พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1244 ขนาดเป็นแบบนี้ยังเจอกันได้
ถึงแม้คนกลุ่มนี้จะมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่กลับไม่กล้าคลายความระแวดระวัง เกาก้วนและเถิงเฟยที่เร่งเหาะอยู่ข้างหน้ากวาดสายตามองไปข้างหน้า ส่วนทุกคนที่อยู่ข้างหลังก็คอยระแวดระวังรอบข้างไม่หยุด
ดาราจักรประหลาดโผล่ขึ้นมาข้างหน้าและถอยร่นไปข้างหลังตลอดทาง หลังจากนั้นหลายวัน ลำแสงหลากสีกลุ่มใหญ่ที่มีดาวปรากฏเป็นจุดๆ ก็หมุนวนปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ดาวหกดวงกำลังหมุนวนอย่างสงบเงียบอยู่ท่ามกลางลำแสงหลากสี เหมือนกับค่ายกลใหญ่ที่ปิดล้อมทางเข้านรก ปิดทางออกนรกแล้ว
ทันใดนั้น ก็มีกลุ่มคนที่หนาแน่นยั้วเยี้ยเหาะออกมาจากดาวหกดวง พอใกล้จะถึงดาราจักรก็จัดขบวนรอเงียบๆ ทหารเกราะแดงหลายคนออกมาจากขบวน มารอรับอยู่ด้านหน้า ทำความเคารพอยู่ตรงหน้าพวกเกาก้วนที่มาถึงในชั่วพริบตาเดียว “คารวะจอมพล!”
จอมพลเถิงเฟยมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนหน้าเกาก้วน เกาก้วนที่สีหน้าเรียบเฉยยื่นป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งออกมาพร้อมบอกว่า “การทดสอบสิ้นสุดลงแล้ว เริ่มจบเถอะ!”
“น้อมรับบัญชาสวรรค์!” เถิงเฟยใช้สองมือรับป้ายคำสั่ง พอพลิกฝ่ามือ ป้ายคำสั่งก็ยิ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นมังกรบินสีรุ้งตัวหนึ่ง แล้วกลายเป็นอักษรคำว่า ‘คำสั่ง’ เลื้อยอยู่กลางอากาศ หลังจากจ้องคำสั่งมังกรพักหนึ่ง สายตาของเถิงเฟยก็กลับไปอยู่บนตัวของกลุ่มลูกน้อง แล้วโบกมือกล่าวเสียงดังว่า “น้อมรับคำสั่งราชันสวรรค์ การทดสอบจบลงแล้ว เริ่มเก็บกวาดสนาม!”
“รับทราบ!” กลุ่มทหารเอ่ยรับคำสั่งเสียงดัง จากนั้นก็ต่างคนต่างหันตัวมาจัดกำลังพลของตัวเอง ก่อนจะแยกย้ายกันไปทั่วทุกทิศ เก็บกวาดในดาราจักรที่อยู่รอบๆ ป้องกันไม่ให้โจรกบฏในนรกมาดักฆ่าผู้เข้าร่วมการทดสอบอยู่ใกล้ๆ ทางออก เพื่อปูทางให้ผู้เข้าร่วมทดสอบกลับมา
เห็นกำลังพลหลายแสนแยกย้ายกันในชั่วพริบตาเดียว ดำเนินการตรวจสอบค้นหาบนดาวทุกดวงที่อยู่รอบๆ ตรงนั้นเหลือเพียงจุยหย่วนและกำลังพลที่เฝ้าอยู่ตรงจุดทดสอบตลอดมา
เถิงเฟยยื่นมือเชิญไปทางดาวหกดวงที่วางค่ายกลปิดทางออกไว้ เกาก้วนโบกมือบอกว่า “ได้รับคำสั่งมาจากราชินีสวรรค์ ไม่กล้าเกียจคร้าน หาจุดสังเกตการณ์ที่เหมาะสมดูเอาแล้วกัน”
ทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน สายตาไปหยุดอยู่บนดาวดวงหนึ่งที่ค่อนข้างไกล แล้วเหาะออกไปพร้อมกัน จุยหย่วนหันกลับมาสั่งคนกลุ่มหนึ่งให้อยู่เฝ้าทันที แล้วพาคนอีกกลุ่มเร่งตามไป…
“ประมุขปราชญ์ คำสั่งมังกรของประมุขชิงออกมาแล้ว กำลังประกาศจบการทดสอบอย่างเป็นทางการ ทางโจรกบฏเริ่มเก็บกวาดตรงแถวๆ ทางออกแล้ว”
บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่เต็มไปด้วยหุบเขาและเหมาะกับการซ่อนตัว กงซุนลี่เต้าโบกมือให้สายลับที่มารายงานถอยไป แล้วหันตัวมารายงานเหมียวอี้ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
เหมียวอี้เดินออกมาจากเงามืดของภูเขา ยังคงหน้าตาเหมือนคนชราเช่นเดิม โดยมีเหลียงหรงและหมี่หลิงติดตามอยู่ทางซ้ายและขวา
“ลำบากขุนพลใหญ่ต้องคุ้มกันส่งตลอดทางแล้ว!” เหมียวอี้ออกมากล่าวขอบคุณ
“มิบังอาจ” กงซุนลี่เต้ากล่าวอย่างเกรงใจแบบที่หาฟังได้ยาก แล้วถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าประมุขปราชญ์เตรียมตัวจะออกเดินทางเมื่อไร?”
“ยิ่งเวลาผ่านไปนานก็ยิ่งมีอุปสรรคมาก ข้าเตรียมจะออกเดินทางทันที” เหมียวอี้ตอบ
กงซุนลี่เต้าจึงกล่าวว่า “ตรงนี้อยู่ใกล้ทางเข้าแดนอเวจีแล้ว เถิงเฟยมีกำลังไม่อ่อนแอ ข้าเคยประมือกับเขา มีเขาเฝ้ารักษาการณ์อยู่ ข้าจึงไม่สะดวกจะไปส่งที่หนทางข้างหน้า ไม่อย่างนั้นจะทำให้ประมุขปราชญ์ถูกเปิดโปงได้ง่าย ถ้าออกเดินทางพร้อมกันเกรงว่าจะทำให้คนสงสัย ข้าจะไปถอนกำลังพลที่อยู่รอบๆ ออกก่อน จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดกัน ประมุขปราชญ์รักษาตัวด้วย”
เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ “ขออภัยที่ส่งได้เพียงตรงนี้”
กงซุนลี่เต้ากุมหมัดคารวะแล้วหันตัว ก่อนจะพุ่งไปยังจุดลึกของดาราจักรในชั่วพริบตาเดียว
เหมียวอี้ที่กำลังมองส่งรู้สึกทอดถอนใจ ในที่สุดการทดสอบก็จบลงแล้ว ร้อยปีนี้ผ่านไปอย่างวิตกกังวลจริงๆ ก่อนมาเขานึกไม่ถึงเลยว่าจะได้ประสบกับเรื่องราวแบบนี้ หวังว่าตอนหลังจะเดินทางได้อย่างราบรื่นแล้วกัน
เขาหันกลับมามองเหลียงหรงกับหมี่หลิงที่ยังติดตามอยู่ข้างหลัง เขารู้สึกสับสนนิดหน่อย
เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากออกจากที่นี่แล้ว ก็จะหาทางนำกำลังพลของตำหนักสวรรค์มาล้อมปราบโจรกบฏกลุ่มนี้เพื่อระบายอารมณ์โกรธหลายสิบปี การแสร้งทำตัวถ่อมตนเหมือนหลานชายมาหลายสิบปีทำให้เขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ตัวเองจะได้สร้างผลงานใหญ่เพื่อเลื่อนขั้นและร่ำรวย แต่ใครจะคิดว่าพวกมู่ฝานจวินจะทำแบบนั้น กดดันให้เขาต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป
เรื่องราวก็แสดงให้เห็นชัดเจน เมื่อมีเรื่องกับห้าปราชญ์แบบนั้นแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาอีก คนแก่หนังเหนียวห้าคนนั้นก็จะสงสัยเขาทันที ภายใต้การโต้ตอบของกลุ่มโจรกบฏ ถึงตอนนั้นความจริงของเขาก็จะต้องเปิดโปงต่อหน้าตำหนักสวรรค์เช่นกัน ตัวเองก็อย่าได้คิดว่าจะอยู่ดีมีสุขเลย ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น กลุ่มอนุภรรยาของตัวเองล้วนฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษ ต่อให้เขาจะพูดว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้น แต่ตำหนักสวรรค์จะเชื่อเขาเหรอ?
ในทางกลับกัน การที่ตนไม่กล้านำกำลังพลของตำหนักสวรรค์มากำจัดโจรกบฏกลุ่มนี้ เรื่องนี้จะต้องกลายเป็นจุดอ่อนของตนแน่นอน ตอนนี้ปิดบังไม่รายงาน แต่มารายงานตอนหลังเพราะมีเจตนาอะไรล่ะ? ตำหนักสวรรค์จะเชื่อเจ้าได้ก็แปลกแล้ว พอเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับตนได้ผูกมัดอยู่กับโจรกบฏกลุ่มนี้แล้ว กลายเป็นส่วนหนึ่งของโจรกบฏที่สมกับชื่อเรียก
มารดาเจ้าเถอะ เหมือนเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ เข้าแล้ว มาเพื่อหาสมบัติแท้ๆ แต่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นหัวหน้าโจรกบฏเสียแล้ว ทั้งยังถูกบีบเอาไว้จนไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วอีก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
เหมียวอี้บ่นด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง เงยหน้ามองฟ้าอย่างพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ยังภาคภูมิใจกับตัวเองอยู่เลยที่ได้เจอสมบัติที่ประมุขไป๋ซ่อนไว้ ตนวิ่งเต้นหาสมบัติไปทั่วอย่างเต็มใจรับความลำบาก แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็ตระหนักได้ว่าในกระดานหมากของประมุขไป๋มีอุบายซ่อนอยู่ ตัวเองโลภในทรัพย์สินถึงได้ตกอยู่ในกระดานหมากของประมุขไป๋ ไม่รู้เหมือนกันว่าในอนาคตจะถูกชี้นำไปทางไหน กับดักนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ สามารถทำให้เขากลายเป็นประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยงได้ง่ายๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีพลังมากขนาดไหน ตัวเองไม่มีทางควบคุมได้เลย จะเป็นเคราะห์หรือเป็นโชคดีก็ทำได้เพียงดูไปทีละก้าว
“พวกเจ้าสองคนกลับไปเถอะ ถ้าไปข้างหน้ามากกว่านี้พวกเจ้าก็ไม่สะดวกจะโผล่หน้าไป” เหมียวอี้บอกผู้หญิงสองคนที่ดูแลตนมาตลอดหลายสิบปี
เหลียงหรงตอบว่า “ประมุขขุนพลกำชับไว้ บอกว่ากำลังพลระดับล่างยังมีคนที่ไม่เชื่อฟังประมุขปราชญ์ กังวลว่าจะมีคนแอบอ้างเรื่องที่โจรกบฏเข่นฆ่ากันเองมาเล่นงานกับท่าน จึงสั่งให้พวกเรามาดูให้เห็นกับตาว่าประมุขปราชญ์ออกจากที่นี่อย่างปลอดภัย พวกเราถึงจะกลับได้”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขระ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จินม่านช่างใส่ใจจริงๆ ไม่แปลกใจที่ทุกคนผลักดันให้เป็นประมุขขุนพล” พูดจบก็หันตัวเอามือไขว้หลัง รออย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เหลียงหรงที่ใช้ระฆังดาราติดต่อรับข่าวสารก็บอกว่า “ประมุขปราชญ์ ได้ข่าวมาแล้วค่ะ ขุนพลใหญ่กงซุนนำคนฝั่งพวกเราถอนทัพไปแล้ว ตอนนี้ท่านสามารถออกเดินทางได้แล้วค่ะ”
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วหันตัวมาบอกว่า “หลายปีมานี้รบกวนให้ทั้งสองดูแลรับใช้ ถ้ามีโอกาสเหมียวอี้จะมาตอบแทนอีกที กล่าวอำลาตรงนี้ วันหลังค่อยพบกันใหม่”
“น้อมส่งประมุขปราชญ์” ผู้หญิงทั้งสองกุมหมัดคารวะพร้อมกัน
เหมียวอี้ไม่พูดอะไรมากอีก หลังจากหยิบแผนที่ดาวออกมาดูตำแหน่งให้แน่ใจแล้ว ก็ถลันตัวจากไป
รอจนเหมียวอี้จากไปไกลแล้ว ทั้งสองถึงได้เหาะตามหลังไป แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองตามเหมียวอี้ตลอดทางจนเข้าเขตที่ปลอดภัย จากนั้นถึงได้พยักหน้าให้กันแล้วเหาะจากไปยังทิศทางตรงกันข้าม…
“กวาดล้างบ้าบออะไร เก็บกวาดในอาณาเขตไม่ให้เข่นฆ่าแย่งชิง ทำเอาพวกเราได้แต่หลบอยู่รอบนอกเหมือนเฝ้าต้นไม้รอกระต่าย อาณาเขตรอบนอกกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะต้องโชคดีขนาดไหนถึงจะมีคนผ่านมาทางนี้?”
บนดาวเคราะห์ขนาดไม่ใหญ่ดวงหนึ่งที่โดนขุดจนกลวง เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นโผล่จากรูถ้ำออกมาสังเกตการณ์รอบๆ อยู่เป็นระยะ ปากก็ด่าไม่หยุด แถมมือก็ยังแสร้งฉวยโอกาสลูบคลำซี้ซั้วเหมือนไม่รู้อะไร
คนที่อยู่ข้างเขายังมีฝานอวี้เฟย นางโบกดาบไปยังมือมารที่ลูบคลำเข้ามาโดยตรง ทำเอาเซี่ยโห้วหลงเฉิงตกใจจนรีบหดมือกลับไป
ฝานอวี้เฟยมองเขาตาขวาง เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องฐานะของเขา กังวลว่าถ้าฆ่าเจ้าเวรนี่แล้วจะกลับไปอธิบายไม่ได้ นางคงฆ่าเขาทิ้งไปแล้วจริงๆ
ใช่แล้วล่ะ เซี่ยโห้วหลงเฉิงชอบหวงฝูจวินโหรว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่แตะต้องผู้หญิงคนอื่นเลย ลูกหลานผู้มีอำนาจแบบนี้ จะให้เที่ยวเล่นหาความสำราญโดยไม่เสียตัวเลยก็เป็นไปไม่ได้ ค่านิยมในสังคมก็เป็นเช่นนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และในหนึ่งร้อยปีมานี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เก็บกดไม่มีที่ระบายอารมณ์มานานเกินไป ข้างกายก็มีแค่ฝานอวี้เฟยคนเดียวที่เป็นผู้หญิง เรียกได้ว่าคิดไม่ซื่อกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มีหรือที่ฝานอวี้เฟยจะยอมเขา ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นหัวกะทิของตระกูลเซี่ยโห้ว บางทีนางอาจจะพอพิจารณาได้บ้าง แต่ตัวละครประเภทหมีควายโง่เง่าแบบนี้ ถ้าอยู่ด้วยก็มองไม่เห็นอนาคตอะไร ฐานะภูมิหลังแบบนี้ตบตาได้เฉพาะพวกผู้หญิงที่ไร้ความรู้เท่านั้น นางเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้ประสบการณ์ความรู้ จะไปชายตามองเขาได้อย่างไร ย่อมไม่ยอมให้เขาเอาเปรียบลวนลามอยู่แล้ว
ภายใต้ความโมโหหงุดหงิด นางตอบกลับเพียงว่า “ถ้าไม่กวาดล้างสนาม เกรงว่าคนที่หลบอยู่ที่นี่จะไม่ได้มีแค่พวกเรา แต่จะเป็นโจรกบฏด้วย!” นางเจตนาจะชี้ให้เห็นถึงความโง่เง่าของใครบางคน
แน่นอน คนที่ติดตามปกป้องเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้มีแค่ฝานอวี้เฟยคนเดียว ตอนนี้กำลังกระจายกำลังกัน ข้างกายยังมีอีกสี่คนที่แยกไปดักซุ่มเป็นสองกลุ่ม
เดิมทีกำลังพลที่อยู่ข้างกายเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีเยอะมาก นับว่ามีหลายหมื่นคน แต่ตระกูลเซี่ยโห้วได้ข่าวเรื่องการทดสอบในนรกเร็วมาก จึงบอกให้เขารู้ได้ทันเวลาว่า : ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดในนรก ก็อย่าใช้คนจำนวนมากเกินไปมาโอ้อวด คนเยอะจะดึงดูดความสนใจของโจรกบฏได้ง่าย คนน้อยต่างหากที่เป็นหนทางในการปกป้องตัวเอง ต่อให้โจรกบฏจะร้ายกาจกว่านี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเติมคนไว้จนทั่วทั้งแดนอเวจี ตราบใดที่ไม่ไปถึงใจกลางนรกที่ป้องกันไว้หนาแน่นมิดชิด โอกาสในการรอดชีวิตก็ยังมีเยอะมาก
เซี่ยโห้วหลงเฉิงย่อมทำความคำแนะนำแต่โดยดีอยู่แล้ว ถ้าข้างกายขาดคนไป เขาก็จะหมดความมั่นใจทันที โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นการตายอย่างอนาถของคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไกลๆ หลังจากได้รับรู้ถึงพลังของโจรกบฏ ความรู้สึกกล้าหาญที่พอหัวร้อนก็วิ่งไปประสมโรงได้บินหายไปไกลสุดขอบฟ้าแล้ว มีหรือที่จะกล้าเพ่นพ่านไปทั่วนรก พอเจอดาวเคราะห์ดวงหนึ่งขุดหลุมลึก หลบอยู่เป็นเวลาเกือบร้อยปี เอาตัวรอดไปวันๆ จนถึงวันนี้
ที่จริงคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขาก็มีไม่น้อย ลูกหลานผู้มีอำนาจส่วนใหญ่โดนกดดันถึงได้มา ไม่เคยคิดถึงคะแนนดีๆ อะไรทั้งนั้น ขอแค่ปะปนอยู่จนถึงตอนจบของการทดสอบก็พอ เดี๋ยวกลับไปอาศัยภูมิหลังของตระกูลก็จะมีอนาคตเอง
แต่คนประเภทนี้หลังจากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วมักจะมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง เมื่อรักษาชีวิตไว้ได้ก็ย่อมหวังความร่ำรวย ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วหลงเฉิงในตอนนี้ ถอยแล้วสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ข้างหลังถูกเก็บกวาดสนามแล้ว ไม่มีอะไรให้ห่วงหน้าพะวงหลัง ซ่อนตัวมาเกือบร้อยปีในมือจึงไม่มีผลงานอะไรเลยสักนิด ย่อมต้องคิดไม่ซื่อกับคนอื่นอยู่แล้ว
ฝานอวี้เฟยไม่สนใจคะแนนนี้ ขอเพียงปกป้องให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงรอดชีวิตกลับไปได้ เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็ย่อมช่วยหาตำแหน่งให้นางอยู่แล้ง ถ้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ไม่ได้ ไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่อื่นก็นับว่ามีอนาคตเหมือนกัน เอาเป็นว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว เซี่ยโห้วหู่เฉิงไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างขาดความยุติธรรมแน่
“เฮ้ยๆ โชคดี มีคนผ่านมาทางนี้แล้วจริงๆ รีบเตรียมตัว!”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่หยิบระฆังดารามาฟังข่าวพลันหัวเราะลั่น โบกมือเรียกให้ฝานอวี้เฟยเตรียมตัวลงมือ ดวงตาแนบชิดกับรูถ้ำเพื่อมองประเมิน
ฝานอวี้เฟยก็เอาตาไปแนบชิดบนตาถ้ำที่ขุดเช่นกัน นางใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจ เห็นเพียงชายชราคนหนึ่งที่สวมเครื่องแบบเกราะทองของตำหนักสวรรค์กำลังเหาะมาทางนี้พร้อมมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง
รอจนกระทั่งคนบุกเข้ามาในที่ดักซุ่ม “ลุย!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันตะโกน แล้วโบกมือเก็บก้อนหินที่ปิดปากโพรงถ้ำโดยตรง พุ่งตัวนำออกไปก่อน พร้อมปล่อยสัตว์พาหนะไปดักหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีฝานอวี้เฟยตามหลังไป
เห็นเพียงเซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกดาบใหญ่ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ไกลๆ “โจรเฒ่า อย่าหนีนะ!”
หนีบ้าอะไรวะ! พอชายชราเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงตอนแรกก็อึ้งไปชั่วขณะ แล้วก็หยุดทันที พร้อมพึมพำกับตัวเองว่า “ไอ้หมีควายนี่มันเป็นผีที่วิญญาณมีห่วงจริงๆ ขนาดเป็นแบบนี้ยังเจอกันได้?”
เขารีบหันกลับมาอย่างรวดเร็ว เห็นข้างหลังและทางซ้ายขวามีคนโผล่มาล้อมฝั่งละสองคน จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง เรียกสัตว์พาหนะที่สวมเกราะรบผลึกแดงดุร้ายน่ากลัวออกมาโดยตรง
…………………………