พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1233 ขึ้นครองตำแหน่ง
“เจ้าฟังไม่ผิดหรอก” จินม่านพยักหน้ายืนยัน
เหมียวอี้ชี้จมูกตัวเองพร้อมพูดต่อไปว่า “ประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยงคนใหม่ ให้ข้าเป็นเหรอ?”
“ใช่!” จินม่านพยักหน้าอีกครั้ง
เหมียวอี้เหม่องงอีกครัง ก่อนจะถามอย่างงุนงงว่า “ทำไมล่?”
จินม่านตอบว่า “ประการแรกเป็นเพราะในมือเจ้ามีเคล็ดวิชาฝึกตนของประมุขปราชญ์คนก่อน เป็นผู้สืบทอดเคล็ดวิชาของประมุขปราชญ์ ตามเหตุผลย่อมต้องรับตำแหน่งต่อจากประมุขปราชญ์ ประการที่สองเป็นเพราะเจ้าช่วยข้าออกมา ตอบแทนบุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้า”
เหมียวอี้เคลือบแคลงอยู่ในใจ สายตาสงสัยมองสืบสวนบนตัวทั้งสองคนไม่หยุด พร้อมถามหยั่งเชิงว่า “แค่เพราะแบบนี้น่ะเหรอ?”
“สาเหตุที่เป็นผู้สืบทอดเคล็ดวิชาของประมุขปราชญ์กับบุญคุณที่ช่วยชีวิตยังไม่พอเชียวเหรอ?” จินม่านถาม
จะเพียงพออะไรล่ะ? สาเหตุนี้ฟังดูก็เหมือนจะใช่ แต่พอลองคิดให้ละเอียดก็อาจจะดันทุรังไปหน่อย ต่อให้ตีให้ตายเหมียวอี้ก็ไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องดีๆ แบบนี้ แน่ใจได้เลยว่าต้องมีแผนร้ายอยู่ในนั้นแน่นอน จึงยิ้มแห้งพร้อมโบกมือปฏิเสธ “ไม่เหมาะไม่เหมาะ วรยุทธ์ของเหมียวตื้นเขิน ความสามารถมีจำกัด แบกรับความรับผิดชอบที่หนักหน่วงขนาดนี้ไม่ไหว ประมุขขุนพลมีวรยุทธ์ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ใจคนส่วนใหญ่เอนเอียงใฝ่หา ควรจะควบคุมสถานการณ์โดยรวมต่อไป เหมียวอี้ยินดีฟังคำสั่งประมุขขุนพลทุกเมื่อ!”
ยินดีเชื่อฟังคำสั่งคือคำโกหก อยากจะปกป้องชีวิตตัวเองต่างหากที่เป็นเรื่องจริง
จินม่านกับสืออวิ๋นเปียนเริ่มด่าในใจแล้ว คิดว่าพวกเราอยากยกย่องให้เจ้าเป็นประมุขจริงๆ เหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก เจ้าจะได้มีเรื่องดีๆ แบบนี้รึไง? โชคใหญ่ที่คนอื่นอยากได้แต่ไม่ได้ เจ้ายังทำเหมือนโดนบีบบังคับอย่างนั้นแหละ
แต่ในสายตาจินม่าน เดิมทีเหมียวอี้ก็เป็นพวกต่ำทรามไร้ยางอายอยู่แล้ว ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเหมียวอี้เลย ดังนั้นจึงขี้เกียจจะพูดมากกับเหมียวอี้อีก พูดบีบบังคับโดยตรงว่า “ถ้าเจ้าไม่อยากรับผิดชอบหน้าที่นี้ก็ได้เหมือนกัน พวกเราไม่บังคับหรอก แต่พวกเราจะไม่ยอมปล่อยให้คนนอกรอดชีวิตออกไปพร้อมกับข้อมูลสถานการณ์ของที่นี่เด็ดขาด และแน่นอน เห็นแก่ที่เจ้าเคยช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้าเหมือนกัน โลงศพที่ข้าเคยนอนหนึ่งแสนปีก็จะมอบให้เจ้าแล้ว เจ้าต้องเข้าไปอยู่ในนั้นหนึ่งแสนปีเหมือนกัน ครบหนึ่งแสนปีแล้วค่อยปล่อยเจ้าออกไป จะเลือกแบบไหนเจ้าก็คิดเองแล้วกัน” พูดจบก็หันตัวเดินจากไปทันที
“ประมุขขุนพลช้าก่อน!” เหมียวอี้กระวนกระวายแล้ว รีบโบกมือตะโกนเรียกให้หยุด
“หืม!” จินม่านหันตัวมา แล้วถามเสียงเรียบว่า” ตัดสินใจได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?”
เร็วบ้าอะไรล่ะ! เหมียวอี้ด่าทอในใจ แบบนี้เรียกว่าไม่ฝืนใจเหรอ? โดนขังอยู่ในโลงศพหนึ่งแสนปี ล้อเล่นอะไรกัน? ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก ใครอยากจะได้รับความลำบากแบบนั้น? แล้วอีกอย่างนะ เรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายหลังใครจะบอกได้ชัดเจน ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าหลังจากโดนขังไปหนึ่งแสนปีแล้วเจ้าจะปล่อยให้ข้ารอดชีวิตออกไปหรือเปล่า
เขาฝืนยิ้มสู้พลางกุมหมัดคารวะ “ในเมื่อประมุขขุนพลไว้หน้าแบบนี้ ผู้น้อยก็มิกล้าอกตัญญู ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับข้าน้อยแล้ว การที่สามารถเป็นประมุขปราชญ์เต๋าได้ นั่นก็เป็นเรื่องดีที่ไม่กล้าใฝ่ฝันถึงเลยจริงๆ เพียงแต่เหมียวอี้วรยุทธ์ตื้นเขิน ความสามารถมีจำกัดทั้งยังไร้ประสบการณ์ ไม่รู้ว่ามีคุณธรรมหรือความสามารถอะไรที่จะสามารถบัญชาการลัทธิเต๋าได้ กลัวเสียจริงว่าเจตนาดีจะทำให้เกิดเรื่องร้าย แถมคนอื่นก็อาจจะไม่สนับสนุนด้วย”
ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากเป็นประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยง ที่จริงอยากเป็นมาก เพียงแต่กังวลว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดีก็เท่านั้นเอง
คนต่ำทราม! จินม่านพูดดูถูกเหยียดหยามในใจ
นางกดดันให้เหมียวอี้หมดทางเลือกจนยอมแพ้แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับคิดว่าเหมียวอี้เป็นคนต่ำทรามไร้ยางอายที่แล่นเรือไปตามลม เกรงว่าต่อให้เหมียวอี้มีร้อยปากก็คงแก้ตัวเรื่องนี้ให้กระจ่างได้ยาก ใครใช้ให้อีกฝ่ายมีมีอคติ เกิดความประทับใจแรกที่ไม่ดีกับเขาก่อนล่ะ ภาพพจน์แรกสำคัญมากจริงๆ!
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง พวกเราย่อมคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ อยู่แล้ว” จินม่านกล่าว
“งั้นก็ดี งั้นก็ดี มีประมุขขุนพลสนับสนุนข้าก็วางใจแล้ว” เหมียวอี้หัวเราะด้วยสีหน้าเบิกบานมีความสุข แล้วก็ถามหยั่งเชิงทันทีว่า “ไม่ทราบว่าหลังจากรับตำแหน่งประมุขปราชญ์แล้วข้าต้องทำอะไรบ้าง?”
เขาต้องสืบก้นบึ้งของอีกฝ่ายให้ลึกๆ ดูว่าการที่อีกฝ่ายให้ตนเป็นประมุขปราชญ์เพราะมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ สรุปก็คือเขาไม่เชื่อเหตุผลที่บอกว่าเป็นบุญคุณของการช่วยชีวิต
จินม่านบอกว่า “ก็ย่อมต้องทำเรื่องที่ประมุขปราชญ์สมควรจะทำสิ อย่างแรกก็คือคิดหาทางล้างแค้นให้ประมุขปราชญ์คนก่อน ล้างความอัปยศให้เหล่าพี่น้อง โค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะ นำพาทุกคนให้หลุดพ้นจากนรก นี่ก็คือความรับผิดชอบที่ผู้สืบทอดคนใหม่จะได้รับการสนับสนุนจากเหล่าพี่น้องทุกคน”
มารดาเจ้าเถอะ ข้าจะไปเอาความสามารถขนาดนั้นมาจากไหน? เหมียวอี้รู้สึกอับจนปัญญา เตรียมจะหาโอกาสเอาตัวรอดไปทีละก้าว บนใบหน้ากลับดันรอยยิ้มออกมา “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”
เรื่องราวถูกกำหนดไว้แบบนี้ชั่วคราว ตอนนี้จินม่านกับสืออวิ๋นเปียนเดินออกไปแล้ว ทั้งสองยังต้องเตรียมการเรื่องที่เหมียวอี้สืบทอดตำแหน่งประมุขปราชญ์ สิ่งแรกที่ต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือพูดเกลี้ยกล่อมแม่ทัพคนอื่นๆ
ขณะมองคล้อยหลังทั้งสองจากไป เหมียวอี้เน้นจ้องสืออวิ๋นเปียนที่เงียบงันไม่ยอมพูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ พอหันกลับมาก็เห็นทหารยามที่ยังจ้องมองตนอยู่ ทำเอาตนไม่มีทางติดต่อกับพวกอวิ๋นอ้าวเทียนได้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ครุ่นคิดว่าที่อีกฝ่ายให้ตนเป็นประมุขปราชญ์อะไรนั่นเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่
ขนาดไม่รู้เบื้องลึกของตนก็ให้ตนเป็นประมุขปราชญ์ที่บัญชาการพวกเขาแล้ว ล้อเล่นอะไรกัน? มีแผนร้าย! ในนั้นจะต้องมีแผนร้ายแน่นอน!
หรือว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนเปิดโปงฐานะของเขาเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง กลุ่มโจรกบฏเตรียมจะให้ข้ากลับไปเป็นสายลับเหรอ? แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเป็นประมุขปราชญ์อะไรนั่นหรอก!
ภายใต้สถาพแวดล้อมแบบนี้ยังมีลานบ้านให้พักอาศัยก็นับว่าไม่ง่ายเลย เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านคิดไม่ตก คิดจนหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร
“หยุดนะ!”
เหมียวอี้ยังไม่ทันเข้าใจว่าเรื่องอะไร ตรงประตูลานบ้านก็มีเสียงห้ามดังออกมา พอหันกลับไปมอง ก็เห็นทหารยามตรงประตูกักตัวสตรีชุดเหลืองสองคนที่สีหน้าเย็นชาเอาไว้ คนหนึ่งตัวสูง คนหนึ่งตัวเตี้ย หน้าตาก็ไม่เลว เพียงแต่ท่าทางเย็นชาทำให้คนเห็นแล้วอยากอยู่ให้ห่างๆ
แต่เหมียวอี้ก็ไม่คุ้นชิน คนที่นี่มักจะทำหน้าตายเหมือนมีใครติดหนี้พวกเขาอยู่
ผู้หญิงหนึ่งในนั้นเผยแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ทหารยามดู พร้อมกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ได้รับคำสั่งโดยตรงจากประมุขขุนพล”
หลังจากตรวจอ่านคำสั่งแล้ว ทหารยามก็ปล่อยให้เข้าไป พอเข้ามาข้างในแล้ว ผู้หญิงสองคนก็เดินมาหาเหมียวอี้โดยตรง หนึ่งในนั้นหยิบเชือกออกมาเส้นหนึ่ง เมื่อประกอบกับใบหน้าที่นิ่งเย็นชาแบบนั้น ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจะช่วยให้คนผูกคอตาย
เหมียวอี้ที่ก้าวถอยหลังถามคนที่กำลังจ้องตนอยู่ทางซ้ายและขวาทันที “หมายความว่ายังไง?”
คนที่เฝ้าดูไม่ตอบอะไร กลับเป็นผู้หญิงคนนั้นที่เดินเข้ามาตรงๆ คนหนึ่งจับแขนข้างหนึ่งของเหมียวอี้ แล้วถือเชือกทำท่าทางอยู่บนร่างกายเขา
เหมียวอี้ที่ระแวดระวังตัวอย่างสูงพอจะเข้าใจแล้ว อีกฝ่ายกำลังวัดตัวให้เขา
“นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไร?” เหมียวอี้แปลกใจ
ผู้หญิงสองคนยังคงไม่พูดอะไร หลังจากวัดให้เขาเสร็จก็ไปแล้ว แม้แต่คำทักทายสักคำก็ไม่มี ทำเอาเหมียวอี้ประหลาดใจ
วันต่อมา ผู้หญิงสองคนนั้นก็มาอีก เหมียวอี้มองดูพวกนางเข้าๆ ออกๆ จนขี้เกียจจะถามแล้ว ถึงอย่างไรถามไปก็ไม่ได้อะไร
ทว่าเขาก็ไม่มีทางที่จะไม่สนใจเลย หลังจากผู้หญิงสองคนที่กำลังงานยุ่งอยู่ในบ้านเขาหันกลับมาหาเขาอีกครั้ง ก็บังคับให้เขากลับมาในบ้านโดยตรง แล้วก็ลงกลอนประตู
เหมียวอี้ที่เข้ามาในบ้านจ้องมองอ่างน้ำร้อนอย่างสงสัย ส่วนผู้หญิงสองคนนั้นก็ลงมือทันที ช่วยถอดเสื้อผ้าให้เขาแล้ว
“พวกเจ้าทำอะไร?” เหมียวอี้ที่กำลังฉุดลากปฏิเสธร้องอุทานตกใจ
“อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกประเดี๋ยวขุนพลทุกท่านจะต้องมาเยี่ยมคารวะ!” ในที่สุดผู้หญิงที่ตัวสูงก็เอ่ยปากพูดแล้ว
ผู้หญิงสองคนนี้เหมือนกำลังอยากทำให้เสร็จใจจะขาด ต่างคนต่างเดินไปที่สองด้านของอ่างอาบน้ำแล้วหันหลังให้ แต่กลับพูดเร่งว่า “ได้โปรดทำให้รวดเร็ว การขึ้นครองตำแหน่งประมุขปราชญ์กำลังจะมาถึงแล้ว อย่าให้ขุนพลทุกท่านรอนาน”
เฮ้อ! นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้แอบถอนหายใจ เห็นทั้งสองคนไม่มีท่าทีว่าจะออกไป จึงทำได้เพียงถอดเสื้อผ้าอย่างช้าๆ และเข้าไปแช่อยู่ในน้ำ…
ตอนที่ประตูบ้านเปิดอีกครั้ง เหมียวอี้ที่เดินออกจากประตูโดยมีผู้หญิงสองคนติดตามอยู่ทางซ้ายและขวาก็ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งตัวสวมชุดคลุมสีทองอันหรูราไร้ที่เรียบ ด้านบนปักลายเมฆหมอกปกคลุมขุนเขากับท้องฟ้าที่ประกอบด้วยดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว บนมวยผมมัดด้วยด้ายสีทองและปล่อยลงด้านหลัง ขับดุนให้ทั้งตัวดูสูงส่งและโดดเด่นไม่ธรรมดา
ตามที่ผู้หญิงสองคนนี้บอก นี่คือการแต่งกายของประมุขปราชญ์คนก่อน บอกว่าเป็นชุดจักรวาลอะไรสักอย่าง
เหมียวอี้ที่เดินลงบันไดยกแขนเสื้อตัวเองขึ้นมาดูอยู่เป็นระยะ บางทีก็ก้มหน้าดึงเสื้อตัวเองดู ขนาดกำลังพอดีตัว เขาสงสัยนิดหน่อยว่าที่เมื่อวานอีกฝ่ายวัดตัวให้เขาหมายความว่าอะไร คาดว่าคงจะตัดเย็บชุดคลุมยาวตัวนี้ให้
เขาถูกพามายังลานบ้านด้านหลังของตำหนักหลักบนหน้าผา จินม่านที่รูปร่างสูงโปร่งและสวมชุดกระโปรงสีทองทั้งตัวกำลังรออยู่ในลานบ้าน
“ประมุขขุนพล!” เหมียวอี้เห็นหน้าแล้วกุมหมัดคารวะอย่างร่าเริง ดูสุภาพเกรงใจมาก
ส่วนจินม่านก็เดินวนและมองสำรวจเขาศีรษะจดเท้า
เหมียวอี้มองดูการแต่งกายของนาง แล้วก็มองดูการแต่งกายของตัวเอง ในใจพึมพำว่า ทำไมรู้สึกว่าการแต่งตัวของทั้งสองคนไม่ได้เหมาะสมกันแบบธรรมดา
จินม่านที่ตรวจดูพยักหน้าเบาๆ แล้วบอกว่า “มีรสชาติความเป็นประมุขปราชญ์อยู่หลายส่วน เพียงแต่ลักษณะท่าทางแย่ไปหน่อย” นางเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “ขุนพลทุกคนกำลังรอเข้าเฝ้าอยู่ในตำหนักใหญ่ แต่บังเอิญมีการทดสอบของโจรกบฏพอดี เพื่อป้องกันไม่ให้โจรกบฏอาศัยโอกาสนี้สร้างความเปลี่ยนแปลง ทุกจุดจึงต้องมีคนเฝ้ารักษาการณ์ ไม่สะดวกจะมารวมตัวกันในเวลานี้ทั้งหมด ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยังมาไม่ครบ เจ้าเองก็รู้สถานการณ์ของพวกเราเช่นกัน ไม่สะดวกจะระดมกำลังพื่อจัดพิธีขึ้นครองตำแหน่งให้เจ้า ดังนั้นทุกอย่างจึงทำอย่างเรียบง่าย ไม่ใช่ว่ามีเจตนาจะไม่เคารพประมุขปราชญ์คนใหม่อย่างเจ้า รอให้โค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้ก่อน แล้วค่อยชดเชยให้เจ้าอย่างสมเกียรติมีหน้ามีตา”
พูดจาดูน่าฟัง แต่ที่จริงแล้วก็คือไม่เคารพท่านประมุขปราชญ์เหมียว
ประการแรกเป็นเพราะความประทับใจแรกที่จินม่านมีต่อเหมียวอี้นั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร ไม่อยากให้เหมียวอี้มีหน้ามีตาเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะมีใครบางคนใช้วิธีโหดร้ายเอาศีรษะของคนหลายล้านมาเตือน พลังการข่มขู่ที่มีต่อพวกเขานั้นมากเกินไป บีบจุดอ่อนของพวกเขาเอาไว้แน่น เกรงว่านางคงจะฆ่าเหมียวอี้ตายไปตั้งแต่แรกแล้ว ประการต่อมาเป็นเพราะกำลังพลเบื้องล่างมีความเห็นแย้งต่อการที่เหมียวอี้สืบทอดตำแหน่งประมุขปราชญ์มาก ถ้าไม่ใช่เพราะมีพวกจินม่านคอยคุม ช่วยเหลือและพยายามเกลี้ยกล่อม เหมียวอี้จะต้องถูกโจมตีจนตายคาที่แน่นอน คนต่ำต้อยคนหนึ่งบังอาจมาอยู่ในตำแหน่งปราชญ์เพื่อออกคำสั่งกับเหล่าวีรบุรุษ ช่างน่าขำเกินไปแล้ว!
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ไม่สะดวกจะยั่วยุขุนพลระดับล่างเลยจริงๆ ไม่เหมาะจะจัดงานอย่างมีหน้ามีตา ครั้งนี้ทำไปพอเป็นพิธีเฉยๆ เท่านั้น เหมียวอี้เองก็อย่าได้คิดเลยว่าจะจะได้กุมอำนาจมหาศาลทันที่ขึ้นสู่ตำแหน่ง
รอให้โค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้ก่อนเหรอ? ฝันไปแล้วมั้ง? เหมียวอี้พูดแขวะในใจ เขาไม่ได้สนใจตำแหน่งประมุขปราชญ์ที่เป็นได้แค่ในนามนี้เลย เป็นการรับมือเพราะโดนกดดันจนหมดทางเลือกล้วนๆ จึงยิ้มตอบอย่างไม่ถือสา “เข้าใจ เข้าใจ”
“ตามข้ามาเถอะ!” จินม่านยื่นมือเชิญ
นางนำเหมียวอี้เดินเข้ามาจากตำหนักหลังด้วยตัวเอง ส่วนสตรีชุดเหลือสองคน หลังจากเข้ามาในตำหนักแล้วก็แย่งยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของประตูตำหนักหลัก
วินาทีที่เหมียวอี้ตามจินม่านเข้ามาในตำหนักใหญ่ที่ดูโบราณเรียบง่ายจากทางซ้ายมือ สายตาของชายหญิงยี่สิบกว่าคนที่สวมเครื่องแบบต่างกันและรอเงียบๆ อยู่ในนั้นก็จ้องมาทันที แต่ละคนจ้องเหมียวอี้อย่างไม่ละสายตา บางคนก็เคยเจอเหมียวอี้มาแล้ว บางคนก็ไม่เคยเห็นเหมียวอี้ แต่คนส่วนใหญ่ทำสายตาไม่เป็นมิตร
สามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าสุด ตรงหว่างคิ้วเป็นลายสัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ของจริง แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพระดับสำแดงฤทธิ์ สืออวิ๋นเปียนก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน หลังจากเหลือบมองเหมียวอี้อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง เขาก็ก้มหน้าก้มตาทันที เก็บความไม่พอใจไว้ในใจ
…………………………