พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1243 ผลงานที่นำกลับไป
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ตกใจกับอันตรายที่เหมียวอี้ประสบ และไม่เคยเห็นเหมียวอี้ทำเรื่องที่ตัดเยื้อใยไมตรีขนาดนี้มาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าต้องการจะสังหารอนุภรรยาของตัวเอง ทำให้พวกนางตกใจไม่เบาจริงๆ
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ที่ข้าบอกพวกเจ้าเพราะอยากให้พวกเจ้าได้รู้ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ข้าจะต้องห้ามนายท่านเอาไว้ ข้ายอมให้นายท่านทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ถ้าทำเรื่องนี้จริงๆ นายท่านก็จะหันหลังกลับอีกไม่ได้แล้ว ถ้าพวกเจ้าจะบอกนายท่าน ข้าเองก็ไม่ห้ามอะไร ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นลูกน้องคนสนิทของเขา หลายปีมานี้ที่ข้าเก็บพวกเจ้าไว้ข้างกายตลอด ก็เพราะข้ามีชื่อเสียงไม่ดี ถึงอย่างไรข้ากับเฟิงเสวียนก็เคยเกิดเรื่องแบบนั้นกันมาก่อน ถึงเขาจะบอกว่าไม่ถือสา แต่ข้าเองก็ถือมากจริงๆ กลัวว่าเขาจะคิดมาก บวกกับเวลาเข้าสังคมข้าจะต้องพบปะผู้ชายคนอื่นบ้างนิดหน่อย ที่ข้าให้พวกเจ้าเห็นอย่างชัดเจน ก็เพราะอยากให้เป็นพยานในความบริสุทธิ์ของข้า หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ!”
หลังจากสองสาวได้ฟังนางพูดแล้ว ก็ได้ก้มหน้ากัดริมฝีปากเงียบๆ
จากนั้น อวิ๋นจือชิวก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับอวิ๋นอ้าวเทียนเพื่อถามว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรือไม่
อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ได้ตอบว่ามีหรือไม่มี บอกเพียงว่า : ปู่ทำผิดต่อเจ้าแล้ว!
อวิ๋นจือชิวเงยบไป ไม่ได้แสดงอาการโมโหใส่ และไม่ได้ด่ากราดด้วย ตอบกลับไปเพียงว่า : ท่านปู่ พวกท่านรักษษตัวด้วย!
จากนั้นก็เก็บระฆังดารา ที่นางพูดไปแบบนี้ กลับทำให้อวิ๋นอ้าวเทียนรู้สึกผิดในใจยิ่งกว่าเดิม เขาหวังจะให้อวิ๋นจือชิวด่ามาให้เต็มที่ ต่อให้จะขีดเส้นแบ่งกับตระกูลอวิ๋นก็ยังดี ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกันแล้ว เขาก็จะไม่ต้องแบกรับภาระทางด้านจิตใจ แต่การที่อวิ๋นจือชิวทำแบบนี้ กลับทำให้ตระกูลอวิ๋นติดหนี้นางแบบชดใช้ไม่หมด!
ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกจีเหม่ยลี่ก็ทยอยกันมาถึงจนครบ อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่ได้เปลืองคำพูดอะไร นางให้เสวี่ยเอ๋อร์ย้ายเก้าอี้เข้ามา แล้วตัวเองก็นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงหน้าพวกนาง วางมาดของฮูหยินภรรยาเอก เล่าเรื่องที่พวกมู่ฝานจวินทรยศจนเกือบเอาชีวิตเหมียวอี้ให้พวกนางฟังโดยตรง
พวกจีเหม่ยลี่ได้ยินแล้วก็ตกใจจนหน้าถอดสีเช่นกัน ด้านหนึ่งเป็นเพราะเหมียวอี้ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะนึกไม่ถึงว่าครอบครัวฝ่ายหญิงจะไม่สนใจความรู้สึกพวกนางเลยสักนิด ต้องการจะให้พวกนางเป็นหม้ายโดยไม่บอกล่วงหน้าสักคำ
กับเรื่องแบบนี้ ถ้ามองจากด้านหนึ่งพวกนางสามารถเข้าใจสิ่งที่ตระกูลฝ่ายหญิงทำได้ แต่ในด้านความรู้สึกนั้นรับได้ยากนิดหน่อย
“เฮ้อ…” เทพธิดาหงเฉินถอนหายใจเบาๆ
“ที่บอกเรื่องนี้ให้พวกเจ้ารู้ ก็ไม่ได้มีเจตนาจะโทษพวกเจ้าหรอกนะ ถึงอย่างไรตระกูลอวิ๋นของข้าก็มีส่วนเหมือนกัน” อวิ๋นจือชิวตาเป็นประกาย กวาดสายตามองบนใบหน้างามแต่ละหน้า พร้อมบอกว่า “ที่พูดออกมาก็เพราะอยากจะให้พวกเจ้าเข้าใจเท่านั้นเอง ชีวิตของผู้หญิงเราน่ะ แต่งงานกับไก่ก็ตามไก่ แต่งงานกับสุนัขก็ตามสุนัข ในเมื่อแต่งเข้ามาในตระกูลเหมียวแล้ว ก็ต้องคิดเพื่อตระกูลเหมียวให้มากๆ ครอบครัวฝ่ายหญิงน่ะพึ่งพาได้ แต่กลับเชื่อถือไม่ได้ ทุกคนต้องคิดดูให้กระจ่างนะ ว่าตอนนี้บ้านของตัวเองอยู่ฝั่งไหน ใครกันที่จะอยู่กับพวกเจ้าไปทั้งชีวิต ความใกล้ไกลกับความหนักเบาที่สมควรจะแยกแยะก็ต้องแยกแยะให้ชัดเจน”
หลังจากอาศัยโอกาสนี้อบรมไปยกหนึ่งแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้บอกพวกนางเรื่องที่เหมียวอี้จะฆ่าพวกนาง เพียงบอกว่ากังวลว่าพวกมู่ฝานจวินจะมีแผนอย่างอื่นอีก จึงเก็บพวกนางทุกคนเข้ากระเป๋าสัตว์แล้วพาออกไปอยู่นอกเมือง
ตอนออกนอกเมืองไม่มีการตรวจค้นอะไร อวิ๋นจือชิวก็แอบโล่งใจแล้ว ถ้าตอนนี้เหมียวอี้ดึงดันจะลงมือกับพวกนาง เกรงว่าออกคำสั่งคำเดียวก็สามารถปิดประตูเมืองทั้งสี่ได้แล้ว ที่ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรก็แสดงว่าเหมียวอี้อารมณ์เย็นลงแล้ว
แต่นางก็ไม่กล้าประมาท กลัวว่าเหมียวอี้จะวางแผนไว้ ก็เป็นอย่างที่นางบอก เหมียวอี้เวลาจะโง่ก็เลอะเลือนมาก แต่เวลาฉลากขึ้นมาก็น่ากลัวมาก ดังนั้นก่อนออกมานางจึงปลอมตัว นางกลัวว่าเหมียวอี้จะส่งคนมาสะกดรอยตามพวกนางแล้วจับกลับไปยกรัง
เรื่องราวก็ชัดเจนอยู่แล้ว ในเมื่อก่อนหน้านี้เหมียวอี้บอกแล้วว่าจะมีคนลงมือสังหารอนุภรรยากลุ่มนี้ในหุบเขานอกเมือง นั่นก็แสดงว่าเขาต้องวางกำลังคนไว้แล้วแน่นอน ทั้งยังไม่ใช่คนธรรมดาด้วย ต้องทราบไว้ว่าอนุภรรยาส่วนใหญ่ของเหมียวอี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน พวกนางฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษ เกรงว่านักพรตบงกชทองทั่วไปคงจัดการพวกนางไม่ได้ง่ายๆ
หลังจากหาที่อยู่ให้กลุ่มอนุภรรยาในดาวเคราะห์ที่รกร้างแห่งหนึ่งแล้ว อวิ๋นจือชิวก็รออยู่ตลอดเช่นกัน นางให้เวลาเหมียวอี้สามวัน ให้เหมียวอี้ไตร่ตรองให้ดีแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า และแน่นอน นางก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ต่อให้เหมียวอี้ยังจะลงมือฆ่าเหมือนเดิม นางก็จะไม่ทำอยู่ดี
หลังจากครบกำหนดสามวัน อวิ๋นจือชิวก็โล่งอกอย่างเต็มที่แล้ว เป็นฝ่ายหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ ถามว่า : หนิวเอ้อร์ อนุภรรยากลุ่มนั้นของเจ้า ข้าช่วยเจ้าควบคุมไว้แล้ว ถ้าจะฆ่าจะฟันเจ้าก็บอกมาคำเดียว อย่าให้ข้ารออย่างเสียเวลาเปล่า!
เหมียวอี้ตอบกลับเพียงว่า : ตอนนี้ข้างานยุ่ง เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง!
อวิ๋นจือชิวที่ยืนอยู่บนดาวเคราะห์ที่รกร้างเอามือปิดปากแอบขำไม่หยุดทันที นอนเตียงเดียวกันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว นางย่อมรู้จักสันดานของเหมียวอี้ เมื่อใจเย็นลงและเรื่องผ่านไปเดี๋ยวเขาก็ดีขึ้นเอง หนิวเอ้อร์ยังเป็นหนิวเอ้อร์คนเดิม
กระโปรงยาวสีเขียวครามสวยหยาดยิ้ม ดวงตางามทอดมองไปในดาราจักรอันไร้ขอบเขต หลังจากคิดได้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็เขย่าระฆังดาราเตือนเหมียวอี้ด้วยน้ำใสใจจริงอีกว่า : อดทนชั่วครามให้คลื่นลมสงบ ถอยหนึ่งก้าวเพื่อพบกับฟ้าหลังฝน! ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเจ้าสามารถฆ่าห้าปราชญ์เพื่อล้างแค้นได้ ข้าก็จะไม่พูดอะไรเหมือนกัน ถ้าฆ่าอนุภรรยาของตัวเองทิ้งก็ทำอะไรห้าปราชญ์ไม่ได้อยู่ดี มีแต่จะทำให้ปผลตัวเองลึกกว่าเดิม ไม่มีเหตุผลที่จะเอาคนในครอบครัวไปสู้กับคนนอก คนก็แต่งงานเข้าบ้านมาแล้ว อยู่ในมือเจ้าแล้ว อยากจะระบายความโกรธเมื่อไรก็ทำได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องวู่วาม! ในเมื่อล้างแค้นไม่ได้ก็อย่าแตกคอกลายเป็นศัตรูกัน เหลือทางหนีทีไล่ให้พวกเขาสักทาง นั่นเท่ากับเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองด้วย ไม่แน่ว่าในภายหลังอาจจะใช้ประโยชน์อะไรได้ ในเมื่อพวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อหกเคล็ดวิชาพิเศษ ก็แสดงให้เห็นว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษมีความสำคัญต่อพวกเขามาก แต่ของนี้กลับอยู่ในมือเจ้าไง ไม่ต้องพูดมากแล้วว่าใครได้เปรียบกว่า ถ้าเจอหน้ากันอีกครั้งก็เข้าไปหาพร้อมเสียงหัวเราะ วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ใครที่ได้หัวเราะจนถึงตอนสุดท้าย คนนั้นถึงจะเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง ผู้ชายของอวิ๋นจือชิวควรจะมีปณิธานแบบนี้สิ!
เหมียวอี้ : ข้ามีธระ ไม่คุยแล้ว
หลังจากติดต่อกับเหมียวอี้เสร็จแล้ว อวิ๋นจือชิวที่กำลังลังเลก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเยว่เหยา เล่าเรื่องที่มู่ฝานจวินจะเอาชีวิตเหมียวอี้ให้นางรู้ เรื่องบางเรื่องเหมียวอี้ทำไม่ลง แต่นางกลับไม่มีอะไรต้องเกรงใจ…
ชั่วพริบตาเดียว การทดสอบหนึ่งร้อยปีก็มาถึงตอนจบแล้ว จวนจะถึงเวลารายงานผลการปฏิบัติงาน วันกลับของเหมียวอี้ถูกกำหนดไว้ตั้งนานแล้ว
วันนี้เหมียวอี้กำลังเก็บตัวฝึกฝน เหลียงหรงมาเคาะประตูแจ้งว่า “ประมุขปราชญ์ ประมุขขุนพลขอเข้าพบค่ะ”
พอออกจากการเก็บตัวฝึกตน จินม่านที่กำลังรออยู่ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ประมุขปราชญ์”
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมถามว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
จินม่านนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมอบให้
ตั้งแต่ได้รู้ว่าเหมียวอี้มีอีกสถานะหนึ่ง รู้ว่าเหมียวอี้ไม่ใช่พวกไร้ความสามารถแต่ทำไปเพราะมีเหตุผล ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็ดีขึ้นไม่น้อย จินม่านก็ไม่ถูกทำให้โมโหจนกลายเป็นผู้หญิงปากร้ายที่ขึ้นเสียงตำหนิสั่งสอนเขาบ่อยๆ แล้วเช่นกัน
“คืออะไร?” เหมียวอี้รับมาไว้ในมือแล้วเอ่ยถาม พร้อมถือโอกาสอ่านดู
จินม่านที่เดินตามอยู่ข้างๆ ตอบว่า “ของที่ประมุขปราชญ์จะนำกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานครั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิดพลาดด้านลายมือแล้วคนอื่นมองเบาะแสออก ประมุขปราชญ์ก็ยังต้องคัดลอกใหม่อีกรอบ เปลี่ยนเป็นลายมือของตัวเองค่ะ”
เหมียวอี้หยุดฝีเท้าแล้วอ่านตรวจ เป็นแผนที่ดาวที่แนบคำอธิบายฉบับหนึ่ง เส้นทางการเดินทางเริ่มจากทางเข้าของแดนอเวจีล้วนถูกทำเครื่องหมายไว้อย่างชัดเจน ที่ทำเครื่องหมายไว้ร่วมกันมีสามจุด ทุกจุดล้วนอธิบายสถานการณ์ไว้อย่างคร่าวๆ เป็นสิ่งที่นำไปใช้รายงานในการทดสอบได้
แต่พอเห็นตำแหน่งที่แผนที่ดาวทำเครื่องหมายไว้ ก็เหมือนจะไม่ได้เข้ามาลึกในแดนอเวจี เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามอย่างลังเลว่า “ถ้านำของสิ่งนี้กลับไปจะรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของข้าได้เหรอ?”
จินม่านตอบว่า “ดูจากสถานการณ์ที่หกลัทธิจัดวางกำลังป้องกันไว้ ทัพใหญ่ของโจรกบฏหนึ่งล้านแปดแสนที่ทดสอบไม่ได้เข้ามาลึกเกินไป ส่วนใหญ่ล้วนสำรวจอยู่รอบนอก ส่วนใหญ่ถูกทัพใหญ่หกลัทธิกำจัดหมดแล้ว มีอยู่ส่วนหนึ่งที่หลบจนไม่เห็นเงา แล้วก็มีบางส่วนที่สู้สุดชีวิตเพื่อเข้ามาสำรวจ แต่ก็ทยอยกันถูกฝ่ายเราดักสังหาร และแน่นอน ดาราจักรกว้างใหญ่ ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีปลาลอดแห แต่ทิศทางการเคลื่อนไหวคร่าวๆ ของกำลังพลจำนวนหนึ่งล้านแปดแสนที่เข้าร่วมทดสอบ พวกเรายังพอรู้อยู่บ้าง ถ้าประมุขปราชญ์นำผลงานนี้กลับไป พวกเราไม่กล้ารับประกันว่าจะได้คะแนนที่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ แต่การรักษาที่นั่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จากจำนวนแปดพันกว่าตำแหน่งก็ไม่ใช่ปัญหา คะแนนน่าจะอยู่อันดับต้นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการผิดพลาด ในสามจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ หนึ่งในนั้นเป็นสถานที่อันตรายที่มีคนเหยียบเข้าไปถึงค่อนข้างน้อย รับรองได้ว่าคะแนนของประมุขปราชญ์จะยอดเยี่ยม”
เหมียวอี้โบกแผ่นหยกในมือพร้อมแสร้งกล่าวอย่างกังวลว่า “ถ้าข้าเอาของนี้กลับไป ที่อยู่ของทัพใหญ่หกลัทธิของข้าจะได้รับผลกระทบอะไรรึเปล่า?”
“ประมุขปราชญ์วางใจได้ ข้าน้อยมีแผนในใจแล้ว” จินม่านกล่าว
“รบกวนแล้ว” เหมียวอี้ถือโอกาสเก็บของไว้
จินม่านบอกอีกว่า “ประมุขปราชญ์ยังไม่คุ้นกับสถานการณ์ของแดนอเวจี เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด สามจุดนี้ประมุขปราชญ์ยังต้องไปด้วยตัวเองสักรอบ ตอนที่โจรกบฏทางนั้นตรวจสอบ หากท่านไม่รู้อะไรเลยก็จะทำให้เกิดปัญหาได้”
“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า “เวลาจบการทดสอบก็ใกล้เข้ามาแล้ว ไม่สะดวกจะชักช้าต่อไป งั้นพรุ่งนี้ก็ออกเดินทางเลยแล้วกัน…แต่เรื่องวันออกเดินทางของข้า เจ้าอย่าเปิดเผยให้อีกห้าลัทธิรู้นะ”
จินม่านยิ้มบางๆ รู้ว่าเขายังคิดเรื่องที่ห้าปราชญ์จะเล่นงานเขาให้ถึงตาย จะเตรียมป้องกันก็พอเข้าใจได้ นางตอบว่า “ประมุขปราชญ์วางใจได้ ไม่เปิดเผยต่อภายนอกแน่ พรุ่งนี้ประมุขปราชญ์สามารถปลอมตัวแล้วลงมือเงียบๆ ได้เลย ข้าน้อยจะให้ขุนพลใหญ่กงซุนปลอมตัวแล้วคุ้มกันส่งด้วยตัวเอง ไม่ให้ใครฉวยโอกาสได้!”
เหมียวอี้โล่งใจแล้ว แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินจินม่านกล่าวอย่างกังวลอีกว่า “เพียงแต่พวกเราก็ไม่สะดวกจะคุ้มกันส่งประมุขปราชญ์ไปสู่จุดหมายโดยตรงได้ ในกำลังพลที่เข้าร่วมทดสอบหนึ่งล้านแปดแสน ยังมีอีกหลายแสนที่ไม่เห็นร่องรอบ ตอนจบการทดสอบรับประกันได้ยากว่าจะไม่มีใครคอยเฝ้าชุบมือเปิบ ประมุขปราชญ์ต้องระวังตัวให้มากๆ”
“หึหึ!” เหมียวอี้หัวเราะเหยียดหยาม พึมพำในใจว่า ตอนอยู่ต่อหน้าพวกเจ้าข้าต้องแสร้งทำตัวถ่อมตนเหมือนเป็นหลาน ก็เลยเห็นข้าเป็นโคลนอ่อนบีบง่ายเหรอ? เขาพูดอย่างอวดดีว่า “ทัพใหญ่หนึ่งล้านข้ายังเคยโจมตีฝ่าข้าฝ่าออกมาแล้ว แค่พวกรอดตายไม่กี่แสนจะเรื่องใหญ่อะไร ถ้าเบื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วก็เข้ามาได้เลย ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าใครจะกล้าขวางข้า!”
เมื่อเห็นเขามีบุคลิกลักษณะอันอาจหาญ เผยสง่าราศีของผู้ที่อยู่เหนือกว่า ในดวงตาจินม่านก็ฉายแววชื่นชม แบบนี้สิถึงจะเหมือนประมุขปราชญ์หน่อย
วันต่อมา กงซุนลี่เต้าได้รับคำสั่งให้มาที่นี่ เหลียงหรงกับหมี่หลิงก็ปลอมตัวแล้วเช่นกัน จินม่านเพิ่มพวกนางสองคนเข้าไปด้วย เพราะยังกังวลอยู่บ้างว่ากงซุนลี่เต้าจะทำซี้ซั้วกับเหมียวอี้ จึงส่งคนของตัวเองให้ไปคอยดูไว้ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
เหมียวอี้ที่ถอดชุดสีทองหรูหราออกกลายเป็นชายชราคนหนึ่ง แล้วกล่าวอำลาว่า “หลังจากเหมียวอี้ไปแล้ว งานของที่นี่ก็ต้องรบกวนประมุขขุนพลด้วย”
จินม่านกุมหมัดคารวะ “เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ มิกล้าทำผิดพลาด”
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ตรงทางเข้าแดนอเวจี จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งถูกพ่นออกมากลางท้องฟ้า เกาก้วน ทูตตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์และเถิงเฟย จอมพลสายชวดเหาะอยู่ข้างหน้าด้วยกัน ข้างหลังยังมีนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอีกหลายสิบคนติดตาม ผ่านท้องฟ้าของแดนอเวจีมาตลอดทาง ผ่านไปยังทางเข้าแดนอเวจี
…………………………