พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1235 ประมุขปราชญ์หกลัทธิคนใหม่
จินม่านเอานิ้วจิ้มหน้าอกเขา “จุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่คืออะไรล่ะ? ทำเรื่องที่เจ้าควรจะทำ ทำเรื่องที่ประมุขปราชญ์ควรจะทำ!”
แย่แล้ว! เมื่อเห็นอีกฝ่ายใกล้จะใช้ความรุนแรง เหมียวอี้ก็ไม่พูดอะไรแล้วเช่นกัน ได้แต่พยักหน้าซ้ำๆ
จินม่านที่หันหน้าหนีแล้วถอนหายใจเดินไปเดินมาสองสามก้าว พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง แล้วกันมาหาสตรีชุดเหลืองสองคนที่เฝ้าอยู่ทางซ้ายและขวาของประตูตำหนักหลัง “พวกเจ้ามานี่หน่อย”
สตรีชุดเหลือสองคนรีบเข้ามาคำนับทันที “ประมุขขุนพล!”
“นางชื่อเหลียงหรง” จินม่านชี้ไปที่คนตัวสูงกว่า แล้วก็ชี้ไปที่คนตัวเตี้ยเพื่อแนะนำให้เหมียวอี้รู้จักอีก “นางชื่อหมี่หลิง ประมุขปราชญ์ผู้สง่าน่าเกรงขาม ถ้าข้างกายไม่มีใครดูแลก็จะฟังดูเหลวไหล ข้าเลือกให้มาดูแลเจ้าด้วยตัวเอง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกนางสองคนจะคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเจ้า พร้อมทั้งคอยปกป้องเจ้าด้วย แต่ข้าจะขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนนะ ทางที่ดีเก็บอาการลามกจกเปรตของเจ้าเอาไว้สักหน่อย อย่าคิดว่าตัวเองเป็นประมุขปราชญ์แล้วะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ พวกนางล้วนเป็นนักพรตบงกชรุ้ง ทางที่ดีเจ้าก็ชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย และแน่นอน ถ้าพวกนางสองคนเต็มใจเอง เช่นนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”
เหมียวอี้ชำเลืองมองผู้หญิงทั้งสองคน คิดในใจว่าจะมาปกป้องตนหรือจะมาจับตามองตนกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นประมุขขุนพลท่านนี้ก็เข้าใจเขาผิดแบบถลำลึกเกินไป แต่พอนึกถึงภาพที่เปิดโลงศพแล้วค้นตัวผู้หญิงคนนี้ก่อนหน้านี้ สายตาก็อดไม่ได้ที่จะเกลื้องกลิ้งอยู่บนเรือนร่างของจินม่าน
จินม่านเหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง กำนิ้วทั้งห้าเอาไว้ เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะโบกเหมียวอี้สักฝ่ามือ แต่สุดท้ายก็อดทนไว้ได้ นางพ่นเสียงทางจมูก “เฮอะ” แล้วกันตัวเกินออกไป พร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ลานบ้านหลังตำหนักข้าปล่อยให้ว่างแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรก็มาหาข้าที่ลานบ้านด้านข้างได้ทุกเมื่อ รีบเพิ่มวรยุทธ์ของตัวเองแข่งกับเวลา วรยุทธ์ของเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ ส่งประมุขปราชญ์ไปพักผ่อน!”
มือที่กำลังไขว้หลังดีดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งกลับมา เหมียวอี้รับมาตรวจดูในมือ พบว่าข้างในมียาแก่นเซียนนับไม่ถ้วน
เหมียวอี้งงทันที ก่อนหน้านี้ค้นตัวนางไม่เห็นเจออะไร เมื่อครู่นี้ก็ไม่เห็นว่าบนตัวของผู้หญิงคนนี้จะมีของอะไรด้วย ไปเอามาจากไหนนะ
“ประมุขปราชญ์ เชิญเจ้าค่ะ!” เหลียงหรงและหมี่หลิงยื่นมือเชิญอยู่ทางซ้ายและขวา
เหมียวอี้ที่กลับมาถึงลานบ้านใหญ่หลังตำหนักไม่มีอารมณ์จะเข้าพัก เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้าน ครุ่นคิดแผนการที่จะเอาตัวรอดจากที่นี่ ผู้หญิงสองคนที่คอยดูแลตนอยู่ที่นี่ก็คือปัญหา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนกำลังเฝ้าจับตาดู…
ยังเดินวนได้ไม่กี่รอบ ด้านนอกก็มีคนรายงานว่า “ประมุขปราชญ์ ประมุขปราชญ์อีกห้าลัทธิรวมตัวกันมาขอเข้าพบขอรับ”
“ประมุขปราชญ์อีกห้าท่าน?” เหมียวอี้งุนงง ถามอย่างสงสัยว่า “อีกห้าลัทธิก็มีประมุขปราชญ์แล้วเหมือนกันเหรอ?”
ผู้ที่มารายงานตอบว่า “เป็นสหายห้าท่านของประมุขปราชญ์ขอรับ”
“…” เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ได้เป็นประมุขปราชญ์แล้วเหรอ? เขาไม่ค่อยกล้าเชื่อเท่าไร “ไปเชิญมา!”
“ขอรับ!” หลังจากคนที่มารายงานออกไปได้ไม่นาน ด้านนอกประตูก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมาพร้อมผู้ติดตามที่เป็นโจรกบฏสองคน ทำให้มาพร้อมกันรวดเดียวสิบห้าคน
เช่นเดียวกับเหมียวอี้ ทั้งห้าล้วนเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าที่โดดเด่นสะดุดตา แต่ละคนมีลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา มีสง่าราศียิ่งกว่าเหมียวอี้เสียอีก ถึงอย่างไรก็อยู่เหนือคนอื่นมาเป็นเวลานาน ท่วงท่าก็เห็นๆ กันอยู่ โดยเฉพาะมู่ฝานจวิน สวมชุดสีขาวราวกับหิมะ ไม่รู้ว่าชุดทำมาจากวัสดุอะไร สีขาวสวยงาม ยังแต่งตัวเป็นผู้ชายไม่เปลี่ยน แยกอยากมากว่าเป็นหญิงหรือชาย ดูมีรสนิยมมาก
พอเห็นการแต่งตัวของเหมียวอี้ ทั้งห้าก็สบตากันแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกทั้งอยู่ในความคาดหมายและอยู่นอกเหนือความคาดหมาย
“มีอะไรก็เข้าไปคุยกันข้างใน” ขณะที่เหมียวอี้กำลังจะเอ่ยปาก อวิ๋นอ้าวเทียนก็แย่งพูดก่อน จากนั้นหันกลับไปตะคอกสั่งผู้ติดตามสองคนของตัวเอง “พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกก่อน” พูดจบก็เดินก้าวยาวเข้าไปในโถงหลัก
“พวกเราก็รออยู่ข้างนอกเหมือนกัน!” พวกมู่ฝานจวินก็ตะคอกสั่งอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าบ้านกล่าวอะไร แต่ละคนเดินเข้าไปในโถงหลักเองโดยไม่ได้ต้องเชิญแล้ว
พอเห็นพวกอวิ๋นอ้าวเทียนวางมาดสั่งผู้ติดตามที่เป็นโจรกบฏตรงๆ เหมียวอี้ก็มองดูผู้ติดตามสองคนที่ถูกส่งมาให้ตัวเอง พอคิดถึงความรอบคอบระมักระวังของตัวเอง ก็รู้สึกตื่นตระหนกตกใจนิดหน่อย
“พวกเจ้าก็รออยู่ข้างนอกเหมือนกัน!” เหมียวอี้ก็เริ่มแข็งกร้าวกับเหลียงหรงและหมี่หลิงแล้ว
พอเข้ามาด้านใน เห็นทั้งห้าต่างคนต่างหาที่นั่งเองแล้ว เหมียวอี้ก็เอยปากถามทันทีว่า “พวกเจ้าก็ได้เป็นประมุขปราชญ์ห้าลัทธิเหมือนกันเหรอ?”
ซือถูเซี่ยว “เรื่องนี้มีเงื่อนงำนิดหน่อย ช่างทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ อาศัยศักยภาพของพวกเราสามารถเป็นประมุขปราชญ์ได้ด้วยเหรอ?”
“มีเงื่อนงำจริงๆ” เหมียวอี้ส่ายหน้า และนั่งลงบนเก้าอี้ยาวแล้วเช่นกัน
อวิ๋นอ้าวเทียนเหล่ตามองมา “คนที่มีเงื่อนงำที่สุดก็คือเจ้านั่นแหละ ตอนนี้ก่อเรื่องจนเป็นแบบนี้แล้ว เจ้าบอกมาเสียดีๆ ที่เจ้าถ่อมาถึงนี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เหมียวอี้ยกมือสองข้าง “ข้าเข้ามาทำอะไรที่แดนอเวจีใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้เสียหน่อย ก็เพื่อทดสอบให้ได้คะแนนดีๆ ไงล่ะ ไม่อย่างนั้นใครจะมาที่นี่ได้ล่ะ?”
มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ! ทั้งห้าสบตากันแวบหนึ่ง
เมื่อเห็นเขาไม่ได้ตอบอย่างซื่อสัตย์ จีฮวนก็พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ยังคิดจะทดสอบให้ได้คะแนนดีๆ อยู่อีกเหรอ เจ้าออกไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้ข้ากังวลว่าลูกสาวข้าจะเป็นหม้าย”
“เจ้าหวังจะเห็นลูกสาวตัวเองเป็นหม้ายมากเลยใช่มั้ยล่ะ?” เหมียวอี้ถามกลับ
จีฮวนพูดไม่ออกแล้ว ฉางเหลยโบกมือบอกว่า “ตอนนี้ยังมีอารมณ์มาปะทะฝีปากกันอีกเหรอ? ตอนนี้พวกเรามาคิดกันเถอะว่าจะเอาตัวรอดยังไง เออใช่ ตอนนี้เหมือนจะไม่จำกัดให้พวกเราใช้ระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ เจ้ารู้จักกับเกาก้วนอะไรนั่นไม่ใช่หรอ รีบติดต่อสิ ดูว่าจะสามารถนำทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์มาได้รึเปล่า ถึงตอนนั้นก็คิดหาทางพาพวกเราออกไป”
เหมียวอี้เอามือลูบจมูก เขากับเกาก้วนแค่รู้จักกันเฉยๆ ความสัมพันธ์ยังไม่ได้ดีถึงขั้นที่จะให้เกาก้วนช่วยตนพาห้าคนนี้ออกไป แถมเจ้าพวกนี้ยังฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษอีกด้วย ถ้าพูดถึงต่อหน้าเกาก้วนจริงๆ แบบนั้นก็ยุ่งยากแล้ว ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะทำให้ห้าคนนี้สงบลงและไม่เปิดเผยฐานะที่ตำหนักสวรรค์ของเขา เขาจึงหลอกตบตาไปอย่างนั้น ที่จริงไม่มีทางพาพวกเขาออกไปได้เลย
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหาข้ออ้างบอกว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเราไม่มีที่ให้หลบแล้ว ถ้าให้ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์โจมตีเข้ามาจริงๆ โจรกบฏกลุ่มนี้ก็จะสังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที ดีไม่ดีอาจจะควบคุมตัวพวกเราไว้ก่อนก็ได้ ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
“เจ้าใจกล้ามากไม่ใช่เหรอ? ขนาดที่นี่ยังกล้ามา แต่กลัวเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?” จีฮวนถามอย่างแปลกใจ
เหมียวอี้จอบว่า “ก็ต้องกลัวอยู่แล้วล่ะ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าที่นี่คือรังของโจรกบฏ ตอนนี้แน่ใจแล้วจะยังกล้าทำซี้ซั้วอีกได้ยังไง”
การเจรจาไร้ผลลัพธ์ ที่นี่คือรังของโจรกบฏ ทุกที่ล้วนมีหูตาของโจรกบฏ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมหรือศักยภาพของอีกฝ่าย ตอนนี้พวกเขายังคิดหาทางปลีกตัวออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงรอคอยโอกาสที่เหมาะสม รอให้เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“ขออภัยที่ส่งได้เพียงตรงนี้!” เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังกล่าวกลั้วหัวเราะอยู่ในลานบ้าน
ไม่มีใครสนใจเขา พอออกจากประตูลานบ้านมาแล้ว พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่ได้รีบออกไป แต่สำรวจสภาพแวดล้อมของที่นี่ พวกเขาเดินมาถึงข้างหน้าผมที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล ด้านล่างมีคลื่นซัดกระทบฝั่งอย่างรุนแรง
“ที่ดาวของข้ามีแหล่งน้ำอยู่แทบทุกที่ มีหมอกพิษอบอวลทั้งวัน สภาพแวดล้อมของที่นี่ดีกว่าของพวกเราตั้งเยอะ” จีฮวนพลันกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“แหล่งน้ำก็เหมาะกับการอยู่อาศัยของปีศาจเฒ่าอย่างเจ้าไม่ใช่เหรอ ยังมีอะไรไม่พอใจอีก” ซือถูเซี่ยวกล่าว
อวิ๋นอ้าวเทียนหันกลับมามองผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไกล แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “สภาพแวดล้อมไม่ดีก็ทำได้เพียงอดทนไปก่อน ตอนนี้ทำได้แค่รอดูสภานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ดูว่าโจรกบฏกลุ่มนี้คิดจะเล่นบ้าอะไรกันแน่”
พวกเขาได้ยินแล้วแอบพยักหน้า กลับเป็นมู่ฝานจวินที่ตั้งแต่มาที่นี่ก็ขมวดคิ้วเงียบๆ มาตลอดที่ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ทำไมต้องอยากออกไปจากที่นี่ด้วยล่ะ? บางทีที่นี่อาจจะเป็นที่ลงหลักปักฐานก็ได้!”
“…” อีกสี่คนที่เหลือได้ยินแล้วหันหน้ามองมาพร้อมกัน ทุกคนมองนางอย่างค่อนข้างแปลกใจ ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงพูดแบบนี้?
ฉางเหลยแปลกใจ ถ่ายทอดเสียงถามว่า “หมายความว่ายังไง? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจริงๆ ว่าพวกเขาอยากให้พวกเราเป็นประมุขปราชญ์จากใจจริง?”
มู่ฝานจวินที่ขมวดคิ้วไม่คลายกล่าวเนิบๆ ว่า “พวกเราออกไปแล้วยังไงล่ะ? พวกเราฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่นะ ในสายตาของตำหนักสวรรค์พวกเราต่างอะไรกับโจรกบฏ? ถ้าพวกเราจะเที่ยวเร่ร่อนหากินอยู่ข้างนอก ไม่ช้าก็เร็วจะต้องโดนเปิดโปง พูดถึงในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ พวกเราก็คือโจรกบฏในสายตาของตำหนักสวรรค์ เดิมทีพวกเราก็เป็นพวกเดียวกันกับโจรกบฏพวกนี้อยู่แล้ว ถ้าจะต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ข้างนอก ไม่สู้ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่อย่างสง่าผ่าเผยดีกว่า”
ทุกคนพากันเงียบงันพูดไม่ออก
อวิ๋นอ้าวเทียนบอกว่า “ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ก็เถอะ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าโจรกบฏกลุ่มนี้หน้าเนื้อใจเสือกับพวกเราหรือไม่ ต่อให้จะไม่มีเจตนาร้ายกับพวกเรา แต่การโดนขังอยู่ที่นี่จะมีอนาคตเหรอ? ถ้าโดนขังอยู่ที่นี่นานๆ จะต่างอะไรกับอยู่พิภพเล็ก? ที่พวกเรารีบออกจากพิภพเล็กมาที่นี่ก็เพื่ออะไรล่ะ? ที่จริงที่นี่ยังเทียบกับพิภพเล็กไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยที่พิภพเล็กก็ยังมีทรัพยากรฝึกตน แต่ที่นี่ล่ะ? อย่าบอกนะว่าพวกเราจะต้องโดนขังอยู่ที่นี่จนแก่ตาย?”
“อย่าบอกะนว่าหลังจากรับตำแหน่งประมุขปราชญ์ลัทธิมารแล้ว พวกเขาไม่ได้ให้ทรัพยากรฝึกตนกับเจ้า?” มู่ฝานจวินถามกลับ
อวิ๋นอ้าวเทียนตอบว่า “ให้แล้ว เพียงพอให้ข้าเพิ่มวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้ง อาจจะพอให้ช่วยเพิ่มวรยุทธ์ถึงบงกชรุ้งขั้นห้าด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สนใจใยดีลูกศิษย์และลูกๆ ที่มามาด้วยใช่มั้ย? และเย่สิงคงประมุขขุนพลลัทธิมารก็บอกไว้แล้ว ว่านี่คือของที่กักเก็บไว้ ที่แดนอเวจีขาดแคลนทรัพยากรฝึกตน หลังจากนักพรตที่แดนอเวจีใช้ทรัพยากรฝึกตนที่นำมาด้วยในปีนั้นหมดแล้ว ก็หมดค้างอยู่อย่างนั้นมาตลอดจนถึงตอนนี้ เมื่อได้ทรัพยากรมานิดหน่อยจากการปล้นฆ่า ก็นำมาเป็นรางวัลให้คนที่มีผลงานหมด ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือทรัพยากรฝึกตนของที่นี่ไม่มีทางอยู่ได้นาน เทียบกับภายนอกไม่ติดเลย ไม่มีทางคงอยู่ได้ยาวนาน”
มู่ฝานจวินจึงบอกว่า “พวกเขาเองก็ไม่ได้ใช้ สามารถนำทรัพยากรที่สะสมไว้มาให้พวกเราได้ ก็อาจจะไม่ได้มีเจตนาร้านกับพวกเราก็ได้ บางทีอาจจะมีเจตนาที่ล้ำลึกอีกอย่างหนึ่ง บางทีเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราอาจจะมีประโยชน์กับพวกเขามากจริงๆ ทุกคนอย่าลืมคำทำนายของเทพพยากรณ์นะ”
“ใช้วิธีเสี่ยงอันตรายจะเกิดหายนะ หากไร้ทางไป นี่คือที่พึ่ง งูไร้หัวก็เลื้อยไม่ได้ รออย่างเงียบงันอยู่ในกรง ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน…” จีฮวนที่พึมพำซ้ำๆ พลันอุทานอย่างตกใจว่า “อย่าบอกนะว่าชะตาพลิกผันที่เทพพยากรณ์บอกหมายถึงเรื่องนี้? สถานการณ์จะพลิกผัน สถานการณ์จะพลิกผันได้ยังไงล่ะ? อยู่ที่แดนอเวจีจะพลิกผันอะไรได้?”
มู่ฝานจวินจึงถามกลับว่า “เจ้าไม่ได้ถามพวกเขาเหรอว่าทำไมถึงให้เจ้าเป็นประมุขปราชญ์?”
“เรื่องที่แปลกประหลาดไร้คำอธิบาย ข้าย่อมอยู่แล้ว” จีฮวนพยักหน้า ตอบว่า “พวกเขาบอกให้พาพวกเขาไปล้างแค้น ให้หลุดพ้นจากแดนอเวจี โค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะ แต่เรื่องนี้เป็นไปได้สำหรับพวกเราเหรอ? ต่อให้พวกเราร่วมมือกัน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสู้กับตำกนักสวรรค์หรือว่าแดนสุขาวดีได้!”
มู่ฝานจวินถามอีกครั้งว่า “เรื่องอะไรที่สามารถเรียกว่า ”สถานการณ์พลิกผัน’ ที่พิภพใหญ่ได้ล่ะ? ถ้าคำทำนายของเทพพยากรณ์ไม่ผิดพลาด โจรกบฏในนรกสู้กับประมุขชิงและประมุขพุทธะจนเป็นวีรบุรุษได้อีกครั้ง แบบนี้ถือว่าสถานการณ์พลิกผันหรือเปล่า?”
พวกเขาได้ยินแล้วตกใจ มองหน้ากันลิกลั่ก
อวิ๋นอ้าวเทียนมองสำรวจนางศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง เขาค่อนข้างเข้าใจผู้หญิงคนนี้ จึงถามอย่างสงสัยว่า “เหมือนเจ้าจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะอยู่ที่นี่ เจ้าค้นพบเบาะแสอะไรใช่มั้ย?”
มู่ฝานจวินแววตาวูบไหว นางซ่อนจิตใจที่เห็นแก่ตัวเอาไว้ ไม่มีทางพูดออกมาชัดเจน ได้แต่ส่ายหน้าตอบว่า “พวกเขาจะให้พวกเราเป็นประมุขปราชญ์จริงหรือไม่ พวกเราทดลองควบคุมดูเดี๋ยวก็รู้แล้ว ต่อให้จะใช้ประโยชน์พวกเราแล้วยังไงล่ะ พวกเขาให้ทรัพยากรฝึกตนกับพวกเรา การใช้ประโยชน์แบบนี้ต่างอะไรกับที่พวกเราไปเสี่ยงอันตรายด้านนอกเพื่อให้ได้มา? ก็เหมือนที่พวกเจ้าบอก ในเมื่อตอนนี้ไม่มีหนทางแล้ว ไม่สู้ดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
…………………………