่เป็นอะไร แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่าเมื่อผู้หญิงโดนค้นตัวจะเป็นอย่างไร
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนสบตากันแวบหนึ่ง พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามซักไซ้เรื่องค้นตัว คาดว่าคงมีใครบางคนมีความประพฤติมิชอบ
ห้าปราชญ์ด่าในใจแล้ว ไอ้เวรตะไลเหมียวอี้ทำเรื่องไม่ดี แต่กลับคิดจะยัดข้อหาใส่ร้ายพวกเขา เกือบจะตกหลุมพรางเจ้าเวรนี่แล้ว
ดังนั้น ทั้งห้าคนจึงถอยหลังหลายก้าวพร้อมกันทันที อยู่ให้ห่างจากเหมียวอี้สักหน่อย ทั้งยังชี้ไปที่เหมียวอี้พร้อมกันอย่างไม่เกรงใจด้วย
เหมียวอี้อ้าปากค้างยืนอยู่ที่เดิม นึกไม่ถึงว่าเวรกรรมจะตามสนองเร็วขนาดนี้ จึงรีบโบกมือบอกว่า “ฝาโลงศพข้าเป็นคนเปิดเอง แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นะ”
“ไม่ได้ทำอะไรเหรอ?” สตรีวัยกลางคนที่สวมชุดกระโปรงทองแทบจะมายืนตรงหน้าเหมียวอี้ในชั่วพริบตาเดียว นางก้าวมาข้างหน้าอย่างช้าๆ พร้อมสายตาเย็นยะเยือก กดดันจนเหมียวอี้ต้องก้าวถอยหลัง “ข้าก็ไม่ได้บอกนี่ว่าเจ้าทำอะไร ทำไมเจ้าเอาแต่เน้นย้ำว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรล่ะ เจ้ากินปูนร้อนท้องเหรอ?”
เหมียวอี้ที่ถอยหลังทีละห้าวแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว สงสัยหกคนที่อยู่ในโลงศพจะรู้ตัวอยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นคงไม่แน่ใจขนาดนี้ คาดว่าคงปิดบังไม่ได้แล้ว
สาวน้อยกระโปรงชมพูอีกคนหนึ่งดันถลันตัวมาอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ด้วย เข้ามากดดันพร้อมกันสตรีวัยกลางคน “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าไม่ได้ค้นเหรอ? เจ้าหมายความว่าพอเจ้าเปิดโลงศพแล้วไม่เคยค้นตัวพวกเราเหรอ?”
พอพวกอวิ๋นอ้าวเทียนเห็นแบบนี้ ในใจก็แอบโล่ง คาดว่าครั้งนี้เหมียวอี้คงจบเห่แล้วล่ะ จนใจที่ตรงนี้ไม่มีใครช่วยเขาได้แล้วเหมือนกัน
เหมียวอี้ที่หัวใจกระตุกวูบกวาดสายตามองคนในโลงอีกสี่คนที่ทำท่าเหมือนรอดูเอาสนุก ความคิดหลายอย่างแวบเข้ามาในหัวเร็วมาก พอหยุดก้าวถอยหลัง ก็กล่าวเสียงดังว่า “ขออนุญาตถามว่าทั้งหดท่านคือประมุขขุนพลหกลัทธิหรือเปล่า หรือว่าข้าช่วยชีวิตไว้ผิดคน? พวกท่านรู้ไว้นะว่าที่นี่ถูกทัพใหญ่หกลัทธิล้อมไว้แล้ว ถ้าพวกท่านกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ก็อย่าโทษว่าทัพใหญ่หกลัทธิของข้าไม่เกรงใจนะ!”
คำพูดนี้ได้ผลอย่างที่คาดไว้ ชายชุดขาวที่ลอยอยู่กลางอากาศถลันตัวมาขวางหน้าผู้หญิงสองคนที่มีท่าทางแข็งกร้าว หันตัวมายื่นมือขวาง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จินม่าน ลวี่เกอ ในเมื่อพวกเขาเข้ามาในนี้ได้ ถ้าพวกเจ้าไม่ได้มีอะไรเสียหายก็ช่างเถอะ การเสียศักดิ์ศรีส่วนตัวเป็นเรื่องเล็ก ความเป็นความตายของพี่น้องหกลัทธิเป็นเรื่องใหญ่ อย่าทรยศการเสียสละเลือดเนื้อของประมุขปราชญ์”
สตรีวัยกลางคนกับสาวน้อยชุดชมพูมองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาเคียดแค้นคันฟัน
ชายชุดขาวหันตัวมามองเหมียวอี้หัวจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วก็ยิ้มบางๆ ทันใดนั้นเอง เขาก็โบกแขนขึ้นฟาดฝ่ามือออกมาหนึ่งครั้ง
ชั่วพริบตานั้น พลังอิทธิฤทธิ์ที่ซัดสาดออกมาทำให้พวกเหมียวอี้กระเด็นออกไป
บึ้ม! ภูเขาสะท้านแผ่นดินสะเทือน ฝุ่นควันปลิวตลบอบอวล บนท้องฟ้าโดนโจมตีจนเป็นโพรงขนาดใหญ่ แสดงสว่างจากท้องฟ้าส่องเข้ามา ท้องฟ้าด้านบนสดใส
หกคนที่อยู่ในโลงศพเงยหน้ามองท้องฟ้า หลังจากแน่ใจแล้วว่าข้างนอกไม่มีอุปสรรค พวกเขาก็สะบัดแขนพร้อมกัน พุ่งตัวขึ้นท้องฟ้าไป ด้านนอกมีเสียงคำรามก้องท้องฟ้าดังขึ้นหกเสียง
หกคนที่อยู่ข้างในพากันร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดฝุ่นควันที่ตลบอบอวล
เหมียวอี้ตบหน้าอกตัวเอง เพิ่งจะรู้สึกโล่งใจ แต่กลับพบว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนพลันถลันตัวออกไป พุ่งไปที่โลงศพหกโลงนั่น
สายของมู่ฝานจวินผ่าออกมาสกัดขวาง แย่งโลงศพไปคนเดียวสามโลงศพ แต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้คว้าน้ำเหลวเช่นกัน มีบางคนแย่งตัวโลงได้ มีบางคนแย่งฝาโลงที่ตกอยู่บนพื้นได้
ห้าคนที่ได้ตักตวงอะไรได้บ้างมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา บางคนก็ได้เยอะ บางคนก็ได้น้อย ของบางอย่างถ้าจะเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงก็จะไม่ถือว่าเกินไป มิหนำซ้ำตัวอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้ามือไม่เร็วจนเสียเปรียบก็ทำได้แค่เสียเปรียบไป
เหมียวอี้ที่เพิ่งจะรู้ตัวกลับไม่ได้อะไรเลย เขาถลึงตาพร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “แย่งกันทำไม มีหกโลงพอดี ทุกคนแบ่งคนละโลงก็เท่าเทียมกันแล้ว”
อวิ๋นอ้าวเทียนแสยะยิ้ม “ตลกเหรอ! ตอนนี้เจ้ารู้จักความเท่าเทียมแล้วรึไง? สมุนไพรเซียนซิงหัวทั้งดาวเคราะห์อยู่ในมือเจ้าคนเดียว ทำไมเจ้าไม่บอกให้แบ่งเท่ากันบ้างล่ะ?”
“พวกเจ้าคิดมากไปแล้ว สมุนไพรเซียนซิงหัวทั้งดาวเคราะห์นี้ ที่จริงก็มีไม่กี่ต้นหรอก” เหมียวอี้หลอกลวงเพราะพวกเขาไม่เห็นจำนวน ถอนหายใจบอกว่า “แล้วอีกอย่างนะ มารเฒ่า หลานสาวท่านก็ใช้เงินมือเติบนะ กินของดี ใช้ของดี เลี้ยงหลานท่านไม่ง่ายเลยนะ! ท่านเป็นผู้ใหญ่แท้ๆ ไม่ละอายใจที่จะมาแย่งข้าเลยเหรอ? แล้วก็พวกเจ้าอีก ลูกสาวและลูกศิษย์ของพวกเจ้าก็ยัดใส่มือมาให้ข้าเลี้ยงแล้วนะ”
อวิ๋นอ้าวเทียนพูดดูถูกว่า “เมียเจ้าทำไมเจ้าไม่เลี้ยงเองล่ะ อย่าบอกนะว่าจะให้พวกเราเลี้ยง? เลี้ยงไม่ไหวแล้วจะแต่งงานเยอะขนาดนั้นทำไม?”
เหมียวอี้ไม่สบอารมณ์ทันที “จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้นะ ข้าเองก็ไม่เคยเลี้ยงพวกนางแบบอดอยากเหมือนกัน? ตอนที่พวกเจ้ายืมเงินทำไมไม่พูดแบบนี้บ้างล่ะ? แล้วอีกอย่างนะ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าทำลายค่ายกล พวกเจ้าจะได้เข้ามาเก็บของในนี้เหรอ?”
“เหมียวอี้ ของที่มีมูลค่าบนตัวประมุขขุนพลหกท่านอยู่ในมือเจ้าหมดแล้วใช่มั้ย?” จีฮวนถาม
“บนตัวพวกเขาไม่มีของอะไรเลย แม้แต่ขนสักเส้นข้าก็ไม่ได้” เหมียวอี้มีน้ำโหแล้ว
“เฮอะ!” จู่ๆ มู่ฝานจวินก็พูดแขวะ “จะได้ของมาหรือเปล่าพวกเราก็ไม่รู้หรอก แต่ในมือเจ้าจะต้องตักตวงผลประโยชน์ได้เยอะแน่ เหมียวอี้ ข้าดูไม่ออกจริงๆ เลยนะ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะต่ำช้าไร้ยางอายขนาดนี้!”
“ข้า…” เหมียวอี้แก้ตัวไม่พ้น
ฉางเหลยถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าว่านะ นี่มันเวลาไหนแล้ว พวกเจ้ายังจะเถียงกันเพราะของเล็กน้อยพวกนี้ไปทำไม หาทางเถอะว่าจะปลีกตัวออกไปอย่างไร”
อีกด้านด้านหนึ่ง หกคนที่อยู่ในโลงฝ่าพื้นดินออกมาและเงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามเสียงยาวพร้อมกัน เสียงดังจนเมฆสะเทือน
‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ที่อยู่บนดาวรองหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ท้องฟ้าและพื้นดินสว่างสดใส แสงอาทิตย์ส่องตามปกติ ผืนแผ่นดินที่ดำมืดจนเป็นถ่านกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
ในท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ กลุ่มโจรกบฏบุกเข้ามาแล้ว กำลังค้นหาไปทั่วทุกที่
หลังจากคนที่อยู่ค่อนข้างใกล้บริเวณนี้สังเกตได้ถึงเสียงคำรามยาว ก็รีบหันกลับไปตะโกนทันที “ขุนพลใหญ่ อยู่ตรงนี้!”
ผ่านไปไม่นาน กำลังพลกลุ่มใหญ่ก็เหาะเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมิ่งหรูและขุนพลหกลัทธิมาตรงหน้าเร็วมาก พอเห็นหกคนที่ยืนอยู่บนยอดเขาด้านล่างก็ดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง
พวกเมิ่งหรูเหยียบลงพื้น อยู่ตรงหน้าทั้งหกคนพร้อมกุมหมัดคารวะ “คารวะประมุขขุนพล!”
ทั้งหกคนพยักหน้าเล็กน้อย สายตากวาดมองกำลังพลกลุ่มใหญ่ที่ทยอยกันเหยียบลงที่ตีนเขา
หลังจากกำลังพลหลายแสนจัดทัพแล้ว เสียงคุกเข่าข้างเดียวก็ดังอย่างพร้อมเพรียง แล้วตะโกนเสียงดังว่า “คารวะประมุขขุนพล!”
เสียงนี้ดุจดั่งคลื่นน้ำขนาดใหญ่ สาดซัดไปทั่วฟ้าดิน สะเทือนจนพื้นดินที่เป็นเถ้าถ่านมีฝุ่นควันสีดำลอยตลบอบอวล
กระแสเสียงนี้ ทำให้พวกเหมียวอี้ที่กำลังแบ่งของกันอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินต้องเงยหน้าขึ้นมองที่ปากถ้ำด้านบน ทุกคนพูดไม่ออกแล้ว
ประมุขขุนพลหกท่านที่อยู่บนยอดเขาก้มมองทัพใหญ่ที่กำลังคารวะอยู่ที่ตีนเขา แต่ละคนทำสีหน้าซาบซึ้งและสับสน ยกมือบอกใบ้ให้ทุกคนยืนตรง
กำลังพลหลายแสนพลันลุกขึ้นอย่างเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง ชั่วพริบตาเดียวเสียงก็เงียบลง มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านเท่านั้น
หลังจากชายชุดขาวผู้สง่างามถอนหายใจยาว ก็ถามว่า “พวกเราหกคนถูกขังมานานกี่ปีแล้ว?”
ขุนพลหกลัทธิสบตากันแวบหนึ่ง เมิ่งหรูกุมหมัดตอบว่า “ตอบประมุขขุนพล เป็นเวลาหนึ่งแสนกว่าปีแล้วขอรับ”
“หนึ่งแสนกว่าปี…” ชายชุดขาวหลับตาลง พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ถามว่า “หกลัทธิยังมีกำลังพลเหลืออีกเท่าไร?”
เมิ่งหรูตอบว่า “ในปีนั้นตอนที่ประมุขขุนพลถอยทัพชั่วคราว ประมุขชิงกับประมุขพุทธะร่วมมือกันนำทัพใหญ่มาปราบที่แดนอเวจีหนึ่งครั้ง พวกเราทำตามแผนที่ประมุขขุนพลหกท่านวางไว้ อาศัยความได้เปรียบของพื้นที่สกัดการโจมตี จู่โจมและก่อกวนซ้ำแล้วซ้ำอีก โจมตีโจรกบฏอย่างหนักหน่วง โจมตีจนโจรกบฏล่าถอยไป ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าล่วงล้ำง่ายๆ อีกแต่ฝ่ายเราก็เสียหายอย่างรุนแรง มีกำลังพลตายไปสี่ล้านกว่า บวกกับตอนหลังกวาดล้างสายตาของโจรกบฏ จึงล้างเลือดกันเองภายในครั้งหนึ่ง แล้วก็ประหารพวกที่ทำให้ขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วนไปหนึ่งชุด ตอนนี้หกลัทธิเหลือทัพใหญ่อยู่แปดล้านกว่าขอรับ!”
“แปดล้าน!” สตรีวัยกลางคนก้าวขึ้นมา นางกางแขนสองข้างพลางเงยหน้ามองฟ้า กล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “สูญเสียไปอีกเกือบห้าล้าน นึกถึงปีนั้นที่ประมุขปราชญ์สละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องพี่น้องไว้สิบแปดล้านชีวิต ตอนนี้เหลืออยู่เพียงแปดล้าน ศึกใหญ่หลายครั้งทำให้สูญเสียพี่น้องไปแล้วสิบล้านคน แล้วจะให้พวกเราไปอธิบายกับประมุขปราชญ์ที่จาโลกนี้ไปอย่างไร?”
พวกเมิ่งหรูรีบพยักหน้า “เป็นพวกเราเองที่ไร้ความสามารถ ทำให้ประมุขขุนพลผิดหวัง!”
ชายชุดขาวถอนหายใจแล้วบอกว่า “โทษพวกเจ้าไม่ได้หรอก พวกเจ้าสามารถต้านทานทัพใหญ่ของประมุขชิงและประมุขพุทธะได้ ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว ทุกคนลำบากแล้ว”
เมิ่งหรูส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “มิบังอาจครอบครองผลงาน! ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขขุนพลหกท่านปราดเปรื่อง ทิ้งสายลับไว้ให้พวกเราจับทิศทางการเคลื่อนไหวของกองทัพโจรกบฏได้ทุกเมื่อจนวางแผนได้ทันเวลา ก็เกรงว่าอาจจะต้านทานการรุกโจมตีของโจรกบฏไม่ได้ ดีไม่ดีแดนอเวจีอาจจะโดนโจรกบฏตีแตกไปแล้ว! เพียงแต่ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่รู้ชัดเจน ในเมื่อประมุขขุนพลหกท่านมีเสาลับแล้ว สามารถรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของโจรกบฏได้ทุกเมื่อ ตอนแรกที่ประมุขปราชญ์ทั้งหกท่านยังอยู่ เหตุใดจึงไม่ใช้ประโยชน์? ถ้าใช้ประโยชน์ตั้งแต่แรกก็อาจจะไม่ถึงขั้นแพ้ยับเยินเหมือนตอนหลัง พวกข้าน้อยไม่เข้าใจจริงๆ จำเป็นต้องถามให้กระจ่าง!”
ในน้ำเสียงเจือความสงสัยอยู่หลายส่วน จะเห็นได้ว่าในใจคิดไม่ตกขนาดไหน
ประมุขขุนพลหกท่านสบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่าถ้าไม่อธิบายเรื่องนี้ก็จะฟังไม่ขึ้นแล้ว
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ชายชุดขาวก็สบตากับหกคนตรงหน้าพร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เสาลับที่อยู่ฝั่งโจรกบฏก็คือหมากที่ประมุขไป๋ทิ้งไว้ตอนวางแผนในปีนั้น มีจุดประสงค์เพื่อช่วยพวกเจ้าเฝ้าแดนอเวจีหลังจากที่พวกเราหกคนถอยมาชั่วคราว นรกคือต้นทุนสุดท้ายที่จะทำให้พวกเราเงยหน้าอ้าปากอีกครั้ง จะผิดพลาดง่ายๆ ไม่ได้! ส่วนเสาลับที่อยู่ฝั่งโจรกบฏจะเป็นใคร พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ประมุขไป๋ไม่ได้เปิดเผย!”
ขุนพลหกลัทธิได้ยินแล้วเข้าใจในทันที ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่แปลกใจแล้ว!
เหลิ่งจัวฉุนกล่าวว่า “เกรงว่าประมุขขุนพลทั้งหกท่านจะมีบางอย่างที่ยังไม่รู้ หลังจากพวกท่านถูกขังได้ไม่นาน ประมุขไป๋ก็ถูกประมุขชิงกับประมุขพุทธะขังไว้ที่เจดีย์สยบปีศาจแล้ว ทุกวันนี้เป็นหรือตายไม่ทราบแน่ชัด!”
…………………………