พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1238 มีเรื่องต้องปรึกษากัน
ผลที่ตามมาย่อมร้ายแรงมากอยู่แล้ว!
แต่จะดีจะร้ายเหมียวอี้ก็เป็นลูกเขยของตน แค่เพราะข้อหาที่อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ก็จะเล่นงานเขาให้ถึงตายโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วอย่างนั้นเหรอ แบบนี้เกินไปหน่อยแล้วมั้ง ถึงอย่างไรลูกสาวก็แต่งงานกับเหมียวอี้ไปแล้ว ไม่ต้องไว้หน้าเหมียวอี้ก็ได้ แต่ถ้าไม่หมดหนทางจริงๆ ก็จะไม่ไว้หน้าลูกสาวไม่ได้! จีฮวนขมวดคิ้วถามว่า “ยายแก่นแก้ว เจ้าแน่ใจเหรอว่าหลังจากเหมียวอี้ออกไปแล้วจะทรยศพวกเรา?”
มู่ฝานจวินหันขวับมองมา แล้วถามกดดันว่า “เจ้ารับประกันได้มั้ยว่าหลังจากออกไปแล้วเหมียวอี้จะไม่ทรยศพวกเรา?”
ทุกคนเงียบงันพูดไม่ออกทันที ใช่แล้ว! ใครรับประกันได้บ้างว่าหลังจากเหมียวอี้ออกไปแล้วจะไม่ทรยศ?
พวกเขาเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ มีฐานะเหมือนทุกวันนี้ได้ พวกเขาผ่านประสบการณ์ ได้พบเห็นรู้จักการทรยศและถูกทรยศมาเยอะเกินไป ภายใต้สถานการณ์ปกติขอเพียงมีความเป็นไปได้เล็กน้อย ก็จะต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแน่นอน แต่เป้าหมายที่ต้องเผชิญหน้าด้วยดันเป็นเหมียวอี้ และเหมียวอี้ก็เกี่ยวข้องกับทุกคนที่อยู่ตรงนี้เพราะการแต่งงาน ทำให้ทุกคนค่อนข้างสับสนกับการตัดสินใจปัญหานี้
“แล้วจะอธิบายคำทำนายของเทพพยากรณ์ยังไง? งูไร้หัวก็เลื้อยไม่ได้ นี่พวกเราให้เขาเป็นหัวนะ ถ้าพวกเราตัดหัวตัวเองทิ้ง จะเกิดปัญหาอะไรรึเปล่า?” ซือถูเซี่ยวถาม
“บางทีพวกเราอาจจะเข้าใจความหมายผิดก็เป็นได้” มู่ฝานจวินกล่าวเสียงเรียบ
“หมายความว่ายังไง?” ฉางเหลยถามทันที
“งูไร้หัวก็เลื้อยไม่ได้ รออย่างเงียบงันอยู่ในกรง! ประโยคนี้อาจจะหมายถึงให้เหมียวอี้นำทางพวกเราเฉยๆ ก็ได้ รออย่างเงียบๆ เพื่อให้เขาพาพวกเรามาที่นี่ ไม่ได้หมายความว่าต้องให้พวกเรายกเขาเป็นหัวหน้า” มู่ฝานจวินกล่าว
อธิบายแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่เหมือนจะไม่ราบรื่นเหมือนคำอธิบายเดิม บางทีอาจะเป็นเพราะนั่นคือแนวความคิดที่เข้ามาก่อน
ทุกคนเงียบไปอีกครั้ง แล้วจีฮวนก็ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าคิดจะลงมือยังไง?”
มู่ฝานจวินบอกว่า “ในปีนั้นที่หกลัทธิครองโลก ต่างคนต่างก็ทำงานของตัวเอง ตอนนี้เรียกได้ว่าเกาะกลุ่มช่วยเหลือกัน สภาพแวดล้อมเลวร้ายกดดันให้ทุกคนเข้าใจว่าต้องสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถ้าอยากจะลงมือกับเหมียวอี้ ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากทุกคนคงไม่ได้ ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปกป้องเขา ก็จะลงมือไม่สะดวก ข้าก็เลยเรียกทุกคนมาปรึกษากัน”
“ปรึกษาเหรอ? พวกเราจะคุยง่าย แต่ลัทธิอู๋เลี่ยงจะยอมให้คนอื่นมาแตะต้องประมุขปราชญ์ของพวกเขาง่ายๆ ได้ยังไง?” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวพร้อมสีหน้าเหยียดหยามดูถูก “เจ้าอยากจะทำให้เขาเสียชื่อเสียงเขา อยากจะเปิดโปงสถานะคนของตำหนักสวรรค์ของเขา หกลัทธิจะได้ไม่มีใครปกป้องเขาอีกงั้นเหรอ?”
“ใช่ ข้ามีความคิดแบบนี้” มู่ฝานจวินตอบ
อวิ๋นอ้าวเทียนถามอีกว่า “แล้วเจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า? ว่าถ้าฐานะของเขาถูกเปิดโปงขึ้นมา เขาก็ไม่มีทางนั่งรอความตายเฉยๆ เป็นไปได้สูงว่าจะเปิดโปงว่าจะหว่างเรากับเขามีการแต่งงานเกี่ยวดองกัน ถึงตอนนั้นหกลัทธิของเราก็ไม่มีใครกล้าเชื่อพวกเราง่ายๆ แล้ว?”
มู่ฝานจวินลุกขึ้นยืน ดวงตาหงส์กวาดมองทุกคนรอบวางอย่างเย็นเยียบดุร้าย พร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “นี่ก็คือสิ่งที่ข้ากังวล โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่ปิดบังไว้เปิดเผยออกมาจนทำให้ทุกคนของลัทธิไม่เชื่อมั่นในตัวพวกเรา ทำให้ความพยายามหลายปีมานี้ของพวกเราเสียหาย ไม่สู้เป็นฝ่ายเปิดโปงเองเลยดีกว่า เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเราคำนึงถึงหกลัทธิ!”
จีฮวนถอนหายใจ “ยายแก่นแก้ว หงเฉินกับลูกสาวทั้งคู่ของอันหรูอวี้ล้วนแต่งงานกับเขาหมดแล้วนะ อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่กังวลเลยสักนิด?”
มู่ฝานจวินตอบว่า “ปีศาจเฒ่าอย่างเจ้ามีอารมณ์เหลาะแหละเหมือนผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไรกัน? เพื่อผลประโยชน์โดยรวมของวงศ์ตระกูล เจ้ามองข้ามความเป็นความตายของลูกสาวตัวเอง ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเสียเมื่อไร? เหมียวอี้ฆ่าจีเหม่ยเหมยลูกสาวเจ้า เหมือนจะไม่เห็นว่าเจ้ามองเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ”
ซือถูเซี่ยวมองซ้ายมองขวา “ตัดสินใจแบบนี้ถือว่ารีบเร่งไปหน่อยหรือเปล่า? ไม่สู้พวกเราเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้หน่อยดีมั้ย เกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาไป”
มู่ฝานจวินบอกว่า “ต่อให้เขาไม่ไป นอกเสียจากเขาจะไม่ต้องเจอหน้าคนของตำหนักสวรรค์อีกเลยตลอดชีวิต ไม่อย่างนั้นสักวันก็ต้องโดนเปิดโปงฐานะอยู่ดี พวกเราจะเป็นฝ่ายเปิดโปงฐานะของเขาก่อน หรือจะให้คนอื่นมาเปิดโปงจนกำลังพลหกลัทธิสงสัยในตัวพวกเราไปด้วย ข้าว่าคำถามนี้พวกเจ้าตัดสินได้ไม่ยากนะ”
คนที่เหลือเงียบไปพักหนึ่ง แล้วฉางเหลยก็ถอนหายใจบอกว่า “ยายแก่นแก้ว สิ่งที่เจ้าพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่ทำไมอาตมารู้สึกว่าเจ้าแค่อยากทำให้เขาตายเฉยๆ รู้สึกว่าเบื้องหลังมีอย่างอื่นปิดบังอยู่ ไม่อย่างนั้นทำไมไม่บอกตั้งนานแล้ว จู่ๆ ดันมารีบร้อนแบบนี้?”
“ข้าก็สงสัยแบบนี้เหมือนกัน” จีฮวนเอามือลูบเคราพลางจ้องมู่ฝานจวิน “ยายแก่นแก้ว เจ้าคงไม่ได้จะยืมมือพวกเราเพื่อบรรลุจุดประสงค์อะไรของเจ้าหรอกใช่มั้ย?”
“ข้ามีอีกจุดประสงค์หนึ่งจริงๆ” มู่ฝานจวินเหลือบตาลงเล็กน้อย “ในมือเหมียวอี้อาจจะกุมเคล็ดวิชาภาคฟ้าและภาคดินของพวกเราเอาไว้ ก่อนหน้านี้ข้าขอจากเขา แต่เขาเห็นว่าข้าทำอะไรเขาไม่ได้ ก็เลยไม่ยอมปริปากคายความลับออกมา ที่จริงก็ไม่ต้องคิดมากหรอก ของแบบนี้เขาไม่ส่งมาง่ายๆ แน่ แผนเดียวที่ใช้ได้ตอนนี้ ก็คือใช้ไม้แข็งกับเขา ขอแค่กักตัวเข้าไว้ได้ ไม่ให้เขาหนีไป ก็ย่อมมีทางค่อยๆ กดดันให้เขาส่งออกมา แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าในหกลัทธิไม่มีใครขัดขวาง!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ตาเป็นประกายทันที …
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสี่คนก็เดินออกจากตำหนักเซียนพร้อมกัน แล้วเหาะขึ้นฟ้าจากไป
มู่ฝานจวินหลับตาลง ฝ่ามือลูบเสาระเบียงเบาๆ รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ผ่านไปครู่เดียวนางก็พลันลืมตาขึ้นอีก ดวงตาหงส์งดงามสองข้างเหล่มอง เห็นเพียงเงาคนคนหนึ่งถลันขึ้นมาบนแท่นสังเกตการณ์บนหน้าผาที่สลักขึ้นจากหิน เป็นอวิ๋นอ้าวเทียนนั่นเอง
“ทำไม? หรือว่าเจ้ากลับคำแล้ว?” มู่ฝานจวินเหล่ตาถาม
อวิ๋นอ้าวเทียนมองสำรวจนางศีรษะจดปลายเท้า แล้วส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมแสยะยิ้ม “ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่เจ้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด! ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดึงดันจะทำตัวแข็งแกร่งเหมือนผู้ชาย ถึงขั้นไม่เลือกวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง ทำแบบนี้มีความหมายเหรอ? มีความสุขในฐานะผู้หญิงเหรอ?”
มู่ฝานจวินกล่าวตอบเสียงเย็นชาว่า “เจ้ามีสิทธิ์มาว่าข้าด้วยเหรอ? เจ้ามีผู้หญิงใหม่คนแล้วคนเล่า อย่าบอกนะว่ายังอยากจะให้ผู้หญิงทุกคนบนโลกนี้ยอมเป็นของเล่นให้ผู้ชายอย่างพวกเจ้า? ความสุขในฐานะผู้ชายคืออะไรล่ะ หรือว่าเป็นการมีผู้หญิงไว้โอบซ้ายโอบขวา? ถ้าเจ้ากลับมาแค่เพราะจะพูดนอกเรื่องแบบนี้ ก็ขออภัยที่ไม่ว่างคุยด้วย!” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อเดินไป
“หยุดนะ!” อวิ๋นอ้าวเทียนจ้องแผ่นหลังนางพร้อมตะโกน “เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่าว่าทำแบบนี้น้องชิวนะเจ็บปวดขนาดไหน? นี่เจ้ากำลังจะทำให้นางเป็นหม้ายนะ! ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อน ถ้าน้องชิวเกลียดข้าขึ้นมา ข้าก็จะไม่ให้เจ้าได้มีความสุขเหมือนกัน ข้าจะเปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับนาง ให้นางเกลียดเจ้าไปทั้งชีวิตเหมือนกัน!”
มู่ฝานจวินที่เดินหูทวนลมตลอดทางได้ยินแล้วหยุดชะงัก ตอบในขณะที่หันหลังให้ว่า “ข้าไม่ทำร้ายนางหนูหรอก ทุกอย่างที่ข้าทำไปก็เพราะหวังดีกับนาง ถ้าเหมียวอี้ตายแล้ว นางก็แค่ขาดผู้ชายไปคนเดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมานั้นมากยิ่งกว่า อำนาจที่เหมียวอี้ทิ้งไว้ที่พิภพเล็กก็จะเป็นของนางต่อ แล้วมีเจ้าคอยช่วยเหลืออีก ต่อไปทั้งพิภพเล็กก็จะอยู่ภายใต้การตัดสินใจของนาง เหมียวอี้เป็นคนมีความสามารถเหนือใครในใต้กล้า แต่กลับพัวพันด้วยลำบากมาก ควบคุมเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าไม่มีเหมียวอี้แล้ว นางหนูก็จะเชื่อฟังพวกเราได้ง่ายขึ้น นางจะคิดหาทางช่วยท่านปู่อย่างเจ้าออกมาจากนรก เจ้าลองเปลี่ยนมุมมองคิดสิ ถ้าตัดความกังวลอย่างเหมียวอี้ไปแล้ว พวกเราก็จะวางใจช่วยเหลือนางได้ ถึงอย่างไรข้างนอกก็ยังมีลูกน้องเก่าที่เหลือรอดของหกลัทธิ ไม่อย่างนั้นเจ้ากล้ารับประกันมั้ยว่าในภายหลังเหมียวอี้จะไม่ได้ใหม่แล้วลืมเก่า? ถ้าให้ผู้ชายมากุมชะตาชีวิตของนาง ข้ายอมให้นางกุมชะตาชีวิตตัวเองดีกว่า! อวิ๋นอ้าวเทียน ถ้าเจ้าคิดจะให้นางหนูมาเป็นศัตรูกับข้า ไม่อยากให้นางหนูรับความช่วยเหลือของเจ้ากับข้าในภายหลัง ดึงดันจะให้นางเกลียดพวกเราไปทั้งชีวิต งั้นเจ้าก็บอกนางได้เลย…ข้าแนะนำให้เจ้าปิดบังสาเหตุการตายของเหมียวอี้ดีกว่า!”
อวิ๋นอ้าวเทียนแสยะยิ้ม “เหลวไหลสิ้นดี! คนอื่นไม่รู้จักเจ้า แต่ข้ากลับรู้จักเจ้าทั้งข้างนอกข้างในแบบทะลุปรุโปร่ง เจ้าต้องปิดบังอะไรไว้อีกแน่นอน”
“ข้าก็แค่ไม่อยากกลายเป็นหมากในกระดานให้ใครควบคุมก็เท่านั้นเอง!” มู่ฝานจวินพูดทิ้งท้ายแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ
อวิ๋นอ้าวเทียนแววตาวูบไหว ตะโกนถามตามหลังว่า “หมายความว่ายังไง?”
“ในภายหลังเจ้าย่อมเข้าใจเอง” หลังประตูหินที่เงาร่างหายไปมีเสียงตอบที่ราบเรียบดังมา…
วันต่อมา จินม่านมาที่ตำหนักหลังเพื่อขอพบเหมียวอี้
หลังจากได้รับรายงานแล้ว เหมียวอี้ก็เดินออกมาจากห้องสมาธิ พอเห็นจินม่านที่อยู่ในลานบ้าน เขาก็เริ่มปวดหัวแล้วนิดหน่อย หลายปีมานี้ฟังคำสั่งสอนจากจินม่านจนชิน เขากลัวจริงๆ ว่าจะหนีไม่ทัน ทว่าตัวอยู่ที่นี่แล้ว และที่จริงอำนาจทางทหารก็อยู่ในมือจินม่าน เขาหลบไม่พ้นแล้ว
“ประมุขขุนพล มีธุระอะไรหรือ?” เหมียวอี้ที่เดินออกมาตอบอย่างร่าเริง
“ประมุขปราชญ์!” จินม่านกุมหมัดแสดงความเคารพ พอวางมือลงก็รายงานว่า “เพิ่งได้ข่าวมาจากประมุขปราชญ์ลัทธิเซียน ลัทธีผี ลัทธิปีศาจ ลัทธิพุทธ ลัทธิมาร ว่าอีกประเดี๋ยวพวกเขาจะมาเยี่ยมประมุขปราชญ์ และบอกให้ขุนพลใหญ่ทุกคนไปด้วย บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา ประมุขปราชญ์ได้โปรดเตรียมตัวไว้แน่เนิ่นๆ”
“ปรึกษาเรื่องอะไร?” เหมียวอี้แปลกใจ
เขาแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมอีกห้าคนไม่บอกเขาล่วงหน้าว่ามีเรื่องจะปรึกษา แต่กลับแจ้งฝ่ายจินม่านก่อน หรือว่าจะคุยเรื่องที่เป็นการเป็นงาน แต่ก็รู้นี่ว่าตนเป็นประมุขปราชญ์แค่ในนาม ก็เลยมาหาจินม่านงั้นเหรอ?
ว่ากันตามจริง เขาไม่ได้สนใจงานหลักของหกลัทธิสักเท่าไร ไม่ได้สนใจสักนิดเลยด้วยซ้ำ เขาก็อยากจะกุมอำนาจของกำลังพลเบื้องล่างเหมือนกัน พอเป็นแบบนั้นอย่างน้อยเขาจะได้หนีได้สะดวก แต่ปัญหาที่สอดคล้องกับความเป็นจริงก็แสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้า เขาไม่มีความสามารถนั้นจริงๆ
ถ้ามองจากบางมุม เขามีจุดที่เหนือกว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียน นั่นก็คือสามรถบุกลุยได้เก่งกว่าห้าคนนั้น เป็นแบบฉบับของทหารที่บุกตะลุยอย่างห้าวหาญ เป็นคนประเภทที่เหมาะจะใช้กำลังบุกยึดใต้หล้า แต่ไม่เหมาะจะนั่งคุมใต้หล้า ถ้าพูดถึงความสามารถในการปกครอง จริงๆ เขาเองก็ยอมรับว่าสู้ห้าปราชญ์ไม่ได้
ในปีที่ตำแหน่งของเขายังต่ำต้อย เขายังสามารถอาศัยความกล้าหาญและไหวพริบเพื่อแก้ไขปัญหาได้ เรื่องต่อสู้เข่นฆ่าเขาก็ยังพอถูไถไปได้ แต่หลังจากกลายเป็นประมุขตำหนักสามตำหนักของพิภพเล็ก ยามเผชิญการแว้งกัดจากสามสำนักใหญ่ เขาก็รับมือไม่ค่อยไหว ยังเป็นหยางชิ่งที่ช่วยเขาพลิกสถานการณ์วิกฤต หลังจากนั้นเมื่อเวลานานไป เขาก็ชินกับการโยนงานให้ลูกน้องทำ เมื่อได้อาณาเขตมาไว้ในมือแล้ว ก็โยนให้คนอื่นไปจัดการ โชคดีที่ตอนหลังได้แต่งงานกับอวิ๋นจือชิว งานยิบย่อยที่มีรายละเอียดจุกจิก อวิ๋นจือชิวล้วนช่วยเขาจัดการเป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องให้เขากังวลเลย
สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ คนเดียวที่สามารถออกแรงช่วยและใช้งานได้ดีที่สุดก็มีแค่จินม่านแล้ว แต่จินม่านไม่ทำ ดึงดันจะบังคับให้เขาทำด้วยตัวเอง
ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นทำงานประจำวันของทัพใหญ่หนึ่งล้าน ก็จำเป็นต้องจัดการงานทุกด้านก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เคยจัดการเรื่องที่ยุ่งยากขนาดนี้ด้วยตัวเองมาก่อนเลย แถมทุกคนก็แทบจะไม่เชื่อฟังเขา บวกกับต้องควบคุมกำลังหลักที่แต่ละคนมีวรยุทธ์สูงกว่าเขามากอีก
จะใช้ไม้แข็งก็ไม่ได้ เพราะเจ้าแข็งไม่ชนะอีกฝ่าย จะใช้ไม้อ่อนอีกฝ่ายก็ยิ่งจะดูถูกเจ้า ถ้าจะมอบของขวัญอีกฝ่ายก็สายตาสูงมาก ถ้าอยากจะอาศัยของขวัญสยบนักพรตบงกชรุ้ง นักพรตบงกชกลายและนักพรตสำแดงฤทธิ์ แบบนั้นก็ต้องทุ่มเทของมากมายเท่าไรถึงจะเติมเต็มรสนิยมของอีกฝ่ายได้ ถ้าวางแผนชั่วร้ายพวกเขาก็ยิ่งเอาใจออกห่าง
วิธีการปกครองแบบดั้งเดิมของเขาก็คือก่อเรื่อง แต่จะก่อเรื่องที่นี่ไหวเหรอ มีแต่คนกระดูกแข็งๆ ทั้งนั้น!
เจอกับพวกที่ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งแล้วยังได้ผล แค่เห็นเจ้าก็เหม็นขี้หน้าเหมือนน้ำกับน้ำมันที่รวมกันไม่ได้ แถมยังหาคนของตัวเองไม่เจอสักคน วิธีการก่อนหน้านี้ล้วนไม่ได้ผล เหมียวอี้ที่มีความสามารถแค่ขี้ประติ๋ว เมื่อเจอกับเวลาที่ต้องใช้ความสามารถในการปกครอง ก็ทำให้เขาหลับหูหลับตามั่วทันที ในที่สุดก็รู้แล้วว่าตัวเองมีความสามารถอยู่แค่ไหน ไม่อยากทำอย่างอื่นแล้วนอกจากหนี
“ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร” จินม่านส่ายหน้า แล้วบอกว่า “ถามแล้วก็ไม่บอก ประมุขขุนพลคนอื่นๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร ข้าเองก็ไม่สะดวกจะกดดันถามพวกประมุขปราชญ์ด้วย บอกว่าให้เจอหน้าก่อนค่อยปรึกษา”
…………………………