พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1258 รายงานผลการปฏิบัติงานที่จวนแม่ทัพภาค
ในตำหนักแห่งหนึ่ง ฝานอวี้เฟย หลัวชิ่งจื่อ หมานซาน หลู่ต๋าไค เจี่ยงจ้งเซินที่กลับจากการทดสอบมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้าเซี่ยโห้วหู่เฉิง เพื่อเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดสอบที่ผ่านมา
คำพูดบางอย่างถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยต่อหน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยโห้วหู่เฉิงก็ต้องพูดถึงสักหน่อย อย่างน้อยก็ต้องให้เซี่ยโห้วหู่เฉิงรู้ ถือว่าไว้หน้าผู้บัญชาการใหญ่แล้วจริงๆ
เขาย่อมรู้สันดานของพี่ชายตัวเองดี สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน เซี่ยโห้วหู่เฉิงยิ้มเจื่อนในใจ แล้วกุมหมัดคารวะทั้งห้าคน “รอบนี้ลำบากทุกคนแล้ว โชคดีเหมือนกันที่ไม่ทำให้ทุกคนเสียอนาคต แต่พี่ชายของข้าไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาก็ต้องรอของเหลือจากคนอื่น หรือไม่ก็ไม่มีส่วนแบ่งของเขาเลย เขาจึงมีนิสัยโลภและชอบเอาเปรียบไปบ้าง หวังว่าทุกคนจะไม่เก็บเรื่องในใจครั้งนี้มาใส่ใจ ข้าอภัยแทนพี่ชายคนโตของข้าด้วย ต่อไปถ้ามีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้ ทุกคนก็เอ่ยปากได้เลย”
พวกเขาพูดถึงเรื่องนี้พอเป็นพิธีเฉยๆ พอได้ยินแบบนี้ก็กุมหมัดกล่าวพร้อมกันว่า “เป็นสิ่งที่พวกเราสมควรทำอยู่แล้ว”
จวนแม่ทัพภาคตงหัว เหมียวอี้กลับมาที่นี่เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เดิมทีอยากจะกลับดาวเทียนหยวนก่อนแล้วค่อยกลับมารายงานผลการปฏิบัติงานที่นี่ แต่ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะได้รับข้อความจากปี้เยว่ฮูหยิน ว่าหลังจากเขากลับมาแล้วก็ให้ไปที่จวนแม่ทัพภาคก่อน
พอได้ทราบว่าผู้บัญชาการใหญ่ของตัวเองทั้งหมดกลับมาอย่างปลอดภัย ปี้เยว่ฮูหยินก็ไม่เมินเฉย คนที่ส่งมารับก็ไม่ใช่แค่ทหารยศเล็กๆ ที่คอยเฝ้ายาม พอเหมียวอี้เหาะลงมาเหยียบหน้าประตูจวนแม่ทัพภาคก็พบกันแล้ว ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกน้องเก่าของเหมียวอี้นั่นเอง กงอวี่เฟยที่เคยเป็นผู้ช่วยเก่าของเขานั่นเอง
“ฮูหยินรออยู่ข้างใน เชิญ!” บนใบหน้าของกงอวี่เฟยบอกไม่ถูกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน อีกฝ่ายยื่นมือเชิญเขา
เหมียวอี้กลับยืนนิ่งอยู่ตรงประตู จ้องนางอย่างเย็นเยียบ ตอนแรกที่มารวมตัวกันที่นี่ก่อนการทดสอบ กงอวี่เฟยก็ควบตำแหน่งผู้ดูแลในคฤหาสน์ของที่นี่ชั่วคราว เรื่องที่นางร่วมมือกับพวกจางฮั่นฟางกลั่นแกล้งให้เขาอับอาย เขาไม่มีทางลืมได้
เมื่อเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไร กงอวี่เฟยก็วางมือลง แล้วถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ทำไม? หรืออยากจะให้ฮูหยินออกมาเชิญด้วยตัวเอง?”
ใช่แล้ว ตอนแรกนางจงใจร่วมมือกับผู้บัญชาการใหญ่อีกเก้าคนสร้างความอับอายให้เหมียวอี้ แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเหมียวอี้ ปี้เยว่ฮูหยินคือผู้บังคับบัญชาของเหมียวอี้ ส่วนนางก็เป็นคนข้างกายปี้เยว่ฮูหยิน เหมียวอี้จะทำอะไรนางได้ล่ะ?
“มิบังอาจ!” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ แล้วถามอีกว่า “พวกจางฮั่นฟางมาหรือยัง?”
คิดว่าข้าเป็นลูกน้องเจ้ารึไง? กงอวี่เฟยยกมุมปากแสยะยิ้ม นางไม่สนใจ หันตัวเดินจากไปแล้ว ทำท่าทางเหมือนกำลังบอกว่า ‘จะมาหรือไม่มาก็ตามใจเจ้า’
เหมียวอี้หรี่ตาจ้องเงาหลังผู้หญิงคนนี้ มีคนไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วแบบนี้อยู่ข้างกายปี้เยว่ฮูหยิน ถ้านางเอาแต่พูดถึงเขาในทางที่ไม่ดีต่อหน้าผู้บังคับบัญชาของเขา แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรสำหรับเขาเหมือนกัน แต่เขาก็ทำอะไรกงอวี่เฟยไม่ได้จริงๆ ทำได้เพียงเดินตามหลังเข้าไป
เหยียนซู่ จางฮั่นฟาง หลิ่วกุ้ยผิง เหยาสิ้ง ติงเจ๋อเฉวียน ซางหรูเยว่ เกาโย่ว เหลียนฟางอวี้ รุ่ยฝาน ที่จริงผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ทั้งเก้าก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน มาถึงก่อนเหมียวอี้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
เมื่อเดินตามหลังกงอวี่เฟยเข้ามาในตำหนักหัวหน้าภาค ภาคแรกที่เห็นก็คือเก้าคนนี้ยืนอยู่ในตำหนัก พอทั้งเก้าได้ยินเสียงก็หันมามองเขาพร้อมกัน ตอนอยู่ที่แดนอเวจีกลัวเหมียวอี้ แต่พอมาถึงที่นี่แล้วไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย พวกเขาหันหน้าไปคนละทิศคนละทาง ทำเหมือนมองไม่เห็น
“ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อ กลับมาจากการทดสอบที่แดนอเวจี รายงานผลการปฏิบัติงานต่อนายท่านแม่ทัพภาค!” พอเดินมาในโถง เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะ
ปี้เยว่ฮูหยินที่นั่งสง่าอยู่เบื้องสูงมองเขาด้วยแววตาที่สื่ออารมณ์ซับซ้อน เรื่องในอดีตชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น มาพูดอะไรตอนนี้ก็เกินความจำเป็นไปหน่อย ไม่ต้องพูดอะไรก็แสดงความรู้สึกทุกอย่างออกมาหมดแล้ว
นางอยากจะรู้อะไรบางอย่างจากปฏิกิริยาบนใบหน้าเหมียวอี้ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะสงบนิ่งมาก สงบนิ่งยิ่งกว่าเหมียวอี้ที่นางเคยเจอเมื่อก่อน สุขุมเยือกเย็น
“กลับมาก็ดีแล้ว” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แล้วยื่นมือเชิญให้เหมียวอี้ไปยืนประจำที่
เหมียวอี้รู้ตัวดีว่าต้องทำอะไร ไปยืนอยู่ข้างหลังสุดทางด้านขวา ยืนอยู่ข้างหลังของเกาโย่ว ทำเอาเกาโย่วอึดอัดไปทั้งตัว รู้สึกกังวลว่าจะโดนลอบโจมตี
ปี้เยว่ฮูหยินกวาดสายตามองพวกเขา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มากันครบหมดแล้ว ร้อยปีมานี้ลำบากทุกคนแล้ว”
“เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่” ทั้งสิบคนตอบเป็นเสียงเดียวกันตามมารยาท
“ที่เรียกพวกเจ้ามาครั้งนี้ ก็ไม่ใช่เพราะอะไร แค่อยากจะบอกพวกเจ้าไว้สักหน่อย ว่าการทดสอบที่แดนอเวจีจะจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่สอง” ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจ
พวกจางฮั่นฟางตกตะลึง ส่วนเหมียวอี้ก็เงหยน้ามองปี้เยว่ฮูหยินแวบหนึ่ง ไม่ได้มีปฏิริยาอะไรมาก ตอนเขาได้เห็นสถานการณ์ที่ใจกลางแดนอเวจี เขาก็เดาได้แล้วว่าตำหนักสวรรค์อาจจะจัดการทดสอบอีก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้
เร็วมากจริงๆ เร็วจนแม้กระทั่งปี้เยว่ฮูหยินเองก็ยังงง ทำเอานางทำอะไรไม่ถูก นางเองก็เพิ่งได้ข่าวมาไม่นานเช่นกัน
เหยียนซู่กุมหมัดถามอย่างตกใจ “นายท่าน ไม่ทราบว่าการทดสอบครั้งนี้จะดำเนินการอย่างไร? คงไม่ถึงขั้นจับพวกเราไปโยนในการทดสอบอีกครั้งหรอกใช่มั้ย?”
ปี้เยว่ฮูหยินถอนหาใจแล้วส่ายหน้าตอบ “การทดสอบครั้งนี้เลื่อนเป็นระดับบงกชรุ้ง ทดสอบเพื่อแย่งชิงตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ แถมระดับความยากก็เพิ่มขึ้นด้วย จุดที่พวกเจ้าสำรวจก่อนหน้านี้ถูกวาดออกมาหมดแล้ว สถานที่พวกนั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขตการทดสอบ ผู้ทดสอบทำได้เพียงสำรวจต่อเข้าไปให้ลึกหรือไม่ก็ไปสำรวจที่อื่น แล้วเวลาการทดสอบก็เพิ่มเป็นหนึ่งเท่า เพิ่มเป็นสองร้อยปี!”
เมื่อเห็นนางอารมณ์ไม่ค่อยดี ทุกคนก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ซ่างหรูเยว่ถามหยั่งเชิงว่า “นายท่านเข้าร่วมด้วยมั้ยคะ?”
ปี้เยว่ฮูหยินยิ้มอย่างขื่นขม “กฎเหมือนกับครั้งก่อน ทั้งยังโหดร้ายกว่า แม่ทัพภาคอย่างข้าก็หนีไม่พ้นเหมือนกัน”
หลังจากได้รู้เรื่องการทดสอบครั้งนี้ ต่อให้นอนฝันนางก็นึกไม่ถึงจริงๆ อีกทั้งเบื้องบนก็บอกไว้แล้วด้วย ขนาดผู้บัญชาการใหญ่ระดับล่างยังทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วแม่ทัพภาคจะหดหัวได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าร่วมก็จะโดนลดขั้นเป็นเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง ทั้งยังจะไม่ถูกเลื่อนขั้นภายในหนึ่งหมื่นปีด้วย
นางย่อมต้องร้อนใจอยู่แล้ว นางถามท่านโหวเทียนหยวน คนที่นั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคมีภูมิหลังไม่เล็กทั้งนั้น คนมากมายขนาดนั้นทำไมถึงโน้มน้าวห้ามราชันสวรรค์ไม่ได้?
ท่านโหวเทียนหยวนบอกว่า ทางฝั่งเทพประจำดาวมะโรงดินถูกสืบเจอว่าช่วยลูกหลานปลอมแปลงผลงานทดสอบ ทำให้กำลังพลของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาและกำลังพลที่รักษาการณ์แดนอเวจีถูกโจรกบฏล้อมโจมตี มีคนตายไปแล้วพันกว่าคน ขนาดขนาดแม่ทัพใหญ่สองแถบยังรบตายไปแล้วสองคน ราชันสวรรค์เดือดดาลมาก! จึงจัดการเทพประจำดาวมะโรงดินเสียตรงนั้นในราชสำนักเลย แล้วสั่งประหารทั้งตระกูล ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของหลวง ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ว่าในการทดสอบครั้งนี้มีคนโกงไม่น้อยเลย สร้างความเสียหายแก่กองทัพเชียวนะ! ถ้าโดนข้อหานี้ก็ไม่มีใครเถียงอะไรออกแล้ว ถ้าเอาจริงขึ้นมาตามกฎระเบียบกองทัพ แต่ละคนล้วนต้องโดนตัดหัวไปแล้ว ในมือราชันสวรรค์มีหลักฐานแน่นหนาที่เกาก้วนเตรียมไว้ ที่ไม่สืบสาวเอาเรื่องต่อก็นับว่าเมตตาแล้ว แล้วใครยังจะกล้ายั่วโมโหฝ่าบาทในเวลานี้อีก ถ้าทำแบบนั้นก็แปลว่าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
ประเด็นสำคัญคือปี้เยว่เป็นฮูหยินของท่านโหวเทียนหยวน จะให้ฮูหยินของท่านโหวเทียนหยวนหลบเลี่ยงการทดสอบของตำหนักสวรรค์เหรอ มันใช่เรื่องเหรอ? ในภายหลังจะต้องกลายเป็นจุดอ่อนให้คนอื่นโจมตีท่านโหวเทียนหยวนในการประชุมราชสำนักแน่ เมื่ออยู่ในตำแหน่งสูง เรื่องบางเรื่องก็ยุ่งยากเหมือนกัน
แต่ท่านโหวเทียนหยวนแสร้งทำเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของฮูหยิน ให้ปี้เยว่ฮูหยินไปเป็นเทพแห่งผืนดินหรือไม่ก็ผีหลักเมืองก็ได้ เขาจะเลี้ยงนางเอง แต่ปี้เยว่ฮูหยินจะยอมตอบตกลงได้อย่างไร ถ้าทำผิดนางก็คงยอมเพราะไม่มีทางเลือก แต่นี่นางอยู่ดีๆ โดยไม่ได้ทำอะไรผิด จะให้ไปเป็นเทพแห่งผืนดินกับผีหลักเมืองทั้งชีวิตเหรอ ล้อเล่นอะไรกัน เป็นแม่ทัพภาคมาจนชินแล้ว จู่ๆ จะให้ไปเป็นพวกผีหลักเมืองกับเทพแห่งผืนดิน ใครจะไปทนรับไหว ถึงตอนนั้นจะต้องโดนหัวเราะเยาะตายแน่นอน
ทำตามใจตัวเองไม่ได้ ไม่มีทางเลือก ปี้เยว่ฮูหยินทำได้เพียงเตรียมตัวไปอยู่ที่แดนอเวจีสองร้อยปี เรียนรู้จากการทดสอบครั้งก่อน ซ่อนตัวสองร้อยปีโดยไม่ออกมา ถึงตอนนั้นอย่างมากก็แค่ไม่ต้องเป็นแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์อีกต่อไป เดี๋ยวให้เทียนหยวนส่งนางไปเป็นแม่ทัพภาคบนอาณาเขตของอำนาจท้องถิ่นต่อก็ได้ ดีกว่าเป็นเทพแห่งผืนดินกับผีหลักเมืองไปทั้งชีวิต ใช้ชีวิตมีหน้ามีตามาหลายปีขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้สิ
พอได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา พอจะเดาออกถึงความคิดของปี้เยว่ฮูหยินแล้ว
“เบื้องบนให้เวลาส่งต่องานเพียงสามเดือนเท่านั้น หลังจากนี้สามเดือนจะต้องไปรวมตัวกันที่จวนหัวหน้าภาค พวกเจ้าล้วนเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์จากแดนอเวจีมาแล้วครั้งหนึ่ง จะว่าไปก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ ที่เรียกพวกเจ้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะขอคำชี้แนะจากประสบการณ์ของพวกเจ้าสักหน่อย” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา มองคนนี้ทีมองคนนั้นที แล้วถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ทราบว่าทุกคนพอจะมีอะไรแนะนำข้าสักหน่อยมั้ย?”
ชี้แนะ? ชี้แนะอะไร? พวกจางฮั่นฟางสบตากันเงียบๆ แวบหนึ่ง ตอนอยู่ในนรกพวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่หนึ่งร้อยปี แทบจะไม่เคยได้ไปไหนเลย จะมีประสบการณ์อะไรมาชี้แนะนายท่านแม่ทัพภาค คะแนนเล็กน้อยของพวกเขาล้วนอาศัยเส้นสายเพื่อหามา มิหนำซ้ำเส้นสายของพวกเขาก็ไม่ได้ใหญ่โตเท่าไรด้วย ทั้งเก้าคนนำคะแนนมารวมกันถึงได้รักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ไว้ได้
พอพูดถึงคะแนน พวกเขาก็ยังต้องขอบคุณเหมียวอี้ ในตอนนั้นเหมียวอี้ทำให้พวกเขาตกใจกลัวจนหนีจากทัพใหญ่ออกไปซ่อนตัว ไม่อย่างนั้นอาจจะอธิบายอะไรได้ไม่ชัดเจนแล้ว เกรงว่าอาจจะรักษาตำแหน่งในปัจจุบันไม่ได้ด้วยซ้ำ
พอดูจากปฏิกิริยาของพวกลูกน้อง ปี้เยว่ฮูหยินก็รู้ว่าเรื่องที่ตัวเองกังวลได้เกิดขึ้นแล้ว นางพอจะเดาออกตั้งแต่ได้รู้ว่าทั้งเก้าคนอยู่ในอันดับเดียวกันแล้ว
สายตาของปี้เยว่ฮูหยินไปหยุดอยู่บนหน้าเหมียวอี้ เห็นเพียงเหมียวอี้ยืนเงียบสงบอยู่ตรงนั้น ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้น และไม่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาเหมือนคนอื่นๆ
เรื่องราวค่อนข้างชัดเจน ด้วยสถานการณ์ของเหมียวอี้ในตอนนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนไปเป็นพันธมิตรกับเขา ปี้เยว่ฮูหยินเห็นกับตาตัวเองว่าหลังจากทำศึกเลือดแล้วเหมียวอี้ก็หายไปในจุดลึกของดาราจักรเพียงลำพัง ในบรรดาลูกน้องทั้งสิบคน คาดว่าคงจะมีเพียงคนนี้ที่คะแนนเป็นของจริง ทั้งยังได้คะแนนเป็นอันดับเก้าด้วย เกรงว่าคงจะเดินทางไปหลายที่ในแดนอเวจี คงจะมีเพียงเขาที่มีประสบการณ์การทดสอบที่แดนอเวจี
ส่วนเหมียวอี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ได้อันดับเดียวกัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นลูกน้องนางมานานหลายปีขนาดนี้ มีหรือที่นางจะไม่รู้ถึงสันดานของเซี่ยโห้วหลงเฉิง การที่คนไม่เอาถ่านอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงได้อันดับเก้าต่างหากที่เป็นเรื่องแปลก มีเพียงคนที่ไร้ทางถอยอย่างเหมียวอี้ถึงจะไปสู้ตายในนรกได้
พวกจางฮั่นฟางเหลือบมองเหมียวอี้ พวกเขามีความคิดเหมือนกับปี้เยว่ฮูหยิน
“ไม่มีอะไรจะชี้แนะข้าเลยเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินถามอีก
หลิ่วกุ้ยผิงตอบอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติว่า “พวกเราก็รอดมาได้เพราะดวงดีเหมือนกัน ไม่กล้าแนะนำอะไรซี้ซั้วจริงๆ ขอรับ” ขอเองก็ไม่กล้าประกาศว่าผลงานของตัวเองก็ได้มาจากการปลอมแปลงตบตา
ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทุกคนก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ถึงอย่างไรก็จากออกมาหลายปี เรื่องข้างล่างที่ควรจะจัดการก็จัดการให้เรียบร้อย”
“ข้าน้อยขอตัว!” หลังจากทั้งสิบรวมตัวกันคำนับ ก็หันตัวเดินออกไปพร้อมกัน
เพิ่งจะเดิมไปถึงประตู จู่ๆ ข้างหลังก็ได้ยินเสียงของปี้เยว่ฮูหยินดังมา “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอยู่ต่อสักหน่อย”
…………………………