พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1247 น้องหนิว คู่แค้นของเจ้ามาแล้ว
ที่จริงเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ได้น่ากลัว คนส่วนใหญ่ก็รู้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นแค่พวกขี้เมาหยำเปคนหนึ่งเท่านั้น การจะจัดการเขานั้นเป็นเรื่องว่ายมาก แต่ประเด็นสำคัญคือถ้าจัดการเขาก็จะเท่ากับตบหน้าตระกูลเซี่ยโห้ว แต่เจ้าหมอนี่ก็ยังไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว อยู่กับคนประเภทนี้ไม่มีทางไปถือสาหาความได้เลย
เมื่อเห็นพวกเขาไปแล้ว สภาพการณ์สงบลงแล้ว แม่ทัพเกราะม่วงก็มองสำรวจเซี่ยโห้วหลงเฉิงศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง คาดว่าคงรู้จักท่านนี้เหมือนกัน ไม่มีทางจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดได้ ไม่ใช่ว่าทุคนจะกล้าทำแบบเกาก้วน เพียงตะคอกเตือนว่า “ห้ามก่อเรื่อง ไม่อย่างนั้นจะมีโทษร้ายแรง!” พูดจบก็นำคนจากไปทันที
เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ไล่คนไปแล้วตบท้องตัวเองเบาๆ แล้วหันตัวมากล่าวกับเหมียวอี้พร้อมรอยยิ้มว่า “น้องหนิว ตอนนี้ทำแบบนี้ไปก่อน เอาไว้จัดการพวกมันทีหลัง ที่นี่เป็นอาณาเขตของเกาก้วน เกาก้วนนั่นไม่พูดจากันด้วยเหตุผล ถ้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่จะไม่เป็นผลดีกับทุกคน อดทนไว้ๆ”
เหมียวอี้พยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ แต่ในใจกลับพึมพำว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าใครที่ไร้เหตุผลกว่ากัน เกาก้วนนั่นมีเหตุผลมาก พูดจาด้วยเหตุผลมากเกินไป มากถึงขั้นไร้น้ำใจ ส่วนคนที่ไม่มีเหตุผลจริงๆ แล้วคือเจ้าต่างหาก
“นั่งๆๆ เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปเร็วมาก” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือปัดฝุ่นดินที่พื้นด้วยตัวเอง แล้วเชิญให้เหมียวอี้นั่ง
คนรอบข้างที่รู้จักเซี่ยโห้วหลงเฉิงต่างก็พากันแปลกใจ ไม่ค่อยจะเห็นเจ้าหมีควายนี่เกรงใจคนอื่นสักเท่าไร
ถ้าเปลี่ยนเป็นเหมียวอี้ตอนเมื่อก่อนนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงจะต้องไม่ชายตาแลแน่นอน แต่ระดับของเหมียวอี้ในตอนนี้ต่างออกไปแล้ว ในสายตาเขาเหมียวอี้เป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง คนที่บุกโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกในทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า ถ้าพูดออกไปว่าเป็นสหายของตน แบบนั้นก็ตนก็จะมีหน้ามีตาสุดๆ! ปกติเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่มีสหายที่ไหน คนที่มีความสามารถก็ยิ่งไม่มีทางมาเป็นเพื่อนกับเขา สาเหตุสำคัญเป็นเพราะเขาไม่ได้รับการยกย่องในตระกูลเซี่ยโห้ว เป็นสหายกับเขาไม่ได้มีผลประโยชน์อะไร นิสัยก็ไม่ได้ดีเท่าไรเลยจริงๆ อยู่กับคนสันดานอย่างเขาก็เหมือน ‘เนื้อแพะไม่ได้กิน แถมบนตัวยังติดกลิ่นสาบแพะ’ ปกติทุกคนล้วนอยากหลบเขาให้ไกลๆ
เหมียวอี้บอกว่าเป็นสหาย เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถือว่าพิเศษกว่าคนอื่นมาก!
คนบางประเภท ถ้าเจ้าเป็นฝ่ายไปผูกมิตรหวังเกาะอำนาจอิทธิพลก่อน เขาก็จะไม่ชายตาแลเจ้า ไม่มองเห็นเจ้าเป็นอะไรด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือดูถูกเจ้า เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็คือคนประเภทนั้น
ทั้งเจ็ดคนทยอยกันนั่งขัดสมาธิลง ใช้เวลาหนึ่งปี รอไปเถอะ ค่อยๆ รอไป
ถึงแม้ตรงนี้จะเป็นที่เปิดโล่ง ต้องเผชิญกับลมฝน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดี เพราะปลอดภัยมาก สามารถรอได้อย่างสงบใจเป็นเวลาหนึ่งปี
แต่จนใจที่พอรอไปได้แค่สิบกว่าวัน เหมียวอี้ที่กำลังหลบตานั่งสมาธิก็ถูกทำให้ตกใจตื่น ข้างหูมีเสียงของเซี่ยโห้วหลงเฉิงดังมา “น้องหนิว คู่แค้นของเจ้ามาแล้ว”
คู่แค้น? คู่แค้นอะไร? เหมียวอี้ลืมตาสองข้าง มองไปทางที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงบุ้ยปากไป เห็นเพียงสามงามชุดขาวคนหนึ่งนำคนหลายคนเดินก้าวยาวเข้ามา รูปร่างสูงระหง ตาคิ้วดุจภาพวาด จมูกโด่งสันเป็นคม ทั้งตัวดูองอาจกล้าหาญ ดวงตางามจ้องมาที่เขาแล้ว ไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่เกือบตายด้วยทวนเดียวของเขา จ้านหรูอี้!
นางมองดูเป้าหมาย ทั้งพุ่งเป้ามาหาตนแล้วจริงๆ แต่เหมียวอี้ก็ไม่กลัวนางเหมือนกัน เขาไม่เชื่อหรอกว่าจ้านหรูอี้จะกล้าทำอะไรซี้ซั้วในอาณาเขตของเกาก้วน แม้แต่อิ๋งเหย้าหลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋งเกาก้วนก็สั่งประหารมาแล้ว มีหรือที่จะกลัวหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง
แต่ความยุ่งยากเดียวก็คือ ดาวเทียนหยวนที่เขาอยู่นั้นคืออาณาเขตของอ๋องสวรรค์อิ๋ง แม้แต่ท่านโหวเทียนหยวนก็ยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอ๋องสวรรค์อิ๋ง อาณาเขตของตนอยู่ในขอบเขตอำนาจของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ไม่รู้เหมือนกันว่าการปรับปรุงของตำหนักสวรรค์ครั้งนี้จะจะแยกอำนาจของตลาดสวรรค์ออกมาได้ทั้งหมดหรือเปล่า
ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด ผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือตนก็คือปี้เยว่ฮูหยิน สามีของปี้เยว่ฮูหยินก็คือท่านโหวเทียนหยวน เทียนหยวนเป็นลูกน้องเก่าแก่ของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ถ้าท่านโหวเทียนหยวนสั่งปี้เยว่ฮูหยิน แล้วปี้เยว่ฮูหยินจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังกันแน่? ปัญหานี้ทำให้เหมียวอี้คิดวนเวียนไม่เลิก
เขากลับไปครั้งนี้ก็ต้องไตร่ตรองอีกว่าจะต้องปลีกตัวออกจากปี้เยว่ฮูหยินหรือไม่ ทางที่ดีที่สุดคือไปอยู่บนอาณาเขตของตระกูลโค่ว แต่ถ้าเบื้องบนไม่ยอมปล่อยคน เขาก็ไปที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น
นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาที่เหมียวอี้คิดวนเวียนไม่เลิกเท่านั้น และเป็นปัญหาที่ผู้ร่วมทดสอบมากมายในครั้งนี้คิดไม่ตกด้วย ไม่อย่างนั้นพวกจางฮั่นฟางจะหาผลงานมาได้อย่างไร
พอจ้านหรูอี้เห็นเหมียวอี้ นางก็แค้นจนกัดฟันกรอดเช่นกัน ในปีแรกมีคนบอกไว้ว่า ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อที่เป็นอันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งแรกยอดเยี่ยมกว่า หรือจ้านหรูอี้ที่เป็นอันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งที่สองยอดเยี่ยมกว่า ปรากฏว่าพอได้เห็นการทดสอบครั้งที่สามก็รู้ทันที แค่โดนทวนของหนิวโหย่วเต๋อทีเดียวก็ทำให้ชื่อเสียงบารมีของนางหายไปหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ติดตามทุ่มสุดตัวเข้าไปช่วยชีวิตออกมาได้ทันเวลา ดันทุรังดึงนางกลับมาจากประตูผี นางก็คงสิ้นชีพไปนานแล้ว โดนเหมียวอี้สังหารด้วยทวนเดียวไปนานแล้ว
อานุภาพทวนเดียวของเหมียวอี้น่ากลัวจริงๆ ทุกวันนี้ยังทำให้นางกลัวอยู่เลย อานุภาพการโจมตีที่น่าหวาดกลัวแบบนั้นไม่ใช่สิง่ที่นางจะต้านทานไหวเลย
หลังจากจบเรื่องนางก็ติดต่อกับคนที่บ้านแล้ว นางไม่ค่อยเข้าใจ ทั้งๆ ที่วรยุทธ์ของนางสูงกว่าเหมียวอี้ตั้งเยอะ และทวนวิเศษในมือเหมียวอี้ก็ไม่ใช่ของวิเศษระดับสูงอะไรนัก ทำไมนางถึงต้านทานเหมียวอี้ได้แม้แต่ทวนเดียว?
หลังจากคนที่บ้านถามถึงสถานการณ์ในตอนนั้นอย่างละเอียดแล้ว ก็บอกนางว่า เป็นไปได้สูงว่าวิชาทวนของเหมียวอี้จะบรรลุถึงความหมายที่ลึกซึ้งของการทำลายความว่างเปล่าแล้ว สามารถสำแดงอานุภาพได้เหนือกว่าพลังในวรยุทธ์ของตัวเอง วรยุทธ์เท่านี้แต่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ก็เพียงพอจะทำให้มองออกแล้วว่าเหมียวอี้มีพรสวรรค์สูงมากในด้านวิชาทวน มีการตระหนักรู้ที่สูงที่สุด เป็นคนมีฝีมือพิเศษในวิชาทวน!
จ้านหรูอี้ถามคนที่บ้านว่า เมื่อไรวิชาทวนของนางถึงจะไปถึงระดับนั้น?
ที่บ้านตอบกลับมาว่า การบรรลุความหมายของการทำลายความว่างเปล่า ไม่ใช่ว่าฝึกหนักแล้วจะสำเร็จได้ และไม่ใช่ว่าวรยุทธ์ถึงแล้วจะทำได้เช่นกัน มีคนมากมายที่ทั้งชีวิตก็ไม่มีทางบรรลุได้เลย ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับใจ จะต้องตระหนักได้ด้วยใจถึงจะสำเร็จได้ คนอื่นสอนกันไม่ได้ ถ้าไม่มีพรสวรรค์นั้น ก็ทำได้แค่รอดูโอกาส
จากนั้นคนที่บ้านก็โน้มน้าวนางเช่นกันว่าอย่าไปสี่ยงอันตรายซี้ซั้วในนรก จะเอานรกไปเทียบกับที่อื่นไม่ได้ ในบรรดาโจรกบฏมียอดฝีมือเยอะมาก ขนาดราชันสวรรค์ยกทัพไปปราบเองก็ยังต้องแพ้กลับมา คนที่สามารถฆ่านางได้ง่ายๆ ย่อมมีมเยอะเป็นพันเป็นหมื่น จะใช้กำลังสู้กันไม่ได้
ดังนั้นในระหว่างการทดสอบนางจึงเหมือนกับลูกหลานผู้มีอำนาจคนอื่น นางซ่อนตัวอยู่เกือบร้อยปี หลังจากการทดสอบจบแล้วถึงได้โผล่ออกมา นางย่อมได้รับการช่วยเหลือจากคนในครอบครัวเช่นกัน ช่วยนางทำผลงานนิดหน่อย แต่นิสัยนางแข็งกร้าว ไม่อยากเสียหน้าหลังจากรบแพ้อีก อยากจะกู้หน้ากลับมาโดยใช้อันดับการทดสอบ รอดักปล้นเช่นเดียวกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง หลังจากได้อะไรบ้างแล้วถึงได้กลับมา และนี่ก็เป็นสาเหตุที่นางเพิ่งกลับมาตอนนี้
ตอนนี้นางเดินอ้อมกลุ่มคนมาปรากฏตัวตรงหน้าเหมียวอี้แล้ว นางมองลงต่ำ ส่วนเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิก็เงยหน้ามอง ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน
เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับตบก้นลุกขึ้นยืน แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “จ้านคนสวย อย่าบอกนะว่าคิดถึงข้า ก็เลยมาหาข้าเหรอ?”
“คนจัญไรหน้าด้าน ไปตายไหนก็ไป ไปตายไกลๆ ได้ยิ่งดี!” จ้านหรูอี้พูดเหยียดหยามตรงๆ มองข้ามเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่หน้าบึ้งตึง นางจ้องเหมียวอี้พร้อมแสยะยิ้มบอกว่า “ช่างเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะยังรอดชีวิตกลับมาได้ สบายดีมากด้วย!”
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “การที่เจ้ารอดชีวิตกลับมาได้ กลับไม่เหนือความคาดหมายของข้าเลยสักนิด เห็นแก่หน้าของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ตอนลงมือข้าเลยเมตตาไปหลายส่วน ไม่อย่างนั้นเจ้าจะได้มายืนคุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอายอยู่ต่อหน้าข้าแบบนี้เหรอ! ถ้าเจ้ายังเกาะแกะไม่เลิก ก็แปลว่าไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วเกินไปรึเปล่า?”
คำพูดนี้ถือว่าโกหก ตอนนั้นที่เขาลงมือเขาไม่ได้ไว้หน้าเลยสักนิด เพียงแต่ทุกคนล้วนชอบฟังอะไรที่ไพเราะอยู่แล้ว
ที่จริงก็ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าจริงหรือโกหก คนข้างกายที่ได้ยินกลับเชื่อว่าเป็นความจริง ต่างก็คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่เหมียวอี้ออมมือเพราะเห็นแก่หน้าอ๋องสวรรค์อิ๋ง
ขนาดจ้านหรูอี้เองยังแอบกัดฟัน เหมียวอี้อาจจะออมมือให้เพราะเห็นแก่หน้าท่านตาของตนจริงๆ ถึงอย่างไรตั้งแต่เด็กจนโต การที่ทุกคนไว้หน้าท่านตาของนางก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก การไม่ไว้หน้าท่านตาของนางต่างหากที่แปลก
แต่ยิ่งเหมียวอี้พูดแบบนี้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่านางไร้ความสามารถ ทำให้ความรู้สึกพ่ายแพ้ในใจนางรุนแรงยิ่งขึ้น นึกไม่ถึงว่าตัวเองกับเขาจะแตกต่างกันขนาดนี้ นางอยู่อย่างสูงส่งมาจนชิน รับไม่ได้จริงๆ กับการที่ศัตรูออมมือให้นางเพราะเห็นแก่หน้าท่านตาของนาง การเก็บชีวิตกลับมาได้ ทำเหมือนว่าได้รับทานจากอีกฝ่ายมา!
เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับสะใจกับคำพูดนี้มาก ถึงอย่างไรจ้านหรูอี้ก็เพิ่งหักหน้าเขา แต่อาศัยภูมิหลังของจ้านหรูอี้ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาเลยจริงๆ อิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังของทุกคนก็พอๆ กัน ถ้าพูดถึงอำนาจทางทหาร อ๋องสวรรค์อิ๋งคุมกำลังพลหนึ่งในสี่ส่วนของใต้หล้า มีอำนาจที่แท้จริงมากกว่าตระกูลเซี่ยโห้ว อำนาจที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยโห้วล้วนผูกอยู่บนชายกระโปรงของราชินีสวรรค์ ญาติฝ่ายหญิงข้อห้ามตั้งเยอะ ทำให้เขาไม่กล้าทำซี้ซั้วกับจ้านหรูอี้
ตอนนี้เหมียวอี้ได้ช่วยเขากรีดหน้าจ้านหรูอี้แล้ว เขารู้สึกสะใจมาก หัวเราะลั่นแล้วบอกทันทีว่า “จ้านหรูอี้ เจ้าต้องขอบคุณน้องหนิวนะที่เป็นคนอ่อนโยนกับหญิงงาม ไม่อย่างนั้นเจ้าไม่ได้มายืนพูดอยู่ตรงนี้หรอก!”
“เป็นพี่น้องกันเหรอ?” จ้านหรูอี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็เหลือบมองเหมียวอี้ ก็จะพูดแขวะว่า “ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าใครกันที่จะเอาชีวิตพี่น้องตัวเอง!”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงสีหน้าไม่ถูก แต่เขาก็หน้าด้านจนติดเป็นนิสัยแล้ว ถามกลั้วหัวเราะอย่างไม่สนใจอะไรว่า “ระหว่างพี่น้องก็มีหยอกกันเล่นบ้าง ผู้หญิงอย่างเจ้าจะเข้าใจอะไร?”
จ้านหรูอี้อยากจะถามเขามากว่า แล้วอาของเจ้าไม่ใช่ผู้หญิงรึไง? เพียงแต่ไม่สะดวกจะพูดคำนี้ออกมา ถ้าพูดออกมาก็จะแสดงถึงความไม่เคารพ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีฐานะเป็นราชินีสวรรค์ การใช้คำพูดดูหมิ่นราชินีสวรรค์ตามอำเภอใจก็เท่ากับเป็นการตบหน้าราชันสวรรค์ คำบางคำไม่อาจพูดออกมาซี้ซั้วได้ นางจึงพ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นสุนัขสายพันธุ์เดียวกัน!” นางชี้ไปที่เหมียวอี้ “เอากระบี่สายฟ้าคืนข้ามาเดี๋ยวนี้ ถ้าข้าอารมณ์ดีแล้ว ก็อาจจะไม่ถือสาเรื่องในอดีตก็ได้”
เมื่ออยู่ต่อหน้าธารกำนัล คนอื่นอาจจะไม่ไว้หน้าตนได้ แต่ตัวเองมิอาจะไม่ไว้หน้าตัวเองได้ เหมียวอี้อาจจะคืนให้นางแบบส่วนตัวได้ แต่ตอนนี้กลับกล่าวเสียงเรียบว่า “ขออภัย ทำหายไปแล้ว!”
“ใช่! หายไปแล้ว!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดเสริมตามเขา หลังจากช่วยทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นแล้ว ตัวเองก็ยืดพุงเงยหน้าหัวเราะลั่น
จ้านหรูอี้กำหมัดแน่น คนที่อยู่ข้างกันเห็นนางจะระเบิดอารมณ์ จึงรีบดึงแขนเสื้อนางไว้ บุ้ยปากไปบนภูเขาเพื่อบอกใบ้ว่ามีคนกำลังจับตาดูในแอ่งกระทะนี้อยู่ จ้านหรูอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง นางไม่กล้ามีเรื่องกับทูตขวาหน้าตายเกาก้วน นั่นคือสุนัขดุของราชันสวรรค์ ปล่อยออกมากัดคนโดยเฉพาะ เอาไว้ปกครองพวกลูกหลานชนชั้นสูงที่ไม่เชื่อฟัง นางจึงทำได้เพียงข่มไฟโกรธเอาไว้ เพียงชี้หน้าเหมียวอี้พร้มอบอกว่า “อย่าลำพองใจไปนัก สักวันหนึ่งข้าจะมาคิดบัญชีนี้!”
พูดจบนางก็หันตัว คนที่อยู่ข้างๆ หลีกทางให้ทันที
“ไม่ไปส่งนะ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ
แต่ใครจะคิดว่าคำพูดนี้จะทำเสียเรื่องแล้ว จ้านหรูอี้หันกลับมามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากถอยทัพต่อหน้าเหมียวอี้ จะได้ไม่ทำให้คนที่อยู่ไกลเข้าใจผิดว่านางกลัวเหมียว จึงบอกทันทีว่า “จะพักตรงนี้!”
พวกผู้ติดตามอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อเห็นนางดึงดันขนาดนี้ ก็มีคนกุมหมัดคารวะบอกคนที่กำลังมุงดูทันที่ว่า “ขออภัย รบทวนทุกท่านเว้นที่ให้หน่อย”
ยังนับว่ามีท่าทีสุภาพ ไม่ได้เลวร้ายเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง คนที่มามุงดูก็มีเรื่องด้วยไม่ไหวเหมือนกัน ในเมื่ออีกฝ่ายชอบตรงนี้ เช่นนั้นก็ย่อมหลีกทางให้แต่โดยดี
ดังนั้นจ้านหรูอี้จึงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ เหมียวอี้เสียเลย พวกเหมียวอี้ก็ค่อยๆ นั่งลงเช่นกัน แต่ที่สำคัญคือแม้แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยังไม่มีสิทธิ์ไล่จ้านหรูอี้ไป
มีเรื่องกับคนอื่นไว้เยอะเกินไปจริงๆ เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลังที่ตอนแรกไม่เชื่อฟังคำแนะนำของอวิ๋นจือชิว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ทำได้เพียงคอยดูไปทีละก้าว เขาหลับตานั่งสมาธิ ไม่สนใจสิ่งรอบข้างแล้ว
…………………………