พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1242 ดุร้าย
เมื่อส่งข้อความนี้ออกมา เชียนเอ๋อร์ก็ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป รู้สึกงุนงงนิดหน่อย ถึงขั้นหวาดกลัวอยู่บ้างด้วยซ้ำ หรือว่านายท่านกำลังสงสัยอะไรฮูหยิน? ไม่อย่างนั้นทำไมจะต้องถามคำถามแบบนี้โดยหลบเลี่ยงฮูหยินด้วยล่ะ?
หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ก็ไม่อยากจะสงสัยเหมือนกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเผชิญเรื่องราวที่ถูกคนทรยศ เขาเคยโดนคนอื่นหลอกใช้ประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ มีพยานที่ลึกลับโผล่ออกมา เขาก็ไม่มีหนทางรอดชีวิตภายใต้สถานการณ์แบบนั้นเลย อยู่ในรังของทัพใหญ่หกลัทธิ อยากจะหนีก็ไม่มีทางให้หนี
ตอนที่เขาเผชิญกับสภาวะตกอับ ห้าตระกูลที่เกี่ยวดองกับเขาเพราะการแต่งงานร่วมมือกันทรยศเขา แต่ละคนต้องการเล่นงานเขาให้ถึงตาย!
ก่อนหน้านี้เขายังกังวลว่าถ้าตัวเองโดนเปิดโปงตัวตนแล้วจะพลอยทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนลำบากไปด้วย แต่ใครจะคิดว่าคนที่อันตรายที่สุดไม่ใช่คนนอก แต่กลับเป็นพวกเดียวกัน!
ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะหว่างพวกเขาจะมีการต่อสู้กันทั้งอย่างลับๆ และโจ่งแจ้ง แต่ก็ยังมีขีดจำกัดเพราะเกี่ยวดองกันไว้ด้วยการแต่งงาน แต่ครั้งนี้เขาปวดใจผิดหวังมากจริงๆ ความสงสัยเคลือบแคลงต่างๆ นาๆ พรั่งพรูขึ้นมาในจิตใจ
ตอนนี้เขากำลังสงสัยว่าบรรดาอนุภรรยาของตัวเองรู้เรื่องนี้ล่วงหน้าอยู่แล้วหรือเปล่า ถึงอย่างไรตอนที่พวกจีเหม่ยลี่แต่งงานกับเขาก็ล้วนมีจุดประสงค์อยู่แล้ว เขาถึงขั้นสงสัยว่าอวิ๋นจือชิวรู้เรื่องนี้ล่วงหน้าหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นหลังทำเรื่องแบบนี้แล้ว จากอวิ๋นอ้าวเทียนจะไปอธิบายต่ออวิ๋นจือชิวได้อย่างไร?
เขาหวังให้พวกนางไม่รู้ แต่ด้วยความรู้สึกของเขาในตอนนี้ทำให้เขาไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็กลายเป็นเป้าหมายให้เขาสงสัย ในด้านสภาพจิตใจเกิดความรู้สึกว่าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวใดๆ ทั้งนั้น จิตมารก่อตัว เขาไม่มีทางควบคุมความคิดที่น่ากลัวแบบนี้ของตัวเองได้ ห้าฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเขาเพราะการแต่งงาน ไม่มีฝ่ายไหนน่าเชื่อทั้งนั้น!
เชียนเอ๋อร์ตอบว่า : นายท่าน ฮูหยินเป็นเหมือนปกติ ไม่มีตรงไหนที่ผิดปกติเลยเจ้าค่ะ
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า : เรื่องที่ข้าติดต่อกับเจ้าเมื่อครู่นี้ ห้ามให้ฮูหยินรู้นะ
เชียนเอ๋อร์ : เจ้าค่ะ!
ทั้งสองหยุดติดต่อกันตรงนี้ เชียนเอ๋อร์กลับมาพร้อมความไม่เข้าใจและความสงสัย ตอนที่กลับมาถึงห้องส่วนตัว ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวมาส่งแขกที่ประตูแล้ว
พอส่งแขกเสร็จ อวิ๋นจือชิวที่รูปร่างอรชรอ่อนช้อยก็หันตัวมาพร้อมกับชุดกระโปรงสีเขียวคราม สายตาไปหยุดอยู่บนตัวเชียนเอ๋อร์ครู่หนึ่ง พบว่าเชียนเอ๋อร์สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนิดหน่อย จึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้นางแยกตัวออกไป เลยถามว่า “มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?”
เสวี่ยเอ๋อร์ที่เดินตามอยู่ข้างๆ ก็มองเชียนเอ๋อร์แวบหนึ่งโดยจิตใตสำนึกเช่นกัน
เชียนเอ๋อร์รีบส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”
“อ้อ!” อวิ๋นจือชิวยิ้มหวาน และไม่ได้ถามอะไรมากอีก เดินผ่านร้านไปที่ลานบ้านด้านหลังแล้ว
เหมียวอี้ในตอนนี้กันเหลียงหรงกับหมี่หลิงออกไป นั่งอยู่เงียบๆ ลำพังบนตำแหน่งหลักในโถงหลัง ลมหายใจหนักหน่วง สองมือกำตรงที่วางมือไว้แน่น บนใบหน้าเริ่มฉายแววดุร้ายทีละนิด สุดท้ายก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะกลับมานั่งลงในบ้านของชัยภูมิถ้ำสวรรค์ จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากเหมียวอี้ นางดีใจทันที ตราบใดที่เหมียวอี้ยังส่งข่าวกลับมา ก็แสดงว่าเขายังปลอดภัย จึงตอบกลับทันทีว่า : ข้าอยู่! หนิวเอ้อร์ ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?
สีหน้าดุร้ายของเหมียวอี้ยังไม่หายไป เขาตอบกลับมาว่า : ทางข้าสบายดีจะตาย ตอนนี้เจ้าไปจัดการธุระให้ข้าสักเรื่องสิ
อวิ๋นจือชิวแปลกใจ : เรื่องอะไร?
เหมียวอี้ : เจ้าไปเรียกสองพี่น้องหลางหลางหวนหวน จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียว ฝ่าอินแล้วก็หงเฉินให้ไปในหุบเขาทางตะวันออกของเมืองเดี๋ยวนี้ รวมทั้งหญิงรับใช้ประจำตัวของพวกนางด้วย ห้ามขาดไปแม้แต่คนเดียว อีกประเดี๋ยวถ้ามีคนลงมือกับพวกนาง เจ้าก็ห้ามยื่นมือเข้าไปแทรกแซง!
เขาต้องการจะล้างแค้น ในใจราวกับซ่อนมารร้ายเอาไว้ พอจิตมารบังเกิด แม้แต่สองพี่น้องหลางหลางหวนหวนเขาก็ไม่คิดจะปล่อยไป!
อวิ๋นจือชิวตกใจจนลุกขึ้นยืน : ลงมือกับพวกนางเหรอ? ใครจะลงมือกับพวกนาง?
คำตอบแค่ละคำของเหมียวอี้ช่างน่าตกใจ : ข้าเอง! ข้าต้องการลงมือกับพวกนาง! ก่อนจะติดต่อกับพวกนางส่งคนไปจับตาดูพวกนางไว้ ถ้าพบว่ามีคนไม่ไป หรือมีความผิดปกติอะไรก็บอกข้าทันที ข้าจะส่งคนไปจัดการ!
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ตัวสั่นหวาดกลัวแล้วจริงๆ เรียกได้ว่าสีหน้าเปลี่ยนไปมาก รีบถามทันทีว่า : เจ้าเป็นใคร? เจ้าเป็นใครกันแน่?
นี่เป็นคำถามที่หลอกตัวเอง นอกจากเหมียวอี้ก็ไม่มีใครที่สามารถกระตุ้นตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ที่อยู่ในระฆังดาราเพื่อติดต่อกับนางได้แล้ว เพียงแต่นางไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ ไม่น่าเชื่อว่าต้องการจะฆ่าเหล่าอนุภรรยาของตัวเอง เหมียวอี้ที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ไม่เหมือนเหมียวอี้ที่นางรู้จัก
เหมียวอี้สงสัยนางทันที ภามกลับว่า : นอกจากข้าแล้วยังจะมีใครได้อีก? เจ้ายืนอยู่ฝ่ายใครกันแน่ ฝ่ายข้าหรือว่าฝ่ายพวกนาง?
อวิ๋นจือชิวสีใบหน้างามถอดสีกระโปรงสะบัดรัวๆ นางเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน เอามือบตบหน้าอกที่อิ่มเอิบเบาๆ พร้อมถอนหายใจ พยายามสงบสติอารมณ์ไว้ หลังจากบอกตัวเองให้ใจเย็นได้แล้ว ก็เขย่าระฆังดาราตอบกลับไปว่า : หนิวเอ้อร์ ข้าจับตาดูพวกนางมาตลอด พวกนางไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อเจ้าเลย ทำไมเจ้าต้องฆ่าพวกนางด้วย? เจ้าบอกข้ามาเสียดีๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เหมียวอี้ยิ่งสีหน้าดุร้ายกว่าเดิม ถามกลับว่า : ปู๋เจ้ายังไม่ได้บอกเจ้าเชียวเหรอ?
อวิ๋นจือชิวร้อนใจแล้ว : เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าบอกให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้นะ!
เหมียวอี้ตอบกลับอย่างดุร้ายว่า : พวกปู่เจ้าอยากจะเอาชีวิตข้าไง…
เหมียวอี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฟังอย่างไม่ใส่สีตีไข่
หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็ตกใจจนอึ้งไป สีหน้าซีดขาว ตกใจจนหน้าไม่มีเลือดฝาดแล้ว นางนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าผู้ชายของตัวเองไปเดินวนรอบประตูผีมาแล้วรอบหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนแอบยื่นมือช่วยเหลือ เกรงว่าชีวิตของสามีคงจะถูกพวกท่านปู่เก็บไปแล้ว เกรงว่าหลังจากเรื่องจบตัวเองก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามีตายอย่างไร ท่านปู่ต้องไม่ยอมบอกความจริงแน่นอน จะต้องปิดบังนางแน่นอน
ห้าตระกูลที่เกี่ยวดองกันโดยการแต่งงาน ไม่มีตระกูลใดน่าเชื่อถือเลย! ในที่สุดอวิ๋นจือชิวก็รู้แล้วว่าทำไมเหมียวอี้จึงทำตัวเหมือนมารคลั่ง เพราะโดนห้าตระกูลที่เกี่ยวดองร่วมมือกันทรยศ พอปีนขึ้นมาจากหลุมแห่งความตายได้ คาดว่าหัวใจคงจะดำดิ่งจนถึงจุดต่ำสุด ในตอนนี้ถ้าเปลี่ยนให้ใครไปตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ก็คงจะเชื่อใจใครไม่ได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาชีวิตตัวเองมาเล่นหรอก!
ยังมีความโชคดีในความโชคร้าย โชคดีที่ไม่เกิดเรื่อง! อวิ๋นจือชิวที่ได้สติกลับมาค่อนข้างร้อนใจ ไม่รู้ว่าจะตอบกลับระฆังดาราที่อยู่ในมืออย่างไร ตอนนี้นางไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของเหมียวอี้ แต่กลับกังวลสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไปของเหมียวอี้ ขนาดสองพี่น้องหลางหลางหวนหวนก็ไม่ปล่อยไป แค่คิดก็รู้แล้วว่าน่ากลัวขนาดไหน!
แต่ไหนแต่ไรมา สุดท้ายบุคคลผู้ยอดเยี่ยมก็จะได้เดินบนเส้นทางที่ไม่ไว้หน้าญาติมิตร นั่นล้วนเป็นเพราะผ่านประสบการณ์การโดนโจมตีทางด้านจิตใจและการโดนทรยศหักหลังต่างๆ มาอย่างโชกโชน ต่อให้สุดท้ายจะได้กลายเป็นราชันผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็จะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น!
นางหวังว่าเหมียวอี้จะเดินไปได้ไกลกว่านี้ แต่ไม่ได้หวังให้เหมียวอี้ขาดความเป็นมนุษย์ นางไม่หวังให้เหมียวอี้ไร้เดียงสาเกินไป ไม่อยากให้ทำงานโดยใช้อารมณ์เกินไป หวังเพียงให้เหมียวอี้ใช้เหตุผลมากขึ้นสักหน่อย ไม่หวังให้เหมียวอี้กลายเป็นคนทะเยอะทะยานที่ไม่ไว้หน้าญาติพี่น้องแน่นอน! ถ้าก้าวไปถึงจุดนั้นจริงๆ เช่นนั้นระหว่างนางกับเหมียวอี้ก็คงเดินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ไม่มีทางอยู่กันได้ยาวนาน!
ถ้าให้เหมียวอี้ฆ่าล้างอนุภรรยาของตัวเองจริงๆ หลังจากมีจิตใจที่ไร้คุณธรรมน้ำมิตรแบบนี้แล้ว เหมียวอี้ก็จะหันหลังกลับไม่ได้แล้วจริงๆ ต่อไปในโลกนี้จะมีใครบ้างที่เหมียวอี้ฆ่าไม่ได้ล่ะ ยังจะมีเรื่องไหนที่เหมียวอี้ทำไม่ได้อีก?
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว นางก็ตัดสินใจที่จะห้าม พูดเกลี้ยกล่อมทันทีว่า : หนิวเอ้อร์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกนาง เจ้าอย่าทำซี้ซั้ว ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นผู้หญิงของเจ้า!
เหมียวอี้โมโหแล้ว : เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้ไม่ใช่เหรอ? งั้นเจ้ารู้ได้ยังไงว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนาง?
อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ เจ้าใจเย็นลงหน่อย เรื่องเล็กน้อยแบบนี้มีค่าพอให้เจ้าลงมือกับคนของตัวเองเหรอ? ถ้าเจ้าโมโหเจ้าก็ต้องระบายให้ถูกที่! พูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เจ้าเคยคิดถึงผลที่ตามมาหลังจากฆ่าพวกนางมั้ย? ถ้าทำให้พวกมู่ฝานจวินโมโหขึ้นมา พวกเขาก็สามารถเปิดโปงเรื่องของเจ้าให้ตำหนักสวรรค์รู้ได้ทุกเมื่อ แน่นอน เจ้าอาจจะไม่สนใจความเป็นความตายของข้า แต่เจ้าคิดจะเป็นโจรกบฏที่หลบอยู่ในนรกตลอดชีวิตเลยเหรอ จะโดนขังอยู่ในนรกตลอดไปงั้นเหรอ?
คำพูดนี้ได้ทำให้เหมียวอี้ที่ตกอยู่ในความบ้าระห่ำสงบลงแล้วจริงๆ เขาไม่สามารถแตะต้องพวกจีเหม่ยลี่ได้ง่ายๆ พวกนางไม่ใช่คนธรรมดาที่ไม่มีภูมิหลังอะไรเลย ยังตระกูลฝ่ายหญิงที่มีหน้ามีตา
เหมียวอี้ก็ได้สติกลับมาจากความดื้อรั้นที่จะล้างแค้นแล้วเช่นกัน นั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง แต่ก็ยังปากแข็งถามว่า : อวิ๋นจือชิว เจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วใช่มั้ยว่าจะสู้กับข้า?
อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ ข้าไม่ได้อยากสู้กับเจ้า! ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน รอให้เจ้าใจเย็นลงก่อน ถ้าผ่านสามวันนี้ไปแล้วเจ้ายังอยากฆ่าพวกนางอยู่ ข้าค่อยลงมือก็ยังไม่สาย แต่ตอนนี้! ข้าไม่อนุญาตเด็ดขาด! ตอนนี้แม่คนนี้จะสู้กับเจ้าแล้ว!
เหมียวอี้ที่นั่งอย่างอ่อนปวกเปียกอยู่บนเก้าอี้หลับตาลงอย่างพูดไม่ออก
เมื่อเห็นว่าไม่มีคำตอบกลับมา อวิ๋นจือชิวก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับสองพี่น้องหลางหลางหวนหวน สั่งให้พวกนางมาหาตนผ่านทางใต้ดินทันที ตอนนี้ตนต้องส่งพวกนางให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัย เพราะที่นี่คืออาณาเขตของเหมียวอี้ ต่อให้ตนไม่ลงมือ เหมียวอี้ก็ให้คนอื่นลงมือแทนได้อยู่ดี
หลังจากส่งข่าวไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็เดินออกมานอกบ้าน พอบังเอิญเหลือบไปเห็นเชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ที่จ้องมองมาทางนี้อย่างลับๆ ล่อๆ นางก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงกวักมือเรียกทั้งสองทันที “พวกเจ้ามานี่หน่อย”
สองสาวก้าวขึ้นมา สายตาของอวิ๋นจือชิวไปหยุดอยู่บนหน้าเชียนเอ๋อร์ หลังจากจ้องเชียนเอ๋อร์จนอึดอัดไปทั้งตัว ถึงได้กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “เชียนเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ตอนข้าอยู่ในห้องรับแขก เจ้าไปไหนมา?”
เชียนเอ๋อร์พยายามทำตัวสงบนิ่งเข้าไว้ “ไม่ได้ไปไหนเจ้าค่ะ แค่กลับไปเอาของนิดหน่อยที่ลานบ้านด้านหลัง”
อวิ๋นจือชิวถามเสียงเรียบว่า “งั้นก็แปลกแล้ว เมื่อครู่ตอนที่นายท่านติดต่อกับข้า เขาบอกว่าเขาเพิ่งติดต่อกับเจ้าไป?”
“หา…” เชียนเอ๋อร์งงทันที เมื่อครู่นี้นายท่านบอกเองว่าไม่ให้นางบอกฮูหยิน ใครจะคิดว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเขาจะขายนางซะแล้ว ทำให้นางกลายเป็นคนโกหกที่ถูกจับได้ต่อหน้าฮูหยิน จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร
แต่ไม่นานนางก็มองออกถึงลับลมคมในจากคำพูดของอวิ๋นจือชิว จึงแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว ตัวเองตกหลุมพรางฮูหยินแล้ว โดนฮูหยินหยั่งเชิงเสียแล้ว
“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวมองอะไรบางอย่างออกแล้วจากปฏิกิริยาของเชียนเอ๋อร์ นางส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เจ้าผีบ้าเอ๊ย ขนาดข้าก็โดนสงสัยแล้ว…แต่ก็ยังถือว่ามีมโนธรรมอยู่บ้างนิดหน่อย ยังเห็นแก่ความผูกพันที่เป็นสามีภรรยากัน ไม่ได้สั่งให้คนมาเอาชีวิตข้าไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นการหยั่งเชิงข้าอยู่รึเปล่า! เจ้าผีบ้านี่ทำให้ข้าพูดอะไรไม่ออก เวลาที่ฉลาดก็ฉลาดมาก แต่เวลาโง่ขึ้นมาก็เลอะเลือนมาก เมื่อไรถึงจะมีสติปัญญาแบบจริงๆ สักที บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับนิสัยของเขา เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงจะแก้ไขไม่ได้แล้ว เฮ้อ!”
พอกล่าวมาแบบนี้ พอได้ยินว่าเหมียวอี้เหมือนจะเอาชีวิตของอวิ๋นจือชิว สองสาวก็ตกใจทันที รีบถามว่า “ฮูหยิน เกิดเรื่องอะไรกับนายท่านหรือเจ้าคะ?”
อวิ๋นจือชิวไม่ได้ปิดบังพวกนาง เล่าเรื่องที่เหมียวอี้ประสบอันตรายและบอกว่าจะฆ่าพวกจีเหม่ยลี่ให้ฟังคร่าวๆ
…………………………