พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1257 ต้องการตัว แต่ไม่ให้!
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนถ่อมตัวเกรงใจ แต่อากัปกิริยาเต็มไปด้วยความโอ้อวดอย่างควบคุมไม่หยุด ทำให้เอ๋อเหมยที่อยู่ข้างๆ เม้มปากกลั้นยิ้ม
ราชินีสวรรค์เดินมาตรงหน้าเขา แล้วขานรับ “อืม” แสดงออกว่าเห็นด้วย “แดนอเวจีอันตรายจริงๆ ข้าได้ยินที่บ้านเจ้าบอกมาแล้ว ตอนอยู่ในนรกเจ้าหาที่ขุดถ้ำลึก แล้วซ่อนตัวเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี แค่นี้ก็รู้แล้วว่แดนอเวจีอันตราย”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ใช่แล้ว! ท่านอา คนหนึ่งล้านแปดแสนกว่าคน มีรอดกลับมาประมาณสามแสนคน หลานโชคดีที่ไม่ประมาท ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เห็นหน้าท่านอาแล้วจริงๆ”
ราชินีสวรรค์เอียงหน้าช้าๆ เหล่ตามองเขาด้วยแววตาแปลกๆ เหมือนเห็นหมู่โง่ตัวหนึ่ง
เอ๋อเหมยที่อยู่ข้างๆ อมลมในกระพุ้งแก้ม แทบจะหลุดขำออกมาแล้ว ที่จริงคำพูดของราชินีสวรรค์ได้เปิดโปงอย่างชัดเจนแล้วว่า เซี่ยโห้วหลงเฉิงขุดถ้ำอยู่เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น คว้าอันดับเก้ามาจากไหนล่ะ? แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงดัน ‘ฉลาด’ ช้าไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าราชินีสวรรค์ค่อนข้างพูดไม่ออกแล้ว
เดิมทีราชินีสวรรค์ก็ไม่อยากจะคิดว่าหลานชายวางมาดโอ้อวดต่อหน้าราชินีสวรรค์ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องยากที่คนในครอบครัวจะมาหาได้สักครั้ง ดังนั้นจึงค่อนข้างพูดอย่างนิ่มนวล อยากจะให้หลานชายอธิบายมาเอง แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงสติปัญญาไม่เปิดกว้างเลย ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงกล่าวให้ชัดเจนขึ้นหน่อย “เจ้าไม่ได้ประมาทจริงๆ ขุดถ้ำซ่อนตัวไม่ยอมออกมา พอออกมาก็ได้อันดับเก้าเลย ขนาดสวรรค์ยังส่งคะแนนมาให้เจ้า แบบนี้ต้องมีความสามารถมากขนาดไหน”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา นที่สุดเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็คิดตามได้ทันแล้ว รอยยิ้มโอ้อวดค้างนิ่งอยู่บนใบหน้า สีหน้าชาวาบเหมือนโดนตะคริวกิน
ราชินีสวรรค์หันตัวเดินกลับมานั่งลงหลังโต๊ะยาว “หลงเอ๋อร์ อาไม่อยากเห็นเจ้าหลอกลวงข้าหรอกนะ บอกมาเถอะ! บอกมาว่าเจ้าได้อันดับเก้ามาได้อย่างไร”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อยากหลอกอยู่เหมือนกัน แต่ว่าโดนเปิดโปงแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าท่านอารู้มากแค่ไหน เขายังจะกล้าหลอกอีกได้อย่างไร ได้แต่อึกอักลังเลนิดหน่อย แล้วก็อธิบายออกมาอย่างซื่อสัตย์ “เป็นหนิวโหย่วเต๋อมอบให้ข้า…”
ล่าเหตุการณ์ที่บังเอิญเจอหนิวโหย่วเต๋อแล้วเตรียมจะปล้นผลงานให้ฟัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” ราชินีสวรรค์พยักหน้าอย่างเจ้าใจ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ถามอีกว่า “เจ้ามีความแค้นกับหนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่ใช่เหรอ? ข้าได้ยินว่าเจ้ากับเขาลงนามจะสู้ตายกันไปข้างด้วย ยังจะสู้กันอีกมั้ย?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงยืดอกอีกครั้ง “ชายชาตรีจะจดจำความแค้นเล็กน้อยแบบนั้นได้อย่างไร เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป ข้าฉีกทำลายสัญญานั้นทิ้งไปแล้ว ข้ากับหนิวโหย่วเต๋อเป็นสหายกันแล้ว…” แล้วก็หัวเราะคิกคักเล่าว่าเวลาตัวเองอยู่กับเหมียวอี้นั้นมีมิตรภาพดีขนาดไหน
เจ้าคิดว่าเจ้ามีเสน่ห์ขนาดนี้จริงเหรอ? ราชินีสวรรค์จ้องหลานชายตัวเองอย่างพูดไม่ออกจริงๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ทำได้เพียงเปลี่ยนประเด็นสนทนา กล่าวให้กำลังใจเรื่องเบ็ดเตล็ดหยุมหยิม จากนั้นก็ให้รางวัลนิดหน่อย ก่อนจะสั่งให้คนพาเขาออกจากวังสวรรค์ ให้กลับไปแล้ว
ตอนค่ำ ในอุทยานสายัณห์ นางในร่ายรำอย่างอ่อนช้อย นั่งขยี้หนวดเชยชมอยู่ในศาลา รอบข้างมีนางสนมสุดสวยมากมายรายล้อมขอความโปรดปราน หัวเราะเบาๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของประมุขชิงไม่หยุด
ตรงด้านนอกประตูพระจันทร์ที่อยู่ปลายสุดของศาลายาว ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นำลูกน้องสองสามคนเดินเข้ามาหยุดฝีเท้า กวาดสายตามองภาพเหตุการณ์ในอุทยานสายัณห์ สายตาเย็นเยียบไปหยุดอยู่บนตัวนางสนมสุดสวยหลายคนที่กำลังรายล้อมประมุขชิง
มีอยู่จุดหนึ่งที่จำเป็นต้องยอมรับ ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หน้าตาธรรมจริงๆ เทียบกับหญิงงามในวังหลังพวกนั้นไม่ติดเลย แต่เป็นเพราะสายเลือดของตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีหญิงชายที่หน้าตาดี ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วหลงเฉิง
แต่หญิงงามในวังหลังพวกนั้นก็เทียบภูมิหลังกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ติดเช่นกัน ใครจะเทียบหนึ่งหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ติด พอเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปรากฏตัว ในดวงตาของหญิงงามพวกนั้นก็ฉายแววลนลาน รีบสำรวมท่าทีระริกระรี้แย่งความโปรดปราน
พวกนางเป็นฝ่ายเว้นที่ข้างประมุขชิงไว้ให้ กลัวว่าจะทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจผิด
“ฝ่าบาท!” หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก้าวขึ้นมาทำความเคารพ แล้วเห็นประมุขชิงดูการระบำจนเหม่อลอยไม่ตอบอะไร นางก็นั่งลงข้างกายประมุขชิงโดยไม่ต้องมีใครเชิญ ทั้งตำหนักสวรรค์มีนางคนเดียวที่มีสิทธิ์นั่งเทียบเสมอกับประมุขชิง
“ราชินีสวรรค์!” นางสนมทุกคนทำความเคารพ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เพียงพยักหน้าเบาๆ
เมื่อเห็นราชินีสวรรค์ทำสีหน้าเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี พวกนางสนมสุดสวยก็อ่านสถานการณ์ออกและต่างคนต่างหาข้ออ้างเพื่อออกจากงานไป
อ่านสถานกาณ์ไม่ออกไม่ได้หรอก ถ้ากล้ามายั่วยวนต่อหน้าราชินีสวรรค์ก็เท่ากับรนหาที่ตาย แรงสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังราชินีสวรรค์ก็คือตระกูลเซี่ยโห้ว ถึงแม้เซี่ยโห้วจะไม่สามารถทำอะไรพวกนางที่อยู่ในวังได้โดยตรง แต่กลับสามารถกวาดล้างอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังพวกนางได้
ถ้าไม่มีกำลังสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแล้ว ก็หมายความว่าในวังจะไม่มีใครพูดอะไรเพื่อช่วยเจ้าอีก ไม่มีใครอยากผิดใจกับคนที่มีอิทธิพลหนุนหลังเพื่อคนที่ไม่มีอิทธิพลหนุนหลังอย่างเจ้าหรอก แบบนั้นก็จินตนาการจุดจบได้เลย แค่ราชินีสวรรค์ส่งสายตาครั้งเดียวก็สามารถทำให้คนกลุ่มใหญ่ยัดข้อหาให้เจ้าได้แล้ว เล่นงานให้เจ้าตายได้ง่ายมาก และถ้าเจ้าไม่มีอิทธิพลหนุนหลัง ราชันสวรรค์ก็คงไม่ปล่อยให้คนไร้ความสำคัญคนหนึ่งมาทำให้วังหลังไม่สงบ ต่อให้ราชันสวรรค์มาซักถาม เจ้าก็เป็นได้เพียงคนมีความผิดติดตัวที่สมควรตาย แม้แต่คนที่จะร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้เจ้าสักคนก็ไม่มีด้วยซ้ำ
ดังนั้นแล้ว ผู้หญิงในวังหลังจะอยู่ในวังหลังได้อย่างมั่นคงหรือไม่ ปัจจัยที่ช่วยตัดสินก็ยังอยู่นอกวัง ในวังเป็นเป็นสถานที่หาความบันเทิงของราชันสวรรค์ คนที่ช่วยราชันสวรรค์ควบคุมคนในใต้หล้าก็ยังเป็นพวกขุนนางใหญ่ที่อยู่นอกวัง ไม่ใช่พวกผู้หญิงที่ยั่วยวนอยู่ในวัง ถ้าราชันสวรรค์ใช้ให้คนในตระกูลของนางสนมคนไหนปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ ก็จะไม่มีใครกล้าแตะต้องสนามคนนั้นเมื่ออยู่ในวัง ไม่อย่างนั้นข้อหาก่อเรื่องในวังจนทำให้งานนอกวังของราชันสวรรค์เสียหายก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรับผิดชอบไหว
ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงมากมายในวังจึงอยากได้รับความโปรดปรานจากราชันสวรรค์ ให้ราชันสวรรค์รักนางและคนในครอบครัวของตัวเองด้วย ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยการลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในวัง แต่ผู้หญิงพวกนั้นที่ไม่มีใครหนุนหลัง ก็หวังจะสร้างสัมพันธ์อันดีกับขุนนางคนสำคัญที่อยู่นอกตำหนักสวรรค์ เวลาประสบความยุ่งยากอะไร ขุนนางพวกนั้นก็จะพูดจามีน้ำหนักกว่าตนเมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาท
ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้เลยว่า ตำแหน่งของราชินีสวรรค์ไม่ใช่ว่าใครจะมาเป็นก็ได้ ถ้าไม่มีกำลังหนุนหลังก็ไม่สามารถขึ้นนั่งในตำแหน่งนี้ได้เลย หน้าตาสวยหรืออัปลักษณ์นั้นไม่สำคัญ
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้รบกวรการชมระบำของประมุขชิง ช่วยรินสุราหยกใส่จอกให้ประมุขชิงเบาๆ
“ได้ยินว่าหลานชายเจ้าเข้าวังเหรอ” ประมุขชิงที่ไม่ละสายตาจากการระบำพลันเอ่ยถาม
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ปิดบังเขาไม่ได้ จึงตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ใช่เพคะ เซี่ยโห้วหลงเฉิงมาแล้ว หม่อมฉันมีเรื่องถามเขานิดหน่อย ถ้าไม่ถามให้รู้ชัด หม่อมฉันก็ไม่สงบใจ”
“เซี่ยโห้วหลงเฉิง…คนที่ไปทดสอบที่แดนอเวจีมาใช่มั้ย?” ประมุขชิงถาม
“ฝ่าบาทช่างความจำดี เป็นคนนั้นเพคะ”
“ได้ยินว่าทดสอบได้อันดับเก้า คะแนนไม่เลวเลยนี่”
“หม่อฉันเรียกเขามาถามก็เพราะเรื่องนี้ สงสัยว่าคนบุ่มบามประมาทอย่างเขาจะได้อันดับเก้ามาได้อย่างไร ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้ หลังจากถามจนรู้ชัดแล้วหม่อมฉันก็โมโหมาก ที่แท้คะแนนนั่นหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนแบ่งให้เขาได้อาศัยบารมี…” หลังจากเล่าสถานการณ์ให้ฟังโดยละเอียด เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยังกล่าวด้วยสีหน้าโกรธเคืองว่า “หม่อมฉันจัดการแล้ว เดี๋ยวจะถอดอันดับเก้าของเขาออก ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นคนจัดการทดสอบเองกับมือ ตัวเองจะไม่รักษาความยุติธรรมได้อย่างไร!”
“เจ้านี่นะ!” ในที่สุดประมุขชิงก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้ว เอียงหน้ามองไปที่นางแล้วบอกว่า “คนที่ได้อันดับซ้ำกันในครั้งนี้มีไม่น้อยเลย คิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเรื่องเป็นอย่างไร? ข้าแค่ไม่อยากทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไปจนโดนกระแสตีกลับมากเกินไป ถึงอย่างไรเกาก้วนก็ตัดหัวคนไปมากขนาดนั้นแล้ว ถ้าถึงได้ให้เกาก้วนหยุดตรวจสอบต่อ จะว่าไปเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็นับเป็นหลานของข้าครึ่งหนึ่งเหมือนกัน แค่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ตำแหน่งเดียว เจ้าให้เขาไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องนำเขามาพิสูจน์ให้คนอื่นดูหรอก ถ้ามีคนนำเรื่องนี้มาว่ากล่าว เจ้าก็แค่บอกว่าเป็นความคิดของข้า ข้าก็อยากจะเห็นว่าใครจะกล้าพูดอะไร”
ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เล็กๆ ตำแหน่งเดียวไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลยจริงๆ แต่เขาสนใจท่าทีของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่มีต่อเรื่องนี้ สนใจว่านางจะปิดบังตนหรือเปล่า
แต่เห็นได้ชัดว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รู้ใจประมุขชิงเหมือนกัน ที่จริงนางถามคนของเซี่ยโห้วจนรู้เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว แต่จงใจดักเซี่ยโห้วหลงเฉิงไว้กลางทางและเรียกมาที่นี่ก็เพื่อจะทำให้ประมุขชิงเห็น
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มเจื่อน “ในเมื่อฝ่าบาทช่วยพูดให้เขา ก็ถือเป็นวาสนาของเจ้าเด็กนั่น หม่อมฉันจะปฏิบัติตามคำสั่งเพคะ เพียงแต่การทดสอบครั้งถัดไป หม่อมฉันก็ยังกังวลว่ากลุ่มขุนนางจะมีปฏิกิริยามากเกินไป เลยอยากจะมาขอคำชี้แนะจากฝ่าบาท”
“เจ้าทำได้เต็มที่เลย มีข้าหนุนหลังเจ้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น เรื่องอันดับทดสอบซ้ำกันข้าก็จะเตรียมจะปิดตาข้างเดียว แต่ถ้าใครต้องการจะคัดค้าน ก็ต้องดูก่อนว่าก้นตัวเองสะอาดหรือเปล่า ควรจะตรวจสอบใครหรือไม่ตรวจสอบใคร ข้าก็มีอำนาจตัดสินใจ!” ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบ พลางยื่นมือหยิบจอกสุราหยกข้างกายมาดื่มอย่างเนิบนาบ
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจในทันที ที่แท้การไม่ให้เกาก้วนสืบต่อก็เพราะมีแผนสำรองนี่เอง เป็นการปูทางเพื่อจะจัดการทดสอบต่อในภายหลัง
นางเพิ่งจะเข้าใจกระจ่าง ประมุขชิงก็ถามอีกว่า “เจ้ารู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นอย่างไร?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถามเรื่องนี้อีก นางจึงไม่ได้ตอบแบบเด็ดขาดตรงไปตรงมา “สามารถได้ยินมาถึงหูสวรรค์ได้ ชื่อเสียงค่อนข้างโด่งดัง หม่อมฉันเพียงได้ยินมา แต่ความจริงเป็นอย่างไรไม่ค่อยรู้ชัด ฝ่าบาทคิดอย่างไรเพคะ?”
ประมุขชิงยิ้มบางๆ “ก็แค่ตาเฒ่าพวกนั้นเอ่ยถึงต่อหน้าข้านิดหน่อย แล้วตอนหลังเถิงเผยที่กลับมาประชุมในราชสำนักก็แสดงเจตนาชัดเจนมาก อยากจะดึงตัวเขาเข้ามา ต่างก็รู้สึกว่าปล่อยทหารกล้าแบบนี้ไว้ว่างๆ ที่ตลาดสวรรค์ก็จะเป็นการปิดกั้นคนมีความสามารถ เฮ้อ! ขนาดเกาก้วนยังเอ่ยปากกับข้าเอง อยากจะดึงตัวมาที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา ทำเอาข้าทำเอาข้าลำบากใจไม่รู้จะให้ใครถึงจะเหมาะสม ข้าเลยบอกไปแล้ว ว่าเขาเป็นคนของระบบตลาดสวรรค์ จะปล่อยคนหรือไม่ปล่อยคนก็ต้องถามความเห็นของเจ้า ให้พวกเขามาปรึกษาเจ้า คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะมีคนมาคุยกับเจ้าแล้ว เจ้าเตรียมใจไว้ก่อนเลยนะ”
“ทูตขวาเกาก็เอ่ยปากด้วยเหรอ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสีหน้าประหลาดใจมาก
ประมุขชิงพยักหน้า “ก็เหมือนตอนที่เพิ่งเริ่มการทดสอบในปีนั้น ทูตขวาเกาก็เคยเอ่ยปากไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนั้นข้าบอกไปว่า ตราบใดที่เจ้าไม่คัดค้านก็พอ ตอนนั้นอดทนไว้ก่อนเพราะยังไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นจะรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้เกาก้วนจะเอ่ยถึงอีกแล้ว เลยทำให้ข้าเริ่มสนใจหนิวโหย่วเต๋อขึ้นมาบ้างแล้ว”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แววตาวูบไหว มีคนเอ่ยปากต้องการคนมากขนาดนี้ ขนาดเกาก้วนยังเอ่ยปากตั้งสองครั้ง…นางจึงยิ้มพลางถามหยั่งเชิงทันที “พอได้ยินฝ่าบาทพูดแบบนี้ หม่อมฉันก็เริ่มสนใจแล้วเหมือนกัน แล้วอีกอย่าง ที่บอกว่าปล่อยไว้ว่างๆ ที่ตลาดสวรรค์เท่ากับเป็นการปิดกั้นคนมีความสามารถ พูดแบบนั้นได้อย่างไรกัน หม่อมฉันได้ยินแล้วหงุดหงิดเพคะ ครั้งนี้หม่อมฉันคงจะต้องหักหน้าทูตขวาเกาสักหน่อยแล้ว”
ประมุขชิงหลุดขำ “นักพรตบงกชทองเล็กๆ คนหนึ่ง ยังไม่มีค่าพอให้ข้าไปสนใจหรอก รอให้เขาเติบโตขึ้นแล้วค่อยดูอีกทีแล้วกัน ตอนนี้ยังใช้ทำงานสำคัญอะไรไม่ได้ เป็นคนที่อยู่ในมือเจ้า เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรเถอะ”
เป็นอย่างที่ประมุขชิงบอกจริงๆ ไม่กี่วันต่อมา ก็มีฮูหยินของบรรดาผู้มีอำนาจทยอยกันเข้าวังมาเข้าเฝ้าราชินีสวรรค์ สิ่งที่คุยกันก็คือต้องการขอคน ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เห็นคุณค่า จึงปฏิเสธไปทุกคน เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย คนที่มีคนต้องการเยอะเกินไป ถ้าจะให้คนนี้ก็กลัวจะขัดใจกับอีกคน จึงไม่ขัดใจใครเสียเลย นางไม่ให้ใครทั้งนั้น!
…………………………