พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1246 อาหญิงแท้ๆ ของเจ้าโง่นั่นคือราชินีสวรรค์
“จะนำผลงานกลับมาได้หรือไม่คือกุญแจสำคัญ พวกสวะที่ซ่อนตัวจนการทดสอบจบจะเอาไว้ใช้งานทำไม” เห็นได้ชัดว่าเกาก้วนมีแนวคิดที่ต่างออกไป
เถิงเฟยไม่เห็นด้วย “สำหรับเขา จะนำผลงานกลับมาได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ความสามารถของเขาได้รับการพิสูจน์ตั้งแต่ตอนที่การทดสอบเพิ่งเริ่มต้นแล้ว ข้าก็หวังว่าเขาจะไม่นำผลงานกลับมา ทางตลาดสวรรค์ไม่ต้องการเขา แต่ข้าต้องการเขา!”
เกาก้วนกล่าวเสริมด้วยเสียงเรียบว่า “จอมพลเถิงลืมเรื่องที่เขาทำลายกลองสะท้านฟ้าตอนการทดสอบเพิ่งเริ่มไปแล้วเหรอ?”
เถิงเฟยพลันหันขวับ “หลังจากจบเรื่องแล้ว เจ้าคงไม่สืบสาวเอาความหรอกใช่มั้ย? เจ้าเองก็เห็นสถานการณ์ในตอนนั้นแล้ว ลั่นกลองรบปลุกใจจะแสดงความอ่อนแอไม่ได้ เขาเองก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือกเหมือนกัน!”
“เจ้าไม่เอาเรื่องแล้วจะมีประโยชน์เหรอ?” เกาก้วนถาม
กลุ่มของเหมียวอี้ไม่ได้สังเกตเห็นพวกเขาสองคนเลย เหาะผ่านแถวๆ ดาวเคราะห์ที่ทั้งสองยืนอยู่ไปอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปทางที่มีคำสั่งมังกรบินอยู่ ต่างคนต่างมีที่ปรึกษาของการทดสอบคอยชี้บอกทาง
คนกลุ่มหนึ่งที่มีสมาชิกเจ็ดคนมาเหยียยบลงบนดาวหกดวงที่เป็นจุดปิดทางออกของแดนเวจี
เป็นแอ่งกะทะขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บนตำหนักแห่งหนึ่งที่สูงตระหง่าน แอ่งกะทะนี้ก็คือสนามฝึกแห่งหนึ่ง
เจ็ดคนนี้ไม่ได้มาถึงก่อนเป็นกลุ่มแรก ตรงนั้นมีคนมาถึงแล้วอย่างน้อยแสนกว่าคน ไม่มีที่บังแดดบังฝนเลยสักนิด คนจำนวนแสนกว่าคนตากแดดอันร้อนแรงนั่งสมาธิฝึกตนรออยู่สนามฝึก บ้างก็กระจายตัวกัน บ้างอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
ที่มีคนรอดชีวิตกลับมาได้เยอะขนาดนี้ เป็นเพราะตำหนักสวรรค์ไปเก็บกวาดบริเวณรอบๆ ปากทางเข้าออกล่วงหน้าและสั่งห้ามไม่ให้ปล้นฆ่ากันเองในเขตที่เก็บกวาดสนาม ขอบเขตนี้ขยายใหญ่เกินไป ถ้าอยากจะหาเป้าหมายเพื่อปล้นก็ยากลำบาก ยกตัวอย่างเช่นพวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่รอไปรอมาก็ไม่เจอเป้าหมายให้ลงมือเสียที ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอสักคน ทั้งยังโชคดีเจอเจ้าผีประหลาด คนอื่นไม่ได้บังเอิญเจอแต่เขากลับเจอตัวเป็นๆ จะหนีก็ไม่ทัน
พอเจ็ดคนนี้เหาะลงมาจากฟ้า ก็ทำให้กลุ่มคนพากันเงยหน้ามอง เป็นเพราะสัตว์พาหนะของเหมียวอี้สะดุดตาเกินไปจริงๆ พอเห็นเหมียวอี้กลับมา คนที่อยู่ตรงนั้นก็พากันกระซิบกระซาบนินทา
พวกจางฮั่นฟางที่อยู่ในคนกลุ่มนั้น ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เก้าคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัวสีหน้าเปลี่ยน ได้แต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาอย่างเลิกลั่ก
“เจ้าเวรนี่ก็รอดกลับมาเหมือนกันเหรอ” หลิ่วกุ้ยผิงกดเสียงต่ำพึมพำบอกคนที่เหลือ
“จะกลัวเขาทำไม พอออกจากแดนอเวจีกลับอาณาเขตตัวเองแล้ว เขายังจะทำอะไรพวกเราได้อีกล่ะ?” ซางหรูเยว่
คนที่เหลือพยักหน้า เหยาสิ้งบอกว่า “ไม่รู้ว่าคะแนนเจ้าเวรนี่เป็นยังไงบ้าง ถ้ารักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ไว้ไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสกำจัดเขาเสียหน่อย”
เหยียนซู่ขมวดคิ้ว “ทำไมถึงกลับมาพร้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้วล่ะ เจ้าเวรนี่อาจจะอาศัยบารมีของเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ได้ คะแนนคงไม่แย่แน่”
ร้อยปีมานี้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ตลอด ไม่กล้าเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้วเลย เดิมทีควรจะกลับมามือเปล่า อำนาจที่อยู่เบื้องหลังทนไม่ไหวจนต้องวิ่งเต้นให้ ตอนใกล้จะจบการทดสอบ คนที่อยู่เบื้องหลังก็เคลื่อนไหวอย่างรีบเร่ง ช่วยพวกเขาติดต่อสมาชิกผู้เข้าร่วมทดสอบคนอื่นๆ ที่อยู่ในอาณาเขตตัวเอง เรียกได้ว่าทั้งใช้อำนาจบีบบังคับทั้งใช้ผลประโยชน์หลอกล่อ
ส่วนพวกไร้อำนาจภูมิหลังที่ไม่เสียดายชีวิตเสี่ยงทำคะแนนมาได้นิดหน่อยและโชคดีรอดชีวิตกลับมาได้ ในใจก็เรียกได้ว่าคับแค้นเศร้าโศก แต่ก็ไม่มีทางเลือก เมื่อยังไม่แน่ใจว่าระบบของตลาดสวรรค์ถูกแยกออกมาจากอำนาจท้องถิ่นจริงๆ แล้วหรือไม่ คนที่กล้าหาญไม่ให้ความร่วมมือก็มีไม่เยอะ
อีกสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะไม่กล้าแน่ใจว่าคะแนนตัวเองจะได้อยู่ในแปดพันกว่ารายชื่อนั่นหรือเปล่า ถ้าคะแนนไม่เข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้น ก็ไม่มีทางกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้อยู่ดี ต้องกลับไปอยู่ในอำนาจท้องถิ่นต่อไป คาดว่าคงจะโดนกลั่นแกล้งจนตายแน่นอน และถ้าตราบใดที่ยอมรับเงื่อนไขนี้ ไม่ว่าสุดท้ายคะแนนจะเป็นอย่างไร ก็ล้วนมีตำแหน่งดีๆ จัดให้พวกเขาหนึ่งตำแหน่งเสมอ เมื่อชั่งน้ำหนักดูแบบนี้แล้ว ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใครก็ต้องตอบตกลงทั้งนั้น
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ข้างบนมีกฎระเบียบ ข้างล่างมีแผนรับมือ!
แน่นอน ก็มีพวกที่อ่านสถานการณ์ไม่ออกเหมือนกัน ถ้าไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้า แล้วจะทำไมล่ะ? สาเหตุแรกก็เป็นเพราะไม่รู้สถานการณ์นี่แหละ ตออยู่ที่ตำหนักสวรรค์ถึงไต่เต้าไม่ขึ้นสักที สาเหตุรองลงมาก็เป็นเพราะค่อนข้างมั่นใจกับผลงานที่ตัวเองนำกลับมา ไม่ต้องกังวลว่าจะได้กลับไปถูกกดดันและเบียดเสียดอยู่ในอำนาจเฉพาะพื้นที่อีก
ส่วนคนประเภทเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็โชคร้ายเป็นพิเศษ ขนาดเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วที่สง่าผ่าเผยก็ยังต้องไปคอยดักปล้นอีก แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว! ก็เป็นเพราะเขาเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วนี่แหละ แถมการทดสอบครั้งนี้ราชินีสวรรค์ก็เป็นคนจัด ตระกูลเซี่ยโห้วไม่สะดวกจะแอบเล่นไม่ซื่อจนทำให้ให้คนจับจุดอ่อนของราชินีสวรรค์ได้ ต้องทำตัวเป็นแบบอย่าง ทำได้เพียงเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวของเซี่ยโห้วหลงเฉิงเพื่อรักษาสถานการณ์โดยรวม ดังนั้นเซี่ยโห้วหลงเฉิงจึงโชคร้ายจริงๆ กลายเป็นคนที่ถูกตระกูลทอดทิ้งซ้ำแล้วซ้ำอีก
พอเห็นเหมียวอี้กลับมา โค่วเหวินชิงที่เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาก็เป็นฝ่ายยืนขึ้นก่อนทันที ถลันตัวออกมารับ
“ที่ปรึกษาโค่ว!” พอพบหน้ากัน เหมียวอี้ก็เก็บสัตว์พาหนะทันที แต่ยังไม่ทันเก็บเกราะรบ กุมหมัดคารวะเสียก่อน
กลับเป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ไม่ค่อยเห็นโค่วเหวินชิงอยู่ในสายตา แค่หัวเราะอย่างร่าเริงสองสามคำ
โค่วเหวินชิงเห็นเหมียวอี้แล้วดีใจ ใบหน้าฉายแววยินดี ยื่นมือมาประคองแขนเหมียวอี้ด้วยตัวเอง นางมองประเมินศีรษะจดเท้า แล้วพยักหน้าถามว่า “กลับมาก็ดีแล้ว ร้อยปีนี้ผ่านไปเป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “รอดชีวิตจากความตายมาได้ โชคดีเก็บชีวิตกลับมาได้”
“มีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น” โค่วเหวินชิงชำเลืองมองเซี่ยโห้วหลงเฉิงแวบหนึ่ง แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมคู่นี้ถึงมาด้วยกันได้ ดูแล้วเหมือนความสัมพันธ์จะไม่เลวด้วยนางหันกลับมาถามอีกว่า “ได้ผลงานกลับมารายงานมั้ย?”
“ก็ได้นิดหน่อยขอรับ แต่เกรงว่าจะไม่พอให้โอ้อวด” เหมียวอี้ถ่อมตัว
“ดี! ถอดเกราะรบ ตามข้ามา” โค่วเหวินชิงยื่นมือเชิญ
พวกเหมียวอี้ถอดเกราะรบเก็บไว้ทันที แล้วเดินตามหลังนางเข้าไปในศาลายาวที่สร้างขึ้นชั่วคราว ในนั้นมีคนสิบกว่าคนค่อยเก็บคะแนนทดสอบ
เริ่มตั้งแต่ส่วนหัวของศาลายาว โค่วเหวินชิงสอนเหมียวอี้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง นางให้เหมียวอี้เขียนชื่อและตำแหน่งตัวเองที่ตำหนักสวรรค์ลงบนผลงานที่นำกลับมาก่อน พร้อมทั้งลงตราอิทธิฤทธิ์ด้วย เพื่อยืนยันว่าเป็นผลงานของเหมียวอี้
จากนั้นโค่วเหวินชิงก็รีบตรวจสอบความผิดพลาด เมื่อพบว่าไม่มีอะไรผิดพลาด นางก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองอีก จากนั้นก็บันทึกบนแผ่นหยกที่ตัวเองพกไว้กับตัว เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองเคยแนะนำให้ใครส่งมอบผลงาน จากนั้นถึงได้นำผลงานของเหมียวอี้ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์สิบกว่าคนนั้น หลังจากคนพวกนั้นรับมาตรวจดูแล้ว พวกเขาก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไปอีก คนสิบกว่าคนผลัดกันอ่านแล้วบันทึกลงในสมุดบันทึกของตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเคยรับคะแนนทดสอบของใครมา ของที่นำกลับไปมีสภาพคร่าวๆ เป็นอย่างไร
สุดท้ายผลงานนี้จะถูกเก็บรวมอยู่ในมือเจ้าหน้าที่ควบคุมคนเดียว ทางเจ้าหน้าที่ควบคุมจะลงนามแล้วส่งกลับมาอีก แผ่นหยกที่มีการลงชื่อและตราอิทธิฤทธิ์ของคนสิบกว่าคน สุดท้ายก็จะกลับมาอยู่ในมือเหมียวอี้อีกครั้ง ให้เหมียวอี้ตรวจสอบว่าไม่มีความผิดพลาดแล้วเก็บไว้
ในระหว่างนั้นผู้บังคับใช้กฎจะตรวจตราอยู่ข้างๆ จับตาดูสมาชิกสิบกว่าคนที่รับผลงาน ถ้าการทดสอบยังไม่จบลงอย่างเป็นทางการ ถ้าคะแนนทดสอบยังไม่ถูกเก็บไปอย่างเป็นทางการ คนพวกนี้ก็ห้ามติดต่อกับภายนอก ไม่อย่างนั้นจะประหารอย่างไม่มีการละเว้น!
ที่ระมัดระวังขนาดนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนใช้เส้นสายมาโกงการทดสอบหลังจากจบเรื่อง
หลังจากทำอธุระทางนี้เสร็จ โค่วเหวินชิงก็นำพวกเหมียวอี้ออกไป พอเดินไปถึงริมหน้าผา ก็โบกมือชี้ไปยังแอ่งกระทะด้านล่าง “สมาชิกผู้เข้าร่วมการทดสอบทุกคนที่กลับมาแล้วจะต้องรออยู่ที่นี่ พวกเจ้าหาที่พักกันเองตามสบายเถอะ”
“ไม่ทราบว่าคะแนนจะออกเมื่อไรเหรอ?” เหมียวอี้ขอคำชี้แนะ
“ภายในหนึ่งปีกระมัง” โค่วเหวินชิงตอบ
“หนึ่งปี?” เหมียวอี้แปลกใจ ดูจากสภาพไร้ที่กำบังในแอ่งกระทะ จะต้องอยู่ในที่เปิดโล่งแบบนี้หนึ่งปีเหรอ? ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรสำหรับนักพรต แต่เวลาอาจจะยาวนานไปหน่อย อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ทำไมจะต้องรอนานขนาดนี้?”
โค่วเหวินชิงยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “หลังจากคะแนนทดสอบของพวกเจ้ามารวมกันแล้ว ก็จะจัดคนกลุ่มหนึ่งมาตรวจสอบทันที จะนำผลงานที่เป็นอาณาเขตซ้ำกันมาแยกประเภท จากนั้นก็จะจัดกลุ่มให้ยอดฝีมือนำไปตรวจสอบสถานที่จริงตามสถานการณ์ที่อยู่บนรายงานของพวกเจ้า หลังจากยืนยันระดับความยากและผลงานแล้วว่าไม่ผิดพลาด พวกเราถึงจะจัดอันดับได้สะดวก และเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนตบตาส่งผลงานอะไรมาส่งเดช คนประเภทนี้จะต้องมีแน่นอน การตรวจสอบสถานที่จริงก็เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผู้เข้าร่วมทดสอบทุกคน พยายามให้ความยุติธรรมกับทุกคน”
จากนั้นนางก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ไม่ปิดบังเจ้านะ ครั้งนี้ทูตขวาเกาเพิ่งมาเปลี่ยนขั้นตอนการตรวจสอบตอนใกล้จะถึงเวลา! หลังจากพวกไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำที่ส่งมอบผลงานไปแล้ว พอได้ยินว่าไม่ต้องกลับไปรอคะแนน แต่อยู่รอคะแนนที่นี่เลย ไม่สามารถใช้เส้นสายที่เตรียมไว้ล่วงหน้ามาโกงการทดสอบได้อีก มีคนเริ่มหวาดกลัวแล้ว โวยวายใหญ่ว่าจะเอาคะแนนกลับคืน มีลูกหลานผู้มีอำนาจโดนทูตขวาเกาสั่งประหารไปแล้วสิบกว่าคน ขนาดญาติฝ่ายภรรยาของจอมพลเถิงเฟยที่รักษาการณ์ที่นี่ก็สั่งประหารแล้วเหมือนกัน ไม่ไว้หน้าจอมพลเถิงเลยสักนิด ทำเอาคนอื่นตกใจจนไม่กล้าเคลื่อนไหวซี้ซั้ว คอยดูแล้วกัน! ตอนหลังจะต้องมีคนหัวหลุดลงพื้นแน่ ตอนนี้ในบรรดาคนแสนกว่านั่น ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่กำลังอยู่ในความหวาดกลัว ที่นี่วางค่ายกลตัดขาดสัญญาณระฆังดารากับภายนอก อยากจะขอให้คนช่วยก็ยังลำบาก ครั้งนี้ทูตขวาเกาทำอย่างเด็ดขาดจริงๆ มีจุดประสงค์จะเตะพวกลูกหลานชนชั้นสูงออกจากระบบของตลาดสวรรค์ จะได้มีตำแหน่งว่างไงล่ะ!”
เหมียวอี้นึกไม่ถึงว่าโค่วเหวินชิงจะอธิบายให้ตนฟังเยอะขนาดนี้อย่างไม่กลัวยุ่งยากน่ารำคาญ พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายถึงได้เข้าใจ อีกฝ่ายมีเจตนาจะบอกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไว้ใจไม่ได้ หวังว่าเหมียวอี้จะไม่อาศัยบารมีคนไม่น่าไว้ใจอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงเพื่อนำผลงานกลับมา ถ้าหากทำแบบนั้นก็ต้องเตรียมใจเอาไว้ เกาก้วนไม่ปรานีไว้หน้าใครทั้งนั้น
เหมียอวี้กุมหมัดขอบคุณในคำเตือนทันที แล้วบอกว่าคะแนนของตัวเองบริสุทธิ์ ไม่ได้ตบตาแน่นอน
ตอนนี้โค่วเหวินชิงถึงได้วางใจ แล้วยื่นมือเชิญ “ข้ายังมีงานต้องทำอีก อยู่ด้วยไม่ได้แล้ว”
พอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เหมียวอี้ก็นำพวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เบะปากใส่โค่วเหวินชิงเหาะไปเหยียบลงในแอ่งเพื่อหาจุดพัก
ในสนามฝึกกว้างโล่ง ทุกคนเลือกไม่ได้เลย ทำได้เพียงหาที่อยู่แบบส่งเดช เหมียวอี้กวาดสายตามองไปรอบๆ ทำให้สบตากับพวกจางฮั่นฟางแล้ว เมื่อนึกถึงเรื่องตอนที่คนพวกนี้สร้างความอับอายให้ตนในตอนแรก เขาก็รู้สึกว่าถึงเวลาเริ่มล้างแค้นแล้วจริงๆ จึงถ่ายทอดเสียงพึมพำบอกเซี่ยโห้วหลงเฉิงทันที
เซี่ยโห้วหลงเฉิงหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วสะบัดไหล่เบิกทางข้างหน้าเหมือนสุนัขรับใช้ทันที กดดันให้กลุ่มคนหลีกทางให้ ท่าทางวางอำนาจบาตรใหญ่มาก! เขาบุกมาตรงหน้าพวกจางฮั่นฟาง แล้วตะคอกว่า “ไสหัวไป! ท่านปู่เซี่ยโห้วของพวกเจ้าต้องการจะอยู่ตรงนี้!”
พวกจางฮั่นฟางสีหน้าแย่นิดหน่อย จากนั้นก็เหลือบมองเหมียวอี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเหมียวอี้กำลังจงใจหาเรื่องพวกเขา
“มัวชักช้าทำไม?” หมีควายเซี่ยโห้วใช้ความรุนแรง ใช้เท้าเตะโดยตรง ติงเจ๋อเฉวียนที่ลุกช้าโดนเตะกลิ้งออกไปแล้ว
ทั้งเก้าคนหลีกทางอย่างรวดเร็ว แต่ละคนโมโหแต่พูดอะไรไม่ได้ ถ้าแข่งเรื่องภูมิหลังวงศ์ตระกูลกับเหมียวอี้ พวกเขาก็ยังพอสู้ไหว แต่เมื่อเทียบกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถือว่ายังห่างชั้น ถึงแม้เจ้าหมีควายนี่จะไม่เอาถ่าย แต่กลับจัดอยู่ในกลุ่มผู้มีอำนาจสูงสุด คนที่เทียบภูมิหลังกับเขาได้มีไม่เยอะเลยจริงๆ
ความเคลื่อนไหวทางนี้ดึงดูดให้แม่ทัพเกราะม่วงหลายคนเหาะลงมาจากฟ้า แล้วตะคอกถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงถลึงตาโตทันที จ้องพวกจวนแม่ทัพภาคตงหัวอย่างดุร้าย ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘เชื่อมั้ยว่าพ่อคนนี้ทำให้พวกเจ้าตายได้!’
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร!” พวกจางฮั่นฟางรีบโบกมือ ไม่กล้าฟ้องอะไร รีบถอยออกไปอย่างหน้าม่อยคอตก เสียหน้าท่ามกลางฝูงชนแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำได้เพียงกลืนฟันหักที่อยู่ในปากลงท้องไป ใครใช้ให้เจ้าโง่นั่นมีอาหญิงแท้ๆ เป็นราชินีสวรรค์ล่ะ ตอนนี้นางกำลังควบคุมตลาดสวรรค์อยู่ มีเรื่องด้วยไม่ไหวก็ทำได้เพียงหลบ
………………………