พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1265 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นสามวันหลังจากนั้น เหมียวอี้แสดงความจริงใจเต็มที่ ให้ผู้บัญชาการฝูชิงเขตเมืองตะวันออกยืนรับแขกตรงประตูตำหนักคุ้มเมืองด้วยตัวเอง
ในสวนดอกไม้ของตำหนัก สวีถังหรานชี้นิ้วสั่งให้จัดวางสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง วุ่นอยู่กับการจัดงานเลี้ยง
ส่วนการแสดงดนตรีก็เชิญคณะที่ดีที่สุดของตลาดสวรรค์ ดาวเด่นหอกลิ่นสวรรค์อย่างเสวี่ยหลิงหลงก็ย่อมขาดไม่ได้ ผู้บัญชาการสวีมักจะมุดเขาไปในห้องเดี่ยวที่อยู่ด้านข้าง เป็นฝ่ายเข้าไปใกล้ตรงหน้าเสวี่ยหลิงหลงที่กำลังแต่งหน้า พอเห็นสวีถังหรานยิ้มตาหยีกลอกตามองบนร่างกายเสวี่ยหลิงหลงเหมือนมีเจตนาไม่ดี ก็ทำให้ท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงหวาดระแวงกลัวมาก
ในตำหนัก เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ระหว่างชั้นตึกของศาลา มองดูเฮยทั่นเล่นอยู่ในสระน้ำด้วยสีหน้าเรียบเฉย อิงอู๋ตี๋กับมู่หรงซิงหัวยืนอยู่ข้างหลังเขาทางซ้ายและขวา เป่าเหลียนเข้าๆ ออกๆ ระหว่างข้างนอกข้างในเพื่อรายงานสถานการณ์ไม่หยุด
บางครั้งมู่หรงซิงหัวก็เอียงหน้ามองไปรอบๆ เห็นเพียงคนแปลกหน้าสองสามคนเดินเตร่อยู่ระหว่างตึกศาลา อยู่มาหลายปีขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่คุ้นหน้าคนของตำหนักคุ้มเมือง ถึงแม้จะมีบางคนสวมเกราะทองของตำหนักสวรรค์ แต่นางก็แน่ใจว่าไม่ใช่คนของตำหนักคุ้มเมืองแน่นอน ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นกำลังพลของตลาดสวรรค์ หรือว่ามาจากที่ไหน
และสิ่งที่ควรจะให้ความสนใจก็คือ คนพวกนั้นแทบจะวนเวียนไปมาอยู่รอบกายผู้บัญชาการใหญ่ตลอด ไม่ออกห่างจากบริเวณนี้ สายตาก็มองสังเกตทางนี้อย่างแนบเนียน เหมือนคอยระวังคนที่อยู่รอบตัวผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ผิดหรอก! สายตาที่มองนางก็คงไว้ซึ่งความระแวดระวังเช่นกัน ราวกับว่าขอเพียงนางกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามนิดหน่อย อีกฝ่ายก็จะกระโจนเข้ามาทันที
สถานการณ์ค่อนข้างแปลก รวมทั้งการจัดงานเลี้ยงของผู้บัญชาการใหญ่ครั้งนี้ก็ทำให้คนไม่เข้าใจเหมือนกัน มู่หรงซิงหัวคิดไม่ตกว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่
พอหันกลับมามองเหมียวอี้ ใบหน้าด้านข้างก็ยังดูแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวเหมือนเดิม แต่กลับเรียบเฉยไร้อารมณ์ ทำให้คนมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ มู่หรงซิงหัวพบว่าหลังจากผู้บัญชาการใหญ่กลับมาจากการทดสอบครั้งนี้ ก็เหมือนจะแตกต่างจากเมื่อก่อนนิดหน่อย เงียบขรึมลงเยอะมาก
หรือว่าในการทดสอบครั้งนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรที่ส่งผลกระทบต่อเขา? มู่หรงซิงหัวนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวที่ตัวเองประสบในการทดสอบครั้งนั้นทันที ไม่อยากจะนึกย้อนไปเลยจริงๆ ความคิดถลำลึกลงในชั่วพริบตาเดียว…
อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่อิงอู๋ตี๋ก็สังเกตเห็นคนแปลกหน้าพวกนั้นเช่นกัน เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้จัดงานครั้งนี้เพราะต้องการจะทำอะไรกันแน่
ที่จริงสาเหตุของการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ เหมียวอี้ไม่ได้บอกใครทั้งนั้น แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก เขาเตือนหยางชิ่งว่าไม่ให้บอกใคร รวมทั้งอวิ๋นจือชิวด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าอวิ๋นจือชิวรู้ก็จะต้องห้ามแน่นอน
เขาเองก็รู้ว่าพวกอวิ๋นจือชิวหวังดีกับเขา แต่เขาก็มีเหตุผลของเขาเหมือนกัน เขามีจุดยืนของเขา เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่อยากอธิบายอะไรมากมาย อยากจะเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองสักหน่อย
“นายท่าน ผู้บัญชาการฝูบอกว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว” เป่าเหลียนเข้ามารายงานในตึกศาลา
เหมียวอี้เงยหน้ามองสีของท้องฟ้า ฟ้าโพล้เพล้ใกล้ค่ำ จึงถามว่า “มีคนมาร่วมงานเลี้ยงเท่าไรแล้ว?”
“ไม่เยอะค่ะ…” เป่าเหลียนอึกอักนิดหน่อย เหมือนไม่สะดวกจะพูดอะไรมากเพราะกังวลสีหน้าเหมียวอี้
“ไป! “เหมียวอี้หันตัวเดินออกไป ไม่ได้พูดอะไรมาก
พวกเขาเดินตามไป อิงอู๋ตี๋กับมู่หรงซิงหัวมองซ้ายมองขวา แล้วก็สบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไร เพราะคนแปลกหน้าที่อยู่รอบข้างรีบเข้ามาใกล้ทันทีที่เห็นเหมียวอี้เดินออกไป
พอเดินออกมาจากตำหนักหลัง ก็เห็นฝูชิงเข้ามาต้อนรับ เหมียวอี้ถามว่า “มีคนมาเท่าไรแล้ว?”
ฝูชิงตอบว่า “ประมาณยี่สิบคนขอรับ แต่สถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ผู้ที่มาล้วนนำผู้ติดตามแปลกหน้ามาด้วย ถึงแม้จะโดนกันไว้ข้างนอกตำหนัก แต่กลับไม่ยอมไปไหน รออยู่ข้างนอกตลอด ส่วนคนที่ไม่มาก็ส่งคนมาบอก ว่าได้รับข่าวจากเจ้าของร้าน มีธุระต้องไปจัดการ ไม่สามารถมาร่วมงานเลี้ยงได้ ผู้บัญชาการสวีเลยให้มาถาม ว่าจะจัดงานเลี้ยงนี้ติ่ไปหรือไม่?”
“ทำไมจะไม่จัดต่อล่ะ? อีกฝ่ายไม่มาเพราะติดธุระก็เป็นเรื่องปกติมาก” เหมียวอี้แสยะยิ้มแล้วหยุดฝีเท้า
โคมไฟหลากสีเพิ่งประดับตกแต่ง เป็นศุภวาระดิถี อีกทั้งทัศนียภาพก็สวยงาม
เหมียวอี้เดินตรงเข้ามาในสวนดอกไม้ของตำหนักหน้า สวีถังหรานที่กำลังหัวเราะพูดคุยกับแขกก็หันกลับมามอง พอเห็นเหมียวอี้มาแล้ว แล้วรีบวิ่งเข้ามาทำความเคารพ
ผู้จัดการร้านยี่สิบกว่าร้านเดินเข้ามาทำความเคารพ โดยมีอูหันซาน รองหัวหน้าสมาคมร้านค้าที่รับผิดชอบเขตเมืองตะวันออกเป็นแกนนำ “คำนับผู้บัญชาการใหญ่”
“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ผายมือด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วหันกลับมาถามสวีถังหราน “เตรียมสุราอาหารพร้อมหรือยัง?”
“ตอบผู้บัญชาการใหญ่ เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ รอเพียงท่านกล่าวเปิดงาน” สวีถังหรานตอบอย่างเคารพนอบน้อม
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมกางแขนสองข้างต่อหน้าทุกคน “งั้นก็เริ่มนั่งประจำที่เถอะ”
“ผู้บัญชาการใหญ่เชิญก่อน!” อูหันซานและคนอื่นๆ หลีกทางออกเป็นสองฝั่งทันที แล้วยื่นมือเชิญพร้อมกัน เคารพนอบน้อมมาก คนที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกที่ไหนจะดูออกว่าคนกลุ่มนี้สร้างความอับอายให้เหมียวอี้หนักมาก
เหมียวอี้ยิ้มพลางนำลูกน้องเดินผ่านกลางระหว่างกลุ่มคนเข้าไป สวีถังหรานกำลังนำทางอยู่ข้างหน้า นำเหมียวอี้เข้ามานั่งในศาลา
บัตรเชิญร้อยกว่าฉบับถูกส่งออกไป แต่มีคนมาร่วมงานเพียงยี่สิบกว่าคน สวีถังหรานทำงานอย่างเอาใจใส่มาก รีบสั่งให้คนมาย้ายโต๊ะเก้าอี้เกินออกไป จะได้ไม่เหลือที่นั่งว่างเยอะจนทำให้ผู้บัญชาการใหญ่เก้อเขิน
ที่นั่งของผู้จัดการร้านกลุ่มนี้เปิดโล่งอยู่ในส่วนดอกไม้ สภาพแวดล้อมงดงามมาก หลังจากทุกคนนั่งประจำที่แล้ว เหมียวอี้ที่ยื่นอยู่หลังโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยสุราอาหารชั้นเลิศก็ยื่นมือเชิญทุกคน “เชิญ!”
ไม่ว่าเบื้องหลังจะวางแผนอะไรไว้ แต่เบื้องหน้าทุกคนก็ยังรักษาธรรมเนียม ถึงอย่างไรฐานะของเหมียวอี้ก็ไม่อันตรายเหมือนในปีนั้น อำนาจของตลาดสวรรค์ในตอนนี้อยู่ในมือเหมียวอี้ ต่อให้ทุกคนจะไม่ไว้หน้าเหมียวอี้ แต่ก็ต้องไว้หน้าอำนาจที่อยู่ในมือเหมียวอี้
รอจนกระทั่งเหมียวอี้นั่งลงแล้ว ทุกคนถึงได้ทยอยกันนั่งลงตาม ต่างคนต่างมีนางระบำจากหอกลิ่นสวรรค์มารินสุราให้ ส่วนเหมียวอี้ก็มีเป่าเหลียนอยู่ข้างๆ ส่วนข้างหลังมีทหารเกราะทองสี่คนยืนเรียงแถวหน้ากระดาน
กลุ่มผู้จัดการร้านของเขตเมืองตะวันออกแอบส่งสายตาให้กัน อูหันซานเข้าใจความหมายของพวกเขา จึงใช้สองมือยกจอกสุราขึ้นมา แล้วหันหน้าไปหาเหมียวอี้ที่อยู่ในศาลา “น้ำใจอันดีงามนี้ของผู้บัญชาการใหญ่ พวกเราไม่รู้จะตอบแทนด้วยอะไร! ถ้าเมื่อก่อนมีจุดไหนที่ทำผิดไป ก็หวังว่าผู้ใหญ่อย่างผู้บัญชาการใหญ่จะใจกว้าง อย่าถือสาพ่อค้าเล็กๆ อย่างพวกเรา ในภายหลังหากผู้บัญชาการใหญ่มีอะไรจะกำชับ พวกเราก็จะไม่ปฏิเสธแน่นอน! ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่รังเกียจ โปรดรับจอกนี้จากพวกเรา!”
พวกฝูชิงที่เข้าร่วมงานเลี้ยงอยู่เบื้องล่างเหล่ตามองแวบหนึ่ง คำพูดดีๆ ใครก็พูดได้ ถ้ามีอะไรกำชับจริงๆ ถึงตอนนั้นพวกเจ้ายินดีเสี่ยงชีวิตทำตามก็แปลกแล้ว!
ผู้จัดการร้านยี่สิบกว่าคนยืนขึ้นยกจอกสุราพร้อมกัน แล้วกล่าวว่า “ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่รังเกียจ โปรดรับจอกนี้จากพวกเรา!”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ หยิบจอกสุราขึ้นมา นั่งชูจอกสุราอยู่อย่างนั้น พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป ทุกคนมาดื่มให้หมดจอกนี้กันเถอะ!” พูดจบก็ดื่มหมดจอกก่อน แล้วเผยจอกดื่มจนหมดถึงก้นให้ทุกคนดู
“ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่!” หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ทุกคนก็ดื่มหมดจอกเช่นกัน เสร็จแล้วเผยจอกสุราให้ดูเพื่อแสดงความจริงใจ
เป่าเหลียนรินสุรา เหมียวอี้ยื่นมือบอกใบ้ให้ทุกคนนั่งลง จากนั้นมองไปรอบๆ พร้อมถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าส่งบัตรเชิญไปร้อยกว่าฉบับ มีแค่คนที่อยู่ตรงนี้ที่ให้เกียรติมา…เฮ้อ! ข้ารู้ว่าในใจทุกคนคิดยังไง คงจะหวาดระแวงที่ข้าจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ หารู้ไม่ว่าข้าเองก็กังวลว่าทุกคนจะหวาดระแวง ถึงได้เปลี่ยนจากจัดงานเลี้ยงรวมเป็นส่งบัตรเชิญให้เขตเมืองตะวันออกอย่างเดียว เตรียมจะวนจัดงานทีละเขตเมืองให้ครบสี่เขต แบ่งจัดงานทีละรอบ จะได้ทำลายความหวาดระแวงของทุกคน เพื่อที่จะแสดงความจริงใจ จะได้ไม่ทำให้คนเข้าใจผิดว่าข้ามีเจตนาอะไรแอบแฝง! เปิดเผยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจ!”
พอกล่าวคำนี้ออกมา พวกผู้จัดการร้านก็มองหน้ากันเลิกลั่ก เรียกได้ว่าเข้าใจในฉับพลัน ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
ก่อนหน้านี้คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ถ้าจะเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหมแล้วทำไมเชิญแค่เขตเมืองตะวันออก ถ้ามีแผนร้ายแล้วพุ่งเป้ามาลงมือกับเขตเมืองตะวันออกอย่างเดียวก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว มีแต่คนโง่ที่จะทำอย่างนั้นได้ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่ได้โง่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง? ทุกคนคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกจริงๆ ในใจมีความระแวง จึงมีทั้งคนที่มาและคนที่ไม่กล้ามา
ในตอนนี้ ปัญหาที่ทุกคนคิดไม่ตกมาหลายวันก็ได้คำตอบเสียที คำตอบนี้ได้อธิบายเหตุผลออกมาอย่างแท้จริง นอกจากเหตุผลนี้แล้ว ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีเหตุผลอื่นใดที่สามารถอธิบายการจัดงานเลี้ยงประหลาดนี้ได้
ที่แท้สี่เขตเมืองก็ผลัดกันจัดงานเลี้ยง เพื่อที่จะคลายความหวาดระแวงของทุกคน!
แม้แต่พวกฝูชิงเองก็ยังงง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าล่ะ!
กลุ่มผู้จัดการร้านเรียกได้ว่าเข้าใจกระจ่างในทันที พวกเขาโล่งใจแล้ว มีบางคนรู้สึกขำในใจ สงสัยหนิวโหย่วเต๋อเผชิญหน้ากับอำนาจที่อยู่เบื้องหลังทุกคนแล้วต้องยอมอ่อนให้ ไม่น่าเชื่อว่าจะลำบากใส่ใจถึงขั้นนี้ ลดเกียรติลดฐานะเพื่อวนจัดงานเลี้ยงเชิญทุกคน
แต่พวกฝูชิงกลับแอบทอดถอนใจ ไม่ยอมก้มหน้าคงไม่ได้แล้ว พลังแขนงัดข้อกับพลังขาไม่ได้จริงๆ! ถ้าเดาไม่ผิด สี่คนที่ยืนอยู่ข้างหลังคงจะเป็นคนที่นายท่านหามาคุ้มกันตัวเอง สงสัยการไปทดสอบครั้งนี้ คงจะทำให้นายท่านรับรู้ถึงอิทธิพลของผู้มีอำนาจแล้วจริงๆ ในที่สุดก็ยอมจำนนแล้ว
บางจุดที่เมื่อก่อนคิดไม่ตก ตอนนี้สามารถอธิบายให้เข้าใจได้แล้ว พวกฝูชิงก็นับว่าโล่งอกแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้พวกเขายังกังวลว่าเหมียวอี้จะใช้ความรุนแรง ตอนนี้นับว่าวางใจแล้ว ไม่อย่างนั้นแค่คิดถึงผลที่จะตามมาพวกเขาก็กลัวแล้ว
กลับเป็นมู่หรงซิงหัวที่มองดูเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาด้วยแววตาสับสน ตอนเข้าร่วมการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิต นางเห็นเองกับตาว่าเหมียวอี้กล้าหาญอย่างไร และการทดสอบครั้งนี้ก็บุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกในทัพใหญ่หนึ่งล้าน เป็นชายชาตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งใต้หล้าจริงๆ แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้คนตื่นเต้นประหลาดใจแล้ว ในสายตาของนาง ผู้ชายอย่างเหมียวอี้ต่างหากที่เป็นลูกผู้ชายที่กล้าหาญอย่างแท้จริง เป็นวีรบุรุษในใจนาง ไม่เหมือนคนอย่างนางที่ต้องยอมจำนนให้กับสภาพความเป็นจริง ในที่มืดมักมีแสดงสว่างอยู่เสมอ! แต่ตอนนี้อยู่ภายใต้การกดขี่ของอำนาจอิทธิพล ไม่น่าเชื่อว่าชายหนุ่มเลือดร้อนคนนี้จะก้มหัวที่เคยเย่อหยิ่ง ความอับจนในชีวิตคนเรา ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้วีรบุรุษเลือดร้อนกลายเป็นหมีควายไร้จำศีล คิดคิดดูแล้วก็รู้สึกทำใจไม่ได้นิดหน่อย
คว้าจอกสุรา มู่หรงซิงหัวเงยหน้ากระดกดื่มจนหมดในคำเดียว จากนั้นถอนหายใจยาวปล่อยกลิ่นสุราพร้อมความกลัดกลุ้มในอกออกมา
สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงของพวกลูกน้องอยู่ในสายตาเหมียวอี้หมดแล้ว แต่เหมียวอี้กลับแอบทอดถอนใจ เขายอมรับว่าตัวเองไม่ได้โง่ แต่วิธีการทำงานของเขา เมื่อเทียบกับหยางชิ่งแล้วก็ถือว่ายังไม่ฉลาดพอจริงๆ หยางชิ่งแค่วางแผนนิดหน่อยเพื่อจัดงานเลี้ยง ก็สามารถหลอกตบตาทุกคนได้แล้ว ทำลายความหวาดระแวงของทุกคนไปจนหมดสิ้น ทำให้เหมียวอี้กุมสถานการณ์ที่อาจจะไม่สามารถควบคุมได้ไว้ในมือ ในตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจถึงประโยชน์อันยอดเยี่ยมของงานเลี้ยงนี้
ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่เคยใช้วิธีการวางแผนมาก่อน แต่วิธีการที่ออกมาจากมือเขาไม่ได้ถูกใช้อย่างละเอียดรอบคอบเท่าหยางชิ่ง ไม่ได้พลิกแพลงได้อย่างเหนือชั้นเท่าหยางชิ่ง!
“ผู้บัญชาการใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว เป็นเพราะคนบางคนเอาจิตใจอันต่ำทรามของตัวเองมาวัดใจสัตตบุรุษไง! ผู้บัญชาการใหญ่ไม่สืบสาวเอาเรื่องในความผิดของพวกเรา ก็นับว่าเป็นโชคดีมากของพวกเราแล้ว พวกเราต้องขออภัยผู้บัญชาการใหญ่ด้วย!” อูหันซานใช้สองมือยกจอกสุราแล้วลุกขึ้น
“พวกเราขออภัยผู้บัญชาการใหญ่!” กลุ่มผู้จัดการร้านยืนขึ้นยกจอกสุราตาม
ส่วนการขออภัยนั้นเป็นเพียงการเสแสร้ง สำหรับทั้งสองฝ่ายที่กำลังวัดฝีมือกัน การเสแสร้งนี้ก็ไม่ได้สำคัญเลย!
…………………………