พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1241 พลิกสถานการณ์ร้ายให้ปลอดภัย
ก่งหลิงอวี้พยักหน้า ช่วยพูดยืนยันให้แน่ใจ “เป็นอย่างนี้ค่ะ”
จ่างซุนจูกับเมิ่งหรูมองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนที่เมิ่งหรูจะถามว่า “ยังมีอย่างอื่นอีกมั้ย?”
ทั้งสองคิดดูให้ละเอียด แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า นึกเรื่องอื่นไม่ออกแล้ว
“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ” หลังจากเมิ่งหรูกันผู้หญิงทั้งสองออกไปแล้ว ก็หันกลับมาถามว่า “หรือว่าประมุขปราชญ์เคยเจอประมุขไป๋?”
จ่างซุนจูจอบว่า “ในเมื่อนางมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ จะเคยเจอมาก่อนก็ไม่แปลก เพียงแต่ประมุขไป๋ถูกขังไว้ในเจดีย์สยบปีศาจ ไม่รู้เหมือนกันว่าเคยไปพบกันตอนไหน บางทีอาจจะไม่เคยเจอก็ได้ ประมุขไป๋มีผมขาวด้วยเหรอ?”
เมิ่งหรูส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ…
อีกด้านหนึ่ง ประมุขขุนพลทั้งสี่ที่ได้รับการตอบกลับจากสายลับที่อยู่ทางตำหนักสวรรค์ทยอยกันเกลี้ยกล่อมให้ประมุขปราชญ์ทั้งสี่กลับไป บอกอย่างชัดเจนว่าเหมียวอี้ไม่มีทางเป็นสายลับของโจรกบฏแน่นอน ส่วนเหตุว่าเพราะอะไร ประมุขขุนพลทั้งสี่ก็ไม่ยอมเปิดเผย
ในเมื่อประมุขขุนพลทั้งสี่แน่ใจขนาดนี้ว่าเหมียวอี้ไม่ใช่สายลับ สี่ปราชญ์ก็ว่าอะไรไม่ได้เช่นกัน อำนาจของสี่ลัทธิยังไม่ได้อยู่ในมือตัวเองอย่างแท้จริง พวกเขาทำตามอำเภอใจไม่ได้
เพียงแต่พอเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าในใจทั้งสี่วุ่นวายขนาดไหน เดิมทีอยู่ด้วยกันอย่างสงบไร้ปัญหาแล้วแท้ๆ แต่พอโดนมู่ฝานจวินเสี้ยมจนวุ่นวายแบบนี้ จากก็ที่เกี่ยวดองกันเพราะการแต่งงานก็ต้องกลายเป็นศัตรู ครั้งนี้ล่วงเกินเหมียวอี้หนักแล้วจริงๆ ชัดเจนว่าจะเอาชีวิตของอีกฝ่าย อีกฝ่ายไม่แค้นก็แปลกแล้ว
ในบรรดาพวกเขา ความรู้สึกของอวิ๋นอ้าวเทียนซับซ้อนที่สุด ลูกหลานของคนอื่นเป็นแค่อนุภรรยาของเหมียวอี้ แต่หลานสาวของเขาเป็นฮูหยินภรรยาเอกของเหมียวอี้ การที่ตนทำแบบนี้ ถือว่ามีคุณสมบัติเลวร้ายเกินไป ดีไม่ดีอาจจะทำให้สองสามีภรรยาไม่รักใคร่กลมเกลียวกัน
ก่อนจะเดินออกมาจากประตู อวิ๋นอ้าวเทียนก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง เห็นเหมียวอี้ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างไม่สกสะท้านแม้แต่น้อย เพียงแต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาที่เย็นเยียบผิดปกติของเขา ก็ทำให้ตัวสั่นแม้จะไม่ได้หนาว จึงถ่ายทอดเสียงบอกทันทีว่า “เหมียวอี้ น้องชิวไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วย”
เหมียวอี้จ้องเขาอย่างเย็นเยียบ แต่ไม่ได้ตอบอะไร ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เย็นชาจนน่ากลัว
เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ อวิ๋นอ้าวเทียนก็ทำได้เพียงแอบถอนหายใจเบาๆ แล้วหันตัวเดินจากไป
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ถ้าอีกฝ่ายจะเชื่อก็คงเชื่อ ถ้าไม่เชื่อแล้วพูดอะไรมากไปก็เปลืองคำพูดเปล่าๆ เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ตัวเองทำอย่างไร้คุณธรรมจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าหากมู่ฝานจวินทำแบบนี้อีกครั้ง เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดี คงไม่ออมมือให้เพราะว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้โดยการแต่งงาน เพื่อผลประโยชน์ของทั้งตระกูลอวิ๋น สิ่งที่ควรช่วงชิงก็ยังต้องไปช่วงชิง เขาจะยังทำแบบเดิม คนที่เดินมาถึงจุดของเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความจริง การที่เขาไม่เอาลูกสาวหลานสาวไปแลกกับความร่ำรวยก็นับว่ารักษาเส้นตายของตัวเองแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ด้วยบุญคุณความแค้นที่มีระหว่างกัน หกปราชญ์ก็คงจะเป็นศัตรูคู่แค้นกันไปนานแล้ว จะมารวมตัวทำงานด้วยกันได้อย่างไร ในปีนั้นตอนที่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ที่พิภพเล็ก ระหว่างพวกเขามีญาติที่มิตรตายด้วยน้ำมือฝ่ายตรงข้ามไปไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว ก็เหมือนเหมียวอี้ที่ฆ่าจีเหม่ยเหมยลูกสาวของจีฮวน แต่จีฮวนก็ยังมอบลูกสาวอีกคนให้แต่งงานกับเหมียวอี้ได้
ถ้าจะพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือ ผู้ที่ทำการใหญ่มักจะต้องมีการเสียสละเสมอ ถ้าพูดให้ฟังดูแย่หน่อยก็คือ ไม่มีมิตรสหายที่ถาวร มีแค่ผลประโยชน์ที่ยั่งยืน และเช่นเดียวกัน ไม่มีศัตรูที่ถาวร ผลประโยชน์ต่างหากที่อยู่ยาวจนถึงตอนสุดท้าย เขาหวังเพียงว่าเหมียวอี้จะเข้าใจหลักการนี้ อะไรที่ควรปล่อยวางก็ต้องปล่อยวาง อย่าใช้อารมณ์วู่วาม
คนนอกไปกันหมดแล้ว เหมียวอี้เหลือบมองจินม่านอย่างเย็นชา และส่งคำถามแบบเดียวกันให้นาง “เรื่องนี้เจ้าไม่คิดจะให้คำอธิบายสักหน่อยเหรอ?”
จินม่านยิ้มเจื่อน “นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดโปงฐานะผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของท่านแล้ว ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใครก็ต้องสงสัยทั้งนั้นว่าเป็นสายลับที่โจรกบฏส่งมา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม จำเป็นต้องทำให้กระจ่าง”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ในเมื่อรู้แล้วว่าข้ามีอีกตัวตนหนึ่ง ทำไมไม่ลงโทษให้พอเป็นพิธีหน่อยล่ะ พวกเจ้าไม่กังวลเชียวเหรอว่าข้าจะทรยศพวกเจ้า?”
จินม่านส่ายหน้า “มีคนยืนยันให้แล้วว่าท่านไม่ใช่สายลับของโจรกบฏ แต่เป็นสายลับที่แฝงตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มโจรกบฏ”
เป็นใครกันที่ช่วยยืนยันให้ตน? การยืนยันของใครกันที่สามารถทำลายความน่าสงสัยของหกลัทธิได้ง่ายขนาดนี้? เหมียวอี้เกิดความคิดบางอย่างในใจ จึงถามทันทีว่า “ใครกันที่พิสูจน์ยืนยันให้?”
จินม่านงงทันที นางยังนึกว่าเหมียวอี้รู้จักว่าคนคนนั้นคือใคร พอได้ยินเหมียวอี้พูดแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในโจรกบฏมีเรื่องสายลับอยู่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ นางจึงทำได้เพียงปฏิเสธไม่ตอบอะไร “รอให้ประมุขปราชญ์รับช่วงต่ออำนาจของลัทธิอู๋เลี่ยงอย่างเป็นทางการ ถึงตอนนั้นก็ย่อมรู้เอง ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะบอกอะไร”
เมื่อถามไม่ได้คำตอบอะไร เหมียวอี้ก็ยืนขึ้นส่งแขกแล้ว “ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าก็ไม่สะดวกจะอยู่เป็นเพื่อนแล้ว” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดจาไม่เกรงใจจินม่าน
จินม่านอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ดูจากอีกฐานะหนึ่งที่สำคัญของของประมุขปราชญ์ หลังจากข้าหลุดจากค่ายกลแล้ว ข้าก็เคยได้ยินชื่อหนิวโหย่วเต๋อที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์มาบ้างเหมือนกัน สร้างร้านขายของชำขึ้นมาด้วยมือตัวเอง ทั้งยังประหารทาสรับใช้ในตระกูลของพวกโจรกบฏไปสามพันกว่าคน ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงที่ตลาดสวรรค์ ทั้งยังบุกโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกอยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้าน ความสามารถของประมุขปราชญ์ไม่มีอะไรน่าสงสัย เรียกได้ว่าทั้งกล้าหาญทั้งมีแผนการ เป็นหทารกล้าที่โลกจดจำ แต่ทำไมกลับไม่ยอมรับช่วงต่ออำนาจของของลัทธิอู๋เลี่ยง?”
ตั้งแต่ได้รู้ว่าเหมียวอี้ที่อยู่ตรงหน้าคือหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่อาศัยวรยุทธ์บงกชทองก่อเรื่องอย่างคึกโครมอยู่ท่ามกลางโจรกบฏ นางก็เรียกได้ว่ามองเขาด้วยมุมมองใหม่ พบว่าประมุขปราชญ์ท่านนี้ไม่ได้ไร้ความสามารถอย่างที่ตัวเองคิดไว้
เช่นเดียวกับนาง สืออวิ๋นเปียน กงซุนลี่เต้าและอ๋าวเถี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็มองเหมียวอี้ด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาสามารถอาศัยตัวตนสายลับรับมือกับเรื่องต่างๆ อยู่ท่ามกลางโจรกบฏ ถ้าไม่ใช่คนที่กล้าหาญและเจ้าแผนการจะไม่สามารถทำได้ ทั้งยังมีความกล้าหาญ พวกเขารู้ตัวแล้วว่าดูถูกประมุขปราชญ์ท่านนี้เกินไปหน่อย มีความเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้สึก
เหมียวอี้ยังจะพูดอะไรได้อีก? จะให้บอกเหรอว่าตัวเองก่อเรื่องที่ตำหนักสวรรค์และเตรียมตัวจะหนีกลับพิภพเล็กอยู่ตลอด ไม่ได้ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงเลยจริงๆ จะให้บอกเหรอว่าถ้าตัวเองดวงไม่ดีก็คงตายไปหลายรอบแล้ว? จะให้บอกเหรอว่าตอนอยู่ที่นี่ตัวเองกังวลมาตลอดว่าตัวตนจะเปิดเผย?
มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริง ที่จริงเขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าตัวเองมีเรื่องกับคนที่ตำหนักสวรรค์เยอะเกินไป คนที่มีความสามารถจริงๆ คงไม่เอาแต่กดดันให้ตัวเจอทางตันแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ว่ากล่าวเขาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง บอกว่าเขามีแผนการแต่ไม่รอบคอบ ทำอะไรบุ่มบามเกินไป คนที่เจ้าแผนการจริงๆ คงไม่ทำเรื่องอย่างเขาหรอก
ในเมื่อตอนนี้มีคนที่ทำให้กลุ่มโจรกบฏเชื่อถือบอกว่าเขาเป็นสายลับที่ไปอยู่กับตำหนักสวรรค์ ก็เท่ากับช่วยให้เขาผ่านพ้นสถานการณ์ที่จนตรอกไปได้ภายในรวดเดียว สร้างทางที่ราบเรียบอีกทางไว้ให้เขาเพื่อพลิกสถานการณ์ร้ายให้กลายเป็นความปลอดภัย ปัดกวาดพุ่มไม้หนามให้เขาตลอดทาง การพิสูจน์ยืนยันนี้มาแบบทันเวลาเกินไปแล้ว เรื่องบางเรื่องกลับจัดการง่ายขึ้นด้วยซ้ำ
เพียงแต่นี่เป็นพฤติกรรมของใครกันแน่ ก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้กังวลอยู่ในใจ กังวลนดิหน่อยว่ากำลังช่วยโจรกบฏกลุ่มนี้วางหมากอะไรหรือเปล่า แต่ถ้าก้าวมาถึงจุดนี้ก็ไม่มีทางถอยแล้ว ทำได้เพียงเล่นไปตามสถานการณ์เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง ถึงได้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “พวกเจ้าเองก็รู้สถานะของข้าที่ฝั่งโจรกบฏแล้ว ข้าจำเป็นต้องกลับไปที่ฝั่งโจรกบฏ ข้ายังต้องอยู่ที่นั่นเพื่อเตรียมตัวสำหรับอนาคต จะได้ให้ความร่วมมือกับทัพใหญ่หกลัทธิได้สะดวก ข้าไม่ได้มีวิชาแยกร่างหรอกนะ ไม่สามารถดูแลพร้อมกันสองฝั่งได้ ทำได้เพียงทิ้งฝั่งหนึ่งเอาไว้ ช่วยไม่ได้ที่ข้าไม่สะดวกจะเปิดเผยสถานะสายลับให้ข้างนอกรับรู้ กลัวว่าจะทำให้เกิดความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ก็เลยไม่เคยได้บอกพวกเจ้าเลย”
สืออวิ๋นเปียนพยักหน้า “ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ไม่แปลกใจที่ประมุขปราชญ์ไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ไม่อย่างนั้นตัวตนของประมุขปราชญ์ทางฝั่งโจรกบฏก็จะถูกเปิดโปงได้ง่ายเกินไป”
เจ้าช่วยเข้าใจแทนข้าได้ แบบนั้นก็ดีสุดๆ ไปเลย! เหมียวอี้ขอบคุณในใจ ส่วนปากก็บอกว่า “เรื่องราวเปิดเผยชัดเจนแล้ว ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะปิดบัง ข้าจำเป็นต้องกลับไปทางฝั่งโจรกบฏ ตำแหน่งประมุขปราชญ์ทางนี้ไม่เหมาะกับข้าจริงๆ ประมุขขุนพล ข้ามอบตำแหน่งประมุขปราชญ์ให้เจ้านั่งแทนก็สิ้นเรื่องแล้ว”
สืออวิ๋นเปียน กงซุนลี่เต้าและอ๋าวเถี่ยได้ยินแล้วมองหน้ากันเลิกลั่ก จินม่านกล่าวด้วยสีหน้าเครียดเล็กน้อยว่า “ตำแหน่งประมุขปราชญ์จะส่งต่อกันไปมาเหมือนของเด็กเล่นได้ยังไง ถ้าทำแบบบนี้จริงๆ ในภายหลังทุกคนจะไม่พากันจ้องอยากได้ตำแหน่งใหญ่จนจิตใจแตกความสามัคคีหรอกเหรอ? ในเมื่อประมุขปราชญ์เคยรับการคุกเข่าคารวะจากทุกคนแล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้ง่ายๆ!”
แต่สถานการณ์จริงก็คือ ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากใครบางคน จินม่านเองก็ไม่กล้ารับอำนาจนี้ต่อโดยพลการ ความเป็นความตายของคนกลุ่มหนึ่งล้วนอยู่ในมือของคนคนนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงคราวที่พวกเหมียวอี้จะได้เป็นประมุขปราชญ์ของหกลัทธิหรอก
ถ้าไม่ปล่อยตนไปก็จะยุ่งยากแล้ว เหมียวอี้แอบกระวนกระวาย ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้ชัดว่าใครกันแน่ที่ยืนยันเรื่องนั้นให้เขา เขาก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่นาน เพราะกังวลว่าจะมีการหลอกลวง มีเพียงการปลีกตัวออกจากการผูกมัดด้วยอำนาจของโจรกบฏกลุ่มนี้ เขาถึงจะรู้สึกสงบใจ เขารีบบอกว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำข้างนอก การทดสอบที่โจรกบฏจัดขึ้นกำลังจะจบลงแล้ว ข้าต้องกลับไปให้ทันเวลา”
พวกจินม่านมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา เรื่องนี้วุ่นวายแล้ว
สุดท้ายก็ยังเป็นคนรีบร้อนจะปลีกตัวอย่างเหมียวอี้ที่เสนอวิธีการที่พบกันครึ่งทางว่า “ไม่สู้เอาอย่างนี้ดีมั้น ข้าจะควบตำแหน่งประมุขปราชญ์ไว้ด้วย ที่จริงรายละเอียดงานก็ให้ประมุขขุนพลจัดการแทนต่อได้เลย ส่วนอย่างอื่นก็ค่อยว่ากันในภายหลัง ดีมั้ย?”
ไม่มีวิธีการอื่นแล้ว ในเมื่อเหมียวอี้ไม่สามารถดูแลพร้อมกันทั้งสองฝั่งได้ ฝืนอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร กอปรกับฝ่ายนี้ก็มีคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่เชื่อฟังเหมียวอี้จริงๆ ในเมื่อเหมียวอี้เป็นฝ่ายเสนอขึ้นเอง ทางนี้ก็ทำได้แค่กึ่งยอมกึ่งไม่ยอมแล้ว
เมื่อกำหนดเรื่องราวได้ ก่อนที่ทุกคนจะกล่าวอำลา เหมียวอี้ก็บอกอีกว่า “ครั้งนี้ข้ามาในนามของผู้เข้าร่วมการทดสอบ ถ้าสามารถได้คะแนนจากการทดสอบกลับไปได้นิดหน่อย ก็จะยิ่งทำอะไรที่ฝั่งโจรกบฏได้สะดวกขึ้น” ความหมายในคำพูดหยุดลงเท่านี้ ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว
จินม่านเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าบอกว่า “ประมุขปราชญ์วางใจได้ ข้าจะไปเตรียมการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยให้ประมุขปราชญ์กลับไปมือเปล่าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” เหมียวอี้ดีใจแล้ว
หลังจากมองส่งทุกคนเดินจากไป ใบหน้ายิ้มของเหมียวอี้ก็ค่อยๆ แข็งทื่อ แทนที่ด้วยสีหน้าอันเย็นเยียบดุร้าย เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์
เชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์ในตอนนี้กำลังรับแขกเป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิวอยู่ในห้องส่วนตัวของร้านโฉมเมฆา มีฮูหยินชนชั้นสูงจากจวนหัวหน้าภาคมาซื้อเครื่องประดับศีรษะ อวิ๋นจือชิวจึงอยู่กับแขกด้วยตัวเอง
หลังจากเชียนเอ๋อร์พบว่าเหมียวอี้ส่งข่าวมา ในใจนางก็แปลกใจอยู่บ้าง เพราะตั้งแต่เหมียวอี้แต่งงานกับอวิ๋นจือชิว ก็เรียกได้ว่าน้อยครั้งมากที่จะติดต่อกับพวกนางโดยตรง โดยทั่วไปถ้ามีเรื่องอะไรล้วนเป็นอวิ๋นจือชิวที่เตรียมการให้ ครั้งนี้ติดต่อนางตรงๆ โดยกันอวิ๋นจือชิวออกไป เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นน้อยมาก
นางไม่ได้อยู่กับเหมียวอี้มาแค่ปีสองปี ไม่จำเป็นต้องบอกอะไร ก็เข้าใจว่าเหมียวอี้ต้องมีเรื่องที่ไม่สะดวกจะบอกให้ฮูหยินรู้แน่นอน
เชียนเอ๋อร์ฉวยโอกาสส่งสายตาให้เสวี่ยเอ๋อร์ แล้วถอยออกมานอกห้องส่วนตัว หาที่ลับตาคนแล้วมองสำรวจไปรอบๆ ครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาตอบ : นายท่าน ยังสบายดีใช่มั้ยเจ้าคะ?
เหมียวอี้ : ฮูหยินไม่ได้อยู่ข้างๆ เจ้าใช่มั้ย?
เชียนเอ๋อร์ : ฮูหยินกำลังรับแขกอยู่เจ้าค่ะ
เหมียวอี้ : ฮูหยินรู้รึเปล่าว่าข้ากำลังติดต่อมาหาเจ้า
เชียนเอ๋อร์ : ตอนนี้ฮูหยินยังไม่รู้เจ้าค่ะ นายท่านมีอะไรจะกำชับหรือเปล่า?
สมกับเป็นหญิงรับใช้ประจำตัว เหมียวอี้โล่งอกแล้ว ถามว่า : ช่วงนี้ฮูหยินมีอะไรผิดปกติบ้างรึเปล่า?
…………………………