พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1232 ใช้เลือดตักเตือน
สือวิ๋นเปียนพลันเบิกตากว้าง อุทานถามเสียงหลงว่า “มอบอำนาจทางทหารของทัพใหญ่หกลัทธิให้หมดเลยเหรอ?”
จินม่านพยักหน้า “ถูกต้อง! มอบให้ทั้งหมด ห้ามเหลือแม้แต่ลัทธิเดียว ถ้ากล้าทรยศคำสัญญาในปีนั้น ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก และเป็นสิ่งที่พวกเราไม่มีทางรับไหวด้วย!”
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!” สือวิ๋นเปียนปฏิเสธเสียงดัง อารมณ์ไม่ได้ฮึกเหิมแบบธรรมดา โบกมือชี้ไปนอกประตูตำหนักพร้อมบอกว่า “เจ้าพวกนั้นเพิ่งมีวรยุทธ์บงกชทองเองนะ พวกเราไม่รู้แม้กระทั่งที่มาที่ไปของพวกเขาด้วยซ้ำ จะยกยอให้พวกเขาเป็นจ้าวของหกลัทธิได้ยังไง จะฟังคำสั่งพวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง!”
จินม่านส่ายหน้า “ที่มาที่ไปของพวกเขา พวกเราไม่ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดหรอก นี่คือสิ่งที่ประมุขไป๋พูดไว้ตั้งแต่ตอนแรก ไม่จำเป็นต้องสืบหาเบาะแสของแผนที่เขาวางไว้ ขอเพียงมีคนที่ทำให้พวกเราหลุดออกมาจากค่ายกลที่เขาวางไว้ได้ ก็จะต้องมอบอำนาจทางทหารของทัพใหญ่หกลัทธิให้พวกเขา พวกเราแค่ต้องปฏิบัติตามแผนที่ประมุขไป๋วางไว้ ไม่มีอำนาจให้ต่อรอง!”
สือวิ๋นเปียนหัวเราะอย่างเดือดดาลสุดขีด “ตลกแล้ว! อาศัยเจ้าพวกนั้นน่ะเหรอจะกุมอำนาจทางทหารของทัพใหญ่หกลัทธิได้? ต่อให้พวกเราจะตอบตกลง แต่พวกพี่น้องจะยอมจำนนต่อพวกเขาจากใจได้ยังไง? คนที่วรยุทธ์สูงกว่าพวกเขา ลองเลือกมาส่งเดชก็มีเป็นโขยงแล้ว! ต่อให้ทัพใหญ่หกลัทธิจะยอมรับพวกเขาเป็นประมุขคนใหม่ แต่ทัพใหญ่แปดล้านเชียวนะ! นี่ไม่ใช่คนแค่ไม่กี่คน ไม่ใช่ว่าใครอยากคุมแล้วจะคุมไหว อาหารที่อยู่บนโต๊ะใช่ว่าจะปล่อยให้ใครกินส่งเดชได้ คนที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ไม่มีทางควบคุมกองทัพได้เลย ดูจากวรยุทธ์ของพวกเขาก็รู้แล้ว อย่าว่าแต่คุมทัพใหญ่แปดล้านเลย เกรงว่าแม้แต่ประสบการณ์ในการคุมกำลังพลหลักหมื่นพวกเขาก็ไม่มีด้วยซ้ำ พวกเขารู้หลักการในการคุมทัพหนึ่งแสนหรือทัพหนึ่งล้านเหรอ? พวกเราจะนำหัวใจคนแปดล้านไปเล่นเป็นของเล่นได้ยังไง? ถ้าทำให้หัวใจคนจำนวนแปดล้านปั่นป่วนจริงๆ ล่ะ…ประมุขขุนพล ท่านเคยพิจารณาถึงผลที่จะตามมาหรือเปล่า? เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นคงจะไม่ต้องรอให้ทัพใหญ่ของโจรกบฏมาบุกประชิดพรมแดนหรอก แค่พวกเราเองก็เละเป็นโจ๊กในหม้อแล้ว ถึงตอนนั้นก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการล้างแค้นลบความอัปยศเลย!”
“ก็เพราะแบบนี้ไง ประมุขไป๋ถึงได้ให้พวกเราคอยประคับประคองพวกเขา” จินม่านกล่าว
“ประมุขไป๋ให้พวกเราประคับประคองพวกเขาเหรอ? ฮ่าๆ…” สือวิ๋นเปียนเงยหน้าหัวเราะลั่นแล้วชี้มือขึ้นฟ้าพร้อมบอกว่า “ตอนนี้เขาถูกประมุขชิงกับประมุขพุทธะสยบไว้ในเจดีย์สยบปีศาจแล้ว เป็นตายยังไงก็ยังไม่รู้ ขนาดตัวเองยังปกป้องได้ยากเลย ยังคิดจะควบคุมพวกเราอีเหรอ? ช่างเป็นเรื่องที่น่าจำมากจริงๆ!”
จินม่านจึงบอกว่า “ประมุขไป๋เป็นตัวละครประเภทไหน ทั้งเจ้าทั้งข้าก็ได้บทเรียนมาแล้ว ไม่ใช่คนที่ดีแต่พูดโอ้อวดแน่นอน คนคนนี้มีนิสัยอิสระไร้กังวล แต่ก็มีพรสวรรค์เป็นเลิศ ฉลาดไร้ที่เปรียบ ถึงแม้จะไม่มีความสามารถในการครองใต้หล้า แต่ถ้าเขาจะเล่นบทโหดและทำเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นมา อาศัยความสามารถของเขา…เรื่องที่รับปากเขาไว้แล้ว ถ้ากลับคำพูดกล้าล้อเล่นกับเขา ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก!”
สือวิ๋นเปียนเถียงว่า “แล้วยังไงล่ะ! เขาตกอยู่ในมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะแล้ว สองคนนั้นจะให้โอกาสเขาผงาดขึ้นมาอีกครั้งเหรอ ข้าน้อยไม่เข้าใจจริงๆ ประมุขไป๋ตกต่ำถึงขั้นนั้นแล้ว ทำไมประมุขขุนพลยังต้องการจะสนับสนุนเขาอีก? ขออภัยที่ข้าน้อยพูดสิ่งที่ไม่สมควร ประมุขไป๋มีพรสวรรค์เลิศล้ำ ท่วงท่าสง่างามไร้ที่เปรียบ ผู้หญิงยากที่จะต้านทานเสน่ห์ของเขาได้ ตอนที่ข้าน้อยเห็นสายตาที่ประมุขขุนพลมองเขาในปีนั้น ก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ขอบังอาจถาม ประมุขขุนพลชอบเขาแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้สนับสนุนเขาแบบนี้?”
จินม่านหันตัวขวับ ช้อนสายตามองออกไปนอกตำหนัก ในดวงตาฉายแววเลื่อนลอย นางไม่ได้ปฏิเสธ กลับตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ผิดหรอก! ข้าชอบเขา แต่คนที่เขาชอบไม่ใช่ข้า เพื่อผู้หญิงคนนั้น เขาถึงขั้นยอมทิ้งอำนาจของใต้หล้าที่อยู่ในมือ ในโลกนี้จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ปักใจรักอย่างลึกซึ้งขนาดนี้?” นางพูดประโยคสุดท้ายด้วยเสียงเบา พูดไม่หมดว่าเศร้าใจกลัดกลุ้มขนาดไหน
“ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือหลงหญิงงามจนลืมแผ่นดิน ควรค่าแก่การโอ้อวดเหรอ?” สือวิ๋นเปียนที่กล่าวเหยียดหยามค่อนข้างโมโห เขาก้าวขึ้นมากล่าวเสียงดังข้างหูจินม่านว่า “ประมุขขุนพล ข้าน้อยมีสิ่งที่ต้องเตือนท่านเอาไว้ ในปีนั้นถ้าไม่ใช่ประมุขปราชญ์สละชีวิต ท่านคงตายด้วยน้ำมือประมุขไป๋ไปนานแล้ว ในปีนั้นเขาเคยมีความรักความห่วงใยให้ท่านสักนิดหรือเปล่า? ตอนที่เหล่าพี่น้องถอยทัพมาที่นี่แล้วไม่เลือกข้า แต่เลือกท่านเป็นประมุขขุนพล ก็เพราะเชื่อมั่นในตัวท่าน ท่านอย่าให้ความรักส่วนตัวของผู้หญิงมาส่งผลต่อความเป็นความตายของพี่น้องนับล้าน ท่านจะทำผิดต่อสิ่งที่ประมุขปราชญ์ไหว้วานไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”
“สือวิ๋นเปียน!” จินม่านพลันหันตัวมาตะคอกอย่างเดือดดาล “ข้ายอมรับว่าข้าชอบเขา แต่ข้าไม่ถึงขั้นลืมคุณธรรมหรอก! ในด้านความถูกผิดข้าแบ่งแยกได้ชัดเจน! ข้าก็บอกไปแล้วไง ว่าผลของการไม่ทำตามคำสั่งเขานั้นร้ายแรงมาก ทำแบบนี้ก็เพื่อความเป็นความตายของพี่น้องนับล้าน ถึงได้ต้องมอบอำนาจทางทหารให้!”
สือวิ๋นเปียนหัวเราะเสียงดัง “เหลวไหลสิ้นดี! ขนาดเขายังปกป้องตัวเองลำบากเลย จะเอาอะไรมาขู่พวกเรา?”
จินม่านจึงแสยะยิ้ม “เจ้าเชื่อรึเปล่าว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย คนที่เขากังวลจริงๆ ก็คือประมุขไป๋ที่ถูกขังอยู่ไงล่ะ! ถ้าสามารถฆ่าประมุขไป๋ได้จริงๆ เกรงว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะคงประกาศต่อทั้งโลกให้คนสบายใจตั้งนานแล้ว การที่ความเป็นความตายของประมุขไป๋ยังเป็นความลับมาตลอด ก็แสดงว่าประมุขไป๋ยังไม่ตาย แล้วทำไมถึงขังประมุขไป๋เอาไว้ไม่ยอมฆ่าสักทีล่ะ? ก็แปลว่าประมุขไป๋ยังทิ้งแผนสำรองเอาไว้ไง ทำให้พวกเขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม! พวกเราเองก็ไม่ได้ตกใจอะไรมากหรอก เจ้าคิดจริงเหรอว่าประมุขไป๋พูดแค่คำสองคำแล้วจะกดดันให้พวกเรามอบอำนาจทางทหารได้? เจ้าคิดจริงหรือว่าประมุขไป๋อ่อนด้อยขนาดนั้น? เจ้ารู้มั้ยว่าตอนที่ประมุขไป๋มาหาพวกเราเขาพูดว่าอะไร?”
สือวิ๋นเปียนถามทันที “นี่คือสิ่งที่พวกเราสงสัยอยู่ในใจมาตลอด ในปีนั้นที่เขามาหาประมุขขุนพล เขาพูดอะไรไว้กันแน่?”
จินม่านตอบว่า “ในปีนั้นเขามาขู่พวกเราไว้ เขาบอกว่า เขาสามารถปล่อยให้พวกเรารอดชีวิตได้ ก็สามารถตัดหนทางรอดชีวิตของพวกเราได้เหมือนกัน สามารถทำให้พวกเราดันทุรังเอาชีวิตรอดอยู่ในแดนอเวจีได้ ก็ทำให้พวกเราตายโดยไร้หลุมศพได้เช่นกัน!”
“คำพูดอวดดีแบบนี้ใครก็พูดได้ พวกท่านตกใจเพียงเพราะคำขู่พวกนี้เหรอ?” สือวิ๋นเปียนถาม
“คำพูดอวดดีเหรอ?” จินม่านส่ายหน้าด้วยท่าทางเหลือเชื่อ “เจ้ารู้มั้ยว่าพวกเราหกคนได้รับความลำบากเพราะอะไร? ที่เขาขังพวกเราได้ก็เป็นเพราะการเดิมพันเล็กน้อยเท่านั้น ที่เขาบอกไว้ล่วงหน้าว่าตอนหลังจะมีผู้สืบทอดวิชาของประมุขปราชญ์มาช่วยพวกเราให้หลุดพ้นก็คือหนึ่งในสาเหตุเท่านั้น ก่อนจะขังพวกเราเขายังทิ้งคำทำนายอีกอย่างเอาไว้ด้วย เขาบอกว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะจะร่วมมือกันล้อมปราบนรก ทั้งยังจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน! ก่อนหน้านี้พวกเจ้ายังถามเรื่องสายลับอยู่เลย คิดมาตลอดเลยใช่มั้ยว่าระฆังดาราสำหรับติดต่อสายลับที่พวกเราให้พวกเจ้าไว้ก่อนที่พวกเราจะโดนขังเป็นของสายลับที่พวกเราจับยัดไว้ฝ่ายโจรกบฏ ก่อนหน้านี้พวกเราก็บอกพวกเจ้าแล้วว่านั่นคือสิ่งที่ประมุขไป๋ทิ้งไว้ ตอนนี้พวกเจ้ายังไม่เข้าใจเชียวเหรอว่าหมายความว่าอะไร?”
สือวิ๋นเปียนรู้สึกระทึกขวัญทันที
จินม่านแสยะยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “เจ้าคิดจริงเหรอว่าประมุขไป๋เป็นคนที่คุยโวโอ้อวดไร้สาระ? โดยเฉพาะคำทำนายที่บอกว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะจะร่วมมือกันล้อมปราบแดนอเวจี ไม่สู้ใช้การปฏิบัติจริงเตือนพวกเราด้วยเลือดดีกว่าเหรอ ให้พวกเราจดจำฝังลึกอยู่ในใจไง ป้องกันไม่ให้พวกเราเปลี่ยนใจ! เขาใช้เลือดของพี่น้องหลายล้านมาขู่พวกเรา ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจหรือไม่ แต่สถานการณ์ก็อยู่ในการควบคุมของเขามาตลอด! ในปีนั้นเขาปล่อยให้พวกเราหนีมาในนรก และหลังจากนั้นก็ติดต่อกับพวกเรามาตลอด เขารู้สถานการณ์ในนรกอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว ถึงขั้นมีบางจุดที่รู้ดีกว่าพวกเราด้วยซ้ำ การที่แดนอเวจีถูกปิดล้อมแต่เขาสามารถเข้าออกมาหาพวกเราได้โดยไม่ให้สะเทือนถึงหูประมุขพุทธะกับประมุขชิงก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้ว! เขาใช้ศีรษะของคนหลายล้านมาเตือนพวกเรา เขาสามารถทำให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะเคลื่อนทัพมาโจมตีได้แล้วครั้งหนึ่ง ก็สามารถทำให้พวกเขาเคลื่อนทัพมาโจมตีเป็นครั้งที่สองได้! ครั้งแรกเขาให้สายลับช่วยให้พวกเรารอดพ้นเคราะห์ แต่ถ้ามีครั้งที่สองล่ะ?
ถ้าพวกเราไม่ทำตามที่เขาบอก เจ้าเชื่อมั้ยว่าสถานการณ์ของนรกโดยละเอียดจะไปโผล่อยู่ในมือของประมุขชิงกับประมุขพุทธะทันที ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่สายลับของประมุขไป๋จะชักนำให้เราเข้าใจผิดเลย ต่อให้เขาจะเงียบไว้และไม่ช่วยเหลือพวกเราอีกแล้ว แต่เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมาในภายหลังบ้างรึเปล่า?”
สือวิ๋นเปียนตกใจจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะแล้ว ลมหายใจถี่กระชั้น ไม่กล้าจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเลยจริงๆ
“ข้าสามารถปล่อยให้พวกเจ้ารอดชีวิตได้ ก็สามารถตัดหนทางรอดชีวิตของพวกเจ้าได้เหมือนกัน สามารถทำให้พวกจ้าาดันทุรังเอาชีวิตรอดอยู่ในแดนอเวจีได้ ก็ทำให้พวกเจ้าตายโดยไร้หลุมศพได้เช่นกัน! คำพูดพวกนี้ข้าจำได้มาตลอดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ตอนนี้เจ้ายังคิดว่าเขายังพูดจาอวดดีอยู่มั้ย?” จินม่านส่ายหน้าพร้อมยิ้มขื่นขม “ความเป็นความตายของพวกเราอยู่ในมือเขามาตลอด ต่อให้เขาจะถูกขังไว้ในเจดีย์สยบปีศาจก็ตาม! ตอนนี้พอย้อนกลับไปมอง ที่จริงมันเริ่มตั้งแต่วันที่เขามาหาพวกเราแล้ว พวกเราไม่มีทางเหลือให้เลือกเลยทำได้เพียงปฏิบัติตามแผนที่เขาวางไว้!”
“ชีวิตของพี่น้องหลายล้านเป็นแค่สิ่งที่สนับสนุนคำขู่ของเขาเท่านั้น! แค่เพื่อกดดันให้พวกเรายอมศิโรราบ! คนแบบนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!” สือวิ๋นเปียนกล่าวอย่างคับแค้นใจปนเศร้าโศก
“คิดว่าข้าไม่ปวดใจรึไง! แต่พวกเราก็ไม่มีทางเลือก นอกเสียจากคนที่ยังรอดจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ความเป็นความตายของพวกเราล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา ต่อให้เป็นชีวิตคนมากกว่านี้ แต่ก็ไม่สำคัญเท่าผู้หญิงที่อยู่ในใจเขาหรอก!” จินม่านส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว “ข้าบอกแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีอำนาจสูงสุดในใต้หล้า แต่ถ้าเขาจะเล่นบทโหดทำเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นมา อาศัยความสามารถอย่างเขาก็จะน่ากลัวมาก ตอนนี้เจ้ายังคิดจะต่อต้านเขาอยู่อีกเหรอ?”
สือวิ๋นเปียนกัดฟันตอบว่า “เขาไม่แยแสความเป็นความตายของพวกเราขนาดนี้ ในสายตาเขาชีวิตเราเล็กน้อยเหมือนกับมด ท่านแน่ใจนะว่าเขาจะทำให้พวกเราหลุดพ้นจากนรกและคืนอิสระให้อีกครั้ง? ท่านแน่ใจนะว่าเขาจะช่วยพวกเราล้างแค้นลบความอัปยศ?”
จินม่านยิ้มเจื่อน “แน่ใจสิ เพื่อที่จะช่วยชีวิตผู้หญิงคนนั้น เขาก็ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เขาอยากจะโค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก ก็อย่างที่ข้าบอกไว้ เขาไม่มีความสามารถในการปกครองใต้หล้า นอกเสียจากเขาจะไม่ตอบตกลง ตราบใดที่เป็นเรื่องที่เขาตอบตกลง เขาก็จะพยายามรักษาสัญญาเต็มที่ ดังนั้นเขาจึงเป็นสิงห์ร้ายผู้ทะเยอะทะยานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตกต่ำเหมือนอย่างทุกวันนี้”
สือวิ๋นเปียนบอกอีกว่า “แต่ข้ามองไม่เห็นความหวัง เขาจะอาศัยอะไรมาทำตามสัญญาล่ะ? ถ้าไม่มีผู้ช่วยที่แข็งแกร่ง พวกเราจะต้านทานประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้ยังไง? อาศัยนักพรตบงกชทองไม่กี่คนพวกนั้นน่ะเหรอ? อาศัยศักยภาพแค่นี้ของพวกเราน่ะเหรอ?”
จินม่านตอบว่า “ข้าบอกแล้วไง ว่าหลังจากพวกเราหลุดพ้นแล้วให้ปฏิบัติตามคำพูดของเขา ถึงตอนนั้นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งย่อมปรากฏตัวเอง พวกเราไม่มีทางเลือกแล้ว พี่สือ ทำตามก็แล้วกัน มาประคับประคองเจ้าพวกน่าเกลียดชังนั่นกันเถอะ!”
สีหน้าคับแค้นใจของสือวิ๋นเปียนค่อยๆ เศร้าสลด…
ไม่ใช่แค่ฝั่งนี้ บนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อีกห้าดวงก็เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน แต่ผลกลับคล้ายกัน ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ทุกอย่างล้วนดำเนินไปในผลลัพธ์ที่ถูกกำหนดไว้
“อะไรนะ? ให้ข้าเป็นประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยงคนใหม่เพื่อบัญชาการพวกท่านเหรอ? ข้าฟังไม่ผิดใช่มั้ย?”
หลังจากนั้นหลายวัน หลังจากเตรียมการบางอย่างไปบ้างแล้ว จินม่านกับอวิ๋นเปียนก็มาเดินขนาบคุมอยู่ข้างกายเหมียวอี้ โชคที่หล่นลงมาจากฟ้าแบบนี้ทำให้เหมียวอี้ตกใจมาก อดไม่ได้ที่จะเป็นกระต่ายตื่นตูม นึกว่าตัวเองฟังผิดไปแล้วจริงๆ
เหมียวอี้อ้าปากกว้าง เอามือชี้จมูกตัวเองอย่างเหม่องง จ้องชายหญิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
…………………………