พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1237 เก็บเขาไว้ไม่ได้อีกแล้ว
จินม่านคิดไม่ตกแล้ว เมื่อเทียบกับประมุขปราชญ์อีกห้าคน ทำไมประมุขปราชญ์ของแดนอู๋เลี่ยงจึงเหมือนสินค้าร้านแผนลอยข้างทาง เมื่อสืบสาวราวเรื่องจนถึงแก่นแท้แล้ว คาดว่ายังคงเป็นปัญหาเรื่องคุณสมบัติเฉพาะบุคคล เจ้าเวรนี่เป็นพวกต่ำทรามไร้ยางอายแท้ๆ เลย!
นางเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำเรื่องที่เหมียวอี้ค้นทั้งร่างกายนางในตอนนั้นมาอ้างอิง แค่คิดก็รู้แล้วว่าผู้ชายที่กล้าลูบไล้เรือนร่างผู้หญิงแปลกหน้ามีคุณสมบัติประจำตัวอย่างไร ไม่อย่างนั้นทำไมตอนที่อีกห้าปราชญ์ค้นตัวถึงไม่ทำซี้ซั้วล่ะ มีแค่ประมุขปราชญ์ลัทธินี้ที่มือเท้าไม่สะอาด?
เรื่องนี้ยิ่งคิดยิ่งน่าโมโมโห อยากจะฟันเจ้าเวรนี่ทิ้งแล้วเปลี่ยนคนใหม่จริงๆ ทว่าประมุขปราชญ์ไม่ใช่สิ่งที่นางคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมักจะไม่ปรานีแบบนี้ ทุกคนที่เจอหน้าก็สั่งสอนตำหนิเหมือนตนเป็นหลานชาย ในใจเหมียวอี้ก็มีน้ำโหแล้วเหมือนกัน ปากก็เรียกประมุขปราชญ์ แต่ปฏิบัติต่อข้าเหมือนประมุขปราชญ์สักนิดบ้างรึเปล่า
เหมียวอี้อยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วสู้สุดชีวิตกับนางจริงๆ แต่อีกฝ่ายวรยุทธ์สูงน่ากลัว ถ้าสู้กันจริงๆ แทนที่จะเรียกว่าสู้สุดชีวิตก็จะกลายเป็นเรียกว่าเอาชีวิตไปทิ้งแทน ไม่มีความได้เปรียบแม้แต่เศษเสี้ยว คิดไปคิดมาก็ทำได้เพียงอดทนไว้ รอให้มีโอกาสปลีกตัวออกไปก่อน ต้องมีสักวันที่จะทำให้นางมารร้ายนี่ได้รับบทเรียน!
ตอนนี้ทำได้เพียงยิ้มแห้งพร้อมตอบว่า “ก็ไม่ได้เพ่นพ่านไปทั่วนะ แค่อยากจะทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ของพวกเราสักหน่อย”
นี่เป็นคำโกหกอยู่แล้ว ที่จริงเขาอยากจะหนี อยู่ที่นี่มาหลายสิบปีแล้ว จะหลบเลี่ยงเหลียงหรงกับหมี่หลิงก็ยังพอทำได้ แต่ที่นี่คือรังโจรกบฏ ทุกที่ล้วนมีหูตาของโจรกบฏ เขาหาโอกาสทดลองมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่มักจะถูกจับได้และดักไว้กลางทางเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
จินม่านเห็นเขาไม่ร้อนใจที่จะทำการทำงาน แต่ความจริงเขาก็ร้อนใจเหมือนกัน การทดสอบของตำหนักสวรรค์ใกล้จะจบลงแล้ว ถึงตอนนั้นถ้ากลับไปไม่ได้ก็จะแย่แล้ว เขาไม่ได้อยากอยู่ในสถานที่ยากจนแบบนี้ อยากจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ผู้ร่ำรวยจนน้ำมันหยดเท่านั้น
ไม่กลับไปไม่ได้จริงๆ! ครอบครัวล้วนอยู่ข้างนอก ถ้าตัวเองรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้แล้ว ศัตรูคู่อาฆาตมากมายขนาดนั้น คนที่เกี่ยวข้องกับตนจะต้องซวยกันหมดแน่นอน
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีแผนรับมือ เขาคิดไว้ดีแล้ว ถ้ากลับไปไม่ได้จริงๆ ก็จะแอบรายงานข่าวให้ตำหนักสวรรค์รู้ บอกตำหนักสวรรค์ว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในหน่วยในของโจรกบฏแล้ว หลังจากตำหนักสวรรค์ได้ข่าวจะต้องคิดหาทางปลอบขวัญบำรุงขวัญตนแน่นอน ไม่มีทางจะปล่อยให้คนอื่นมาแตะต้องคนของตัวเองซี้ซั้ว ขอเพียงสิ่งที่ตนขอร้องไม่ได้มากเกินไป ตำหนักสวรรค์จะต้องเติมเต็มได้แน่นอน
ทว่าถ้ายังไม่ถึงขั้นหมดหนทางจริงๆ เขาก็จะไม่ใช้แผนการนี้ ถ้าโดนตำหนักสวรรค์จัดให้เป็นสายลับอยู่ในสถานที่บ้าๆ แบบนี้ก็จะอันตรายเกินไป ยิ่งอยู่ที่นี่นาน โอกาสที่จะโดนเปิดโปงก็ยิ่งมีมาก ดีไม่ดีอาจจะทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนพลอยลำบากไปด้วย
“ทำความคุ้นเคยสถานการณ์เหรอ แล้วเจ้าคุ้นเคยอะไรไปบ้างแล้วล่ะ? เจ้าดูประมุขปราชญ์อีกห้าคนสิ ยามปกติพวกเขาสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกำลังพลระดับล่าง ได้รับความเชื่อมั่นจากคนไม่น้อยเลย แต่เจ้าล่ะ? นอกจากฝึกตนเจ้าก็เตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ! ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนนะ ถ้าเจ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ระวังกำลังพลเบื้องล่างจะปลุกระดมก่อกบฏ ฉวยโอกาสเหมาะๆ ประหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง ถึงตอนนั้นถ้าไม้กลายเป็นเรื่องแล้วข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้เหมือนกัน!” จินม่านกล่าวด้วยสีหน้าโกรธเคือง
ทหารก่อกบฎ? มารดาเจ้าเถอะ แบบนั้นก็อันตรายเกินไปแล้ว อยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้ว! เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าเองก็สนใจสถานการณ์ของกำลังพลเบื้องล่างเหมือนกันนะ สถานการณ์การรบของเหล่าพี่น้องกับโจรกบฏ ข้าก็ให้ความสนใจมาตลอดเช่นกัน”
คำพูดนี้ไม่ใช่คำพูดหลอกลวง เขาให้ความสนใจสถานการณ์การทดสอบของตำหนักสวรรค์มาตลอด ถ้าหกลัทธิโจมตีสมาชิกที่เข้าร่วมการทดสอบ สุดท้ายก็จะรายงานสรุปมาที่ฐานเดิมทางนี้ ด้วยสถานะของเขาตอนนี้สามารถสืบข่าวได้ง่ายมาก แค่ถามเหลียงหรงกับหมี่หลิงนิดหน่อยก็รู้แล้ว
ผู้เข้าร่วมการทดสอบของตำหนักสวรรค์เรียกได้ว่าอนาถมาก กำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนถูกกำจัดไปแล้วหนึ่งล้านกว่า เวลานี้เหลืออีกสิบปีก็จะจบการทดสอบแล้ว หลังจากผ่านสิบปีนี้ไป ก็ไม่รู้ว่าคนที่รอดชีวิตกลับไปจะเหลือเท่าไร พอเบื้องบนออกคำสั่งมา ชีวิตของเบื้องล่างก็ต่ำต้อยด้อยค่าเหมือนหมดจริงๆ
ที่จริงเขาก็แอบคิดว่าตัวเองโชคดี ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะได้รวมตัวกับพวกอวิ๋นอ้าวเทียน แล้วโจรกบฏฝั่งนี้จำเคล็ดวิชาของพวกเขาได้ ถ้าตนลงสนามและเพ่นพ่านไปทั่วอยู่เพียงลำพัง จะต้องมีชีวิตอยู่ไม่ถึงไหนแน่
จินม่านที่ถูกทำให้โมโหจนกลายเป็นผู้หญิงปากร้ายถามกลับด้วยเสียงโกรธว่า “ยังทำอะไรอีกมั้ย? แค่เนี้ยน่ะเหรอ? เรื่องพวกนี้แค่ถามเอาส่งเดชก็รู้แล้ว มันเสียเวลาเจ้าสักเท่าไรเชียว?”
ด่ามาเถอะ! เหมียวอี้ก้มหน้า ปล่อยให้นางด่าต่อไป ในใจแอบปลอบตัวเองว่า ลูกผู้ชายไม่รีบแก้แค้น…
“ถูกดักกลับไปอีกแล้วเหรอ?”
ในตำหนักศิลาโอ่อ่าที่แกะลายฉลุจากหน้าผาบนภูเขาสูง มู่ฝานจวินเดินออกมา ยืนทอดสายตามองฟ้าดินตรงหน้าระเบียงหิน พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อันหรูอวี้ที่ติดตามอยู่ข้างกายตอบอย่างมีปฏิภาณว่า “ใช่ค่ะ!”
ตอนนี้มู่ฝานจวินให้อันหรูอวี้กับจงเจิ้นมาเป็นลูกน้องคนสนิทข้างกายแล้ว ผู้หญิงสองคนที่จ่างซุนจูจัดมาให้ตอนแรกถูกนางผลักออกไปคอยฟังคำสั่งชั้นนอก ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ การใช้งานคนของตัวเองย่อมวางใจได้มากกว่า
ตอนแรกจงเจิ้นกับอันหรูอวี้ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าท่านอาจารย์และอีกห้าปราชญ์จะกลายเป็นผู้นำทั้งหกของโจรกบฏในนรกแล้ว
“เขาหนีออกมากี่ครั้งแล้ว?” มู่ฝานจวินถาม
“เฉลี่ยแล้วทุกๆ สองปีจะหนีออกมาครั้งหนึ่งค่ะ” อันหรูอวี้ตอบ
มู่ฝานจวินกล่าวว่า “หรูอวี้ ลูกเขยเจ้าคนนี้อยู่ไม่สุขเลยนะ สงสัยเขาจะอยู่ในสถานที่ยากจนแบบนี้ไม่ได้! เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยล้มเลิกแผนการที่จะหนีออกจากที่นี่ การทดสอบของตำหนักสวรรค์ใกล้จะจบลงแล้ว เกรงว่าเขาคงจะร้อนใจมาก เกรงว่าอาจจะทำเรื่องที่เสี่ยงเพราะเข้าตาจนได้”
อันหรูอวี้ไม่ตอบอะไร นางไม่แสดงความเห็นเรื่องนี้ เมื่อยืนอยู่ในจุดของนาง นางยังหวังให้เหมียวอี้กลับไปอยู่กับลูกสาวของนาง ในฐานะที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน นางรู้ว่ารสชาติของการเป็นหม้ายกันทรมาน แต่ดูจากที่ท่านอาจารย์เตรียมจะลงหลักปักฐานอยู่ในนรก นางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรแล้ว
“ไปเชิญลูกเขยเจ้ามาสักเที่ยวสิ”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ภายใต้การนำทางของอันหรูอวี้ เหลียงหรงกับหมี่หลิงก็ติดตามเหมียวอี้เหาะมาเหยียบลงในก้อนหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผา ประตูใหญ่ทางเข้าตำหนักเซียนอยู่ด้านหลังก้อนหินที่หน้าตาเหมือนคนกำลังยื่นมือรับแขก
หลังจากเข้ามาในตำหนักเซียน อันหรูอวี้ก็ขวางเหลียงหรงกับหมี่หลิงเอาไว้ ให้ทั้งสองรออยู่ที่นี่สักครู่ นำแค่เหมียวอี้เข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวของประมุขปราชญ์
“อยากรีบเจอข้าด้วยธุระอะไร?” เหมียวอี้ที่เข้ามาถึงตำหนักหลังนั่งลงข้างโต๊ะศิลาที่สามารถชมทิวทัศน์ริมหน้าผาโดยตรง เขาพยักหน้าขอบคุณอันหรูอวี้ที่รินน้ำชาให้
“เจ้าออกไปก่อนเถอะ!” มู่ฝานจวินที่ยืนทอดสายตาอยู่ริมระเบียงแกะสลักหันตัวมาบอกอันหรูอวี้ รอจนอันหรูอวี้ออกไปแล้ว นางก็นั่งลงตรงข้ามเหมียวอี้เช่นกัน แล้วถามเหมือนอมยิ้มว่า “ถูกจับกลับมาอีกแล้วเหรอ? การทดสอบใกล้จะจบแล้ว เจ้าร้อนใจอยากจะออกไปมากเลยใช่มั้ย?”
“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าบอกว่า “ที่นี่มีหูมีตาเยอะเกินไป ไม่มีทางปลีกตัวไปได้เลย อย่าบอกนะว่าที่เจ้าเรียกข้ามาเพราะมีวิธีการดีๆ อะไร?”
“มีเรื่องอื่นอยากจะคุยกับเจ้า อยากจะถามเจ้าสักหน่อย ว่าเจ้าเจอเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้ยังไง?” มู่ฝานจวินถาม
เหมียวอี้ชะงักไปชั่วครู่ นึกไม่ถึงว่านางจะเรียกหาตนด้วยเรื่องนี้ จึงแสยะยิ้มพร้อมตอบว่า “เกรงว่าเยว่เหยาคงจะมอบเคล็ดวิชาภาคดินให้เจ้าไปแล้วมั้ง?”
“ไม่ผิดหรอก!” มู่ฝานจวินไม่ได้ปิดบัง บอกตรงๆ เลยว่า “ข้าอยากได้เคล็ดวิชาภาคฟ้า!”
เหมียวอี้ส่ายหน้าตอบว่า “ข้าก็ไม่มีเหมือนกัน ข้ากำลังคิดหาทางสืบที่อยู่ของมัน”
มู่ฝานจวินยังคงพูดเหมือนเดิมว่า “เจ้าหาเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้ยังไง? เจ้าหาเบาะแสอะไรบางอย่างเจอแล้วใช่มั้ย?”
เหมียวอี้จะบอกความจริงได้อย่างไรกัน ถอนหายใจแล้วตอบว่า “มีเบาะแสอะไรที่ไหนกันล่ะ ก็แค่ได้ผลประโยชน์จากทำเลที่อยู่เฉยๆ ข้ารักษาการณ์ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวน รับผิดชอบป้องกันพวกออกนอกลู่นอกทาง ลูกน้องสืบข่าวอะไรมาได้ก็จะรวบรวมรายงานมาให้ข้าหมด เคล็ดวิชาของเจ้าข้าก็แค่สะสางออกมาได้จากรายงานเท่านั้น”
สำหรับคำตอบนี้ มู่ฝานจวินไม่มีความเห็นใดๆ เพียงรินน้ำชาให้ตัวเองเงียบๆ แล้วยกน้ำชาจิบชิมรสอย่างช้าๆ
เหมียวอี้ก็ยกน้ำชาจิบอย่างเนิบนาบเช่นกัน มอบเหล่ตามองสังเกตปฏิกิริยาของมู่ฝานจวิน จู่ๆ อีกฝ่ายก็มาถามเรื่องนี้กับเขา ทำให้เขารู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
แต่มู่ฝานจวินก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก แค่หยั่งเชิงท่าทีของเหมียวอี้เล็กน้อย ก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้ไม่มีทางบอกความจริงกับนางง่ายๆ
จะใช้ไม้แข็งตรงๆ ก็ไม่ได้ ไม่ว่าเหมียวอี้จะได้ใจคนลัทธิอู๋เลี่ยงหรือไม่ แต่ถ้าแตะต้องเหมียวอี้ก็เท่ากับตบหน้าลัทธิอู๋เลี่ยง ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็มีฐานะท่านปราชญ์อู๋เลี่ยงคุ้มหัวอยู่ เมื่อประมุขโดนหยามเกียรติ เหล่าขุนนางก็ย่อมยอมตายเพื่อถวายความจงรักภักดี กำลังพลอู๋เลี่ยงจะต้องไม่ตอบตกลงแน่ คนฝั่งลัทธิเซียนก็จะเกลี้ยกล่อมห้ามปรามเช่นกัน กำลังพลอีกสี่ลัทธิก็คงไม่นั่งดูความขัดแย้งภายในหกลัทธิเฉยๆ แน่
มิหนำซ้ำถ้าสู้กันขึ้นมา มู่ฝานจวินก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าจะเอาชนะเหมียวอี้ได้ ถึงตอนนั้นใครจะเสียเปรียบก็ยังไม่รู้ ชื่อเสียงที่เขาโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
หลังจากอันหรูอวี้ส่งเหมียวอี้กลับไปด้วยตัวเองแล้ว มู่ฝานจวินก็จ้องถ้วยน้ำชาที่เล่นอยู่ในมือพร้อมกระซิบเบาๆ ว่า “ให้อวิ๋นอ้าวเทียน จีฮวน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวมาหาข้าหน่อย”
อันหรูอวี้สังเกตได้ว่าท่านอาจารย์ค่อนข้างแปลกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อครู่นี้คุยอะไรกับเหมียวอี้ไป นางได้แต่เอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสี่คนก็ทยอยกันมาจนครบ จีฮวนที่มาถึงคนสุดท้ายนั่งลงแล้วมองไปรอบๆ “เหมียวอี้ไม่มาเหรอ?”
มู่ฝานจวินเอียงหน้าให้อันหรูอวี้ที่กำลังรินน้ำชา “ไม่ต้องทำงานตรงนี้แล้ว เจ้าออกไปก่อน”
“ค่ะ!” อันหรูอวี้เอ่ยรับแล้วออกไป
หลังจากเหลือกันห้าคน อวิ๋นอ้าวเทียนก็ถามว่า “ยายแก่นแก้ว จู่ๆ ก็เรียกพวกเรามาแบบนี้ มีเรื่องอะไรกันแน่?”
มู่ฝานจวินนั่งกล่าวอย่างสีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “การทดสอบของตำหนักสวรรค์ใกล้จะจบแล้ว คาดว่าเหมียวอี้คงคิดหาทางเต็มที่เพื่อจะออกไปจากที่นี่”
จีฮวนถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “เขาไม่เคยหยุดเลย หัวใจของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าพวกเราอยู่ข้างนอกแล้วมีช่องทางร่ำรวยเหมือนกับเขา ข้าก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน ทำไมล่ะ เจ้าเรียกพวกเรามาบบนี้ หรืออยากจะให้พวกเราช่วยกันคิดหาทางให้เขาออกไป?”
“เหมียวอี้ เก็บเขาไว้ไม่ได้อีกแล้ว!” มู่ฝานจวินตอบเสียงเย็นชา
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา อีกสี่คนก็ทำสีหน้าตกตะลึง หันขวับไปมองนางพร้อมกัน เป็นเพราะนึกไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ อย่างน้อยทุกคนก็เกี่ยวดองกับเหมียวอี้ด้วยการแต่งงานแล้ว ถ้าไม่โดนกดดันจนหมดทางเลือก ก็ไม่มีใครเล่นงานเหมียวอี้ถึงตาย
“อามิตตาพุทร!” ฉางเหลยประนมมือ “มู่ฝานจวิน เจ้าคิดจะกำจัดเขาทิ้งเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าข้าอยากกำจัดเขาทิ้ง แต่ถ้าเขารอดชีวิตออกไปได้ ก็จะเป็นภัยคุกคามต่อพวกเรามากเกินไป ทุกคกน็น่าจะมองออกเหมือนกันนะ ตำแหน่งประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยงเดิมทีควรเป็นของเฟิงเป่ยเฉิน เพียงเพราะเฟิงเป่ยเฉินตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ โดนเหมียวอี้ฉวยโอกาสชุบมือเปิบเท่านั้น” มู่ฝานจวินตอบ
อวิ๋นอ้าวเทียนจ้องนางอย่างเย็นเหยียบ พร้อมถามเสียงต่ำว่า “แบบนี้นับว่าเป็นภัยคุกคามอะไร? นี่เป็นเหตุผลที่จะกำจัดเขาได้แล้วเหรอ?”
คนที่เหลือก็ทำสีหน้าไม่เข้าใจเช่นกัน
มู่ฝานจวินอธิบายว่า “พวกเราค่อยๆ ยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคงแล้ว กำลังพลระดับล่างเริ่มสวามิภักดิ์ ใครยังคิดจะตามเหมียวอี้ออกไปอีกล่ะ? ต่อให้พวกเราจะออกไปได้แล้ว แต่อาศัยเรื่องที่พวกเราเคยทำ ตำหนักสวรรค์จะปล่อยพวกเราไปได้เหรอ? มิหนำซ้ำเหมียวอี้ก็อาจจะพาพวกเราออกไปไม่ได้ก็ได้ ตอนแรกรีบร้อนตามมาโดยที่ยังไม่เข้าใจอะไร แต่ตอนนี้ทุกคนลองมาคิดดูหน่อยสิ ว่าทูตขวาเกาก้วนของตำหนักสวรรค์เป็นใครกัน? นั่นคือลูกน้องคนสนิทของราชันย์สวรรค์เชียวนะ เขาจะปล่อยคนที่ฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษไปง่ายๆ เหรอ คนประเภทนี้ถูกหลอกไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน ในฐานะที่เป็นลูกน้องคนสนิทของราชันสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยคนจากนรกออกไป มีหรือที่ตัวละครเล็กๆ อย่างเหมียวจะอี้ขอให้ผ่อนผันแล้วก็จะผ่อนผันได้? ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เหมียวอี้จะพาพวกเราไปเสี่ยงอันตรายนี้ เจ้าหมอนั่นหลอกลวงพวกเรามาตลอด! ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ยังรู้สถานการณ์ในนรกมากเกินไป ถ้าเจ้าหมอนี่ทำเพื่ออนาคตขึ้นมาล่ะ เพื่อที่จะได้อันดับดีๆ ในการทดสอบ ทุกคนเคยคิดผลที่ตามมาหลังจากที่เหมียวอี้ออกไปแล้วบ้างมั้ย?”
…………………………