พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1270 ฝากฝังผิดคน
“…” สวีถังหรานเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ผู้บัญชาการใหญ่บอกเป็นนัยอย่างชัดเจนสุดๆ นั่นก็คือเขาสยบเบื้องบนได้แล้ว
เขาจินตนาการไม่ออกนิดหน่อย ว่าทำไมปี้เยว่ฮูหยินจึงส่งลูกน้องคนสนิททั้งสองมาให้เหมียวอี้ได้ ในใจแอบทึ่งในความสามารถของเหมียวอี้ แบบนี้ก็ได้เหรอ?
เขาเองก็รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร พยักหน้าซ้ำๆ “นายท่านวางใจได้เลย ข้าน้อยจะทำให้กงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังตายแบบให้คำอธิบายกับทั้งเบื้องล่างเบื้องบนได้ ถ้ามีช่องโหว่อะไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับนายท่าน ข้าน้อยจะรับไว้คนเดียว”
เขาเข้าใจดีมากว่าการทำแบบนี้หมายความว่าอะไร ตำหนักสวรรค์อาจจะไม่ได้ยุติธรรมมากนัก แต่กฎระเบียบก็มีให้เห็นกันอยู่ การที่ผู้บังคับบัญชาฆ่าลูกน้องถึงแม้จะเป็นเรื่องง่าย แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องทำตามกฎระเบียบ ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากจะฆ่าก็ฆ่าได้ ถ้าไม่มีกฎระเบียบคนที่อยู่เบื้องล่างก็จะหวาดกลัวในใจ แบบนี้ตำหนักสวรรค์จะไม่ทำอะไรซี้ซั้วหรอกเหรอ? ถ้าทำเรื่องนี้แล้วอธิบายกับเบื้องบนไม่ได้ ก็จะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากมาก…
บัตรเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงที่เขตเมืองตะวันตกถูกส่งไปแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็มาหาถึงที่แล้วเช่นกัน นางย่อมมาเบื่องสะสางทั้งบัญชีเก่าและบัญชีใหม่อยู่แล้ว
หลอกนางว่าจะไม่ไปเข้าร่วมการทดสอบ พอไปเข้าร่วมการทดสอบแล้วก็ปฏิเสธที่จะติดต่อกับนาง หลังจากกลับมาแล้วก็ปฏิเสธที่จะเจอหน้านาง ความสัมพันธ์ในฐานะคนรักลับๆ ที่กำหนดไว้โดนสุนัขกินไปหมดแล้วเหรอ? นางจับเหมียวอี้มาด่ายกหนึ่ง หลังจากด่าเสร็จแล้ว สิ่งใดที่ควรทำก็ยังต้องทำ ทั้งสองนัวเนียกันอีกแล้ว…
หลังจากพายุฝนสงบ ความโกรธของหวงฝู่คนสวยก็หายไปแล้วเช่นกัน ผมงามยุ่งสยาย ร่างเปลือยนอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้านไม่ยอมขยับไปไหน
เพี้ยะๆ! เหมียวอี้ตบก้นนางสองที แล้วพูดหยอกว่า “ก่อนหน้านี้โทษว่าข้าไม่ยอมไปเจอเจ้าไม่ใช่เหรอ เอาแบบนี้มั้ย เจ้าก็อยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองเป็นเพื่อนข้าหลายๆ วัน”
พอแกะมือเขาออก หวงฝู่จวินโหรวก็ลุกขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน แล้วใช้มือกอดคอเขาจากข้างหลัง “ฝันไปเถอะ ถ้าอยู่ดีๆ ข้าหายตัวไปหลายวัน พอกลับไปแล้วแม่ข้าสงสัยขึ้นมาจะทำยังไง?” จากนั้นก็พ่นลมหายใจหอมใส่ข้างหูเขาทันที “คืนนี้ไปหาข้าสิ…”
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ผู้หญิงหื่นกามที่ป้อนไม่อิ่ม ข้าเองก็มีงานต้องทำเหมือนกัน”
“เจ้าว่าใคร? เจ้าต่างหากล่ะที่หื่นกาม!” หวงฝู่จวินโหรวบ่นเขา แต่พอนึกถึงความบ้าระห่ำก่อนหน้านี้ นางก็แอบหน้าแดง แล้วก็กัดที่ติ่งหูของเขาเบาๆ อีก “ท่านแม่สวีของหอกลิ่นสวรรค์ขอให้ข้ามาเป็นแม่สื่อน่ะ”
“เป็นแม่สื่ออะไร?” เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ
“อีกฝ่ายถูกใจเจ้าน่ะ” หวงฝู่จวินโหรวยิ้มหยอก
พอนึกถึงท่านแม่สวีที่แต่งหน้าจัดจ้าน เหมียวอี้ก็ตัวสั่นด้วยความกลัวแล้ว “เจ้ากำลังล้อเล่นใช่มั้ย?”
ห่วงฝู่งงไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะคิกคัก หัวเราะจนภูเขาหิมะสองข้างสั่นไม่หยุด หัวเราะจนหมอบที่บ่าเขา แล้วหอบหายใจพูดว่า “เป็นเสวี่ยหลิงหลง ท่านแม่สวีให้ข้ามาเป็นแม่สื่อให้เจ้ากับเสวี่ยหลิงหลง หวังว่าจะให้เสวี่ยหลิงหลงแต่งงานกับเจ้า แต่งงานอย่างเปิดเผยเป็นทางการ แต่งมาเป็นภรรยาเอก เจ้ามีความคิดแห็นยังไง? คงไม่รังเกียจพื้นเพอาชีพของนางหรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้โล่งอก ผู้หญิงคนนี้ทำให้ตกใจแทบแย่ แต่ถ้าจะบอกว่าไม่หวั่นไหวกับเสวี่ยหลิงหลงเลยก็แปลว่าโกหก ความสามารถทางศิลปะกับความงามของเสวี่ยหลิงหลงก็เห็นๆ กันอยู่ มีผู้ชายปกติที่ไหนจะไม่หวั่นไหวบ้าง แต่ด้วยสถานการณ์ของเขา ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะแต่งงานรับเสวี่ยหลิงหลงมาเป็นภรรยาเอก ถ้าแต่งงานรับมาเป็นอนุภรรยาก็ยังพอพิจารณาได้ แต่คาดว่าคงผ่านด่านอวิ๋นจือชิวได้ยาก มิหนำซ้ำในปีนั้นเขาก็เคยห้ามสวีถังหรานไว้ ถ้าตอนนี้ตัวเองมาลงมือเอง ก็อาจจะดูโลภไปหน่อย สวีถังหราน…
พอครุ่นคิดเล็กน้อย เหมียวอี้ก็ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่สนใจ”
“ต่อให้เจ้าสนใจก็ไม่ได้ ต่อให้เจ้าตอบตกลง แต่ข้าก็จะปฏิเสธแทนเจ้า เลิกฝันหวานที่จะมีผู้หญิงหลายคนไปได้เลย เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวข้าจัดการเอง” นางจิ้มท้ายทอยเขา แล้วก็คล้องคอเขาอีก “พูดธุระสำคัญกันดีกว่า เจ้าไม่เหมาะจะอยู่ที่ตลาดสวรรค์ต่อไปหรอก หาทางเปลี่ยนที่ใหม่เถอะ?”
เหมียวอี้หันกลับมามอง “ทำไม? ทางสมาคมร้านค้ามีแผนการอะไรใช่มั้ย?”
หวงฝู่จวินโหรว : “ตอนนี้ยังไม่มีแผนอะไรหรอก แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า ว่าที่ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งมีอำนาจหลายฝ่ายปนกันอยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะใจกว้างไม่ถือสาผู้น้อยเหมือนเจ้าหมด เจ้าประนีประนอมได้ แต่อีกฝ่ายอาจจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ ก็ได้ ตอนอยู่แดนอเวจีเจ้าฆ่าลูกหลานผู้มีอำนาจไปมากมายขนาดนั้น ภายนอกอาจจะทำเหมือนปรองดองได้ แต่ไม่แน่นะ อาจจะมีคนแอบหาโอกาสลงมือกับเจ้าอยู่ก็ได้”
ในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววดุร้าย จากนั้นก็ยิ้มบางๆ แล้วดึงแขนที่คล้องคอตัวเองอยู่ลงมือ “อ๊า” หวงฝู่จวินโหรวร้องอุทานตกใจ นางพลิกตัวลงมาอยู่ในอ้อมกอดเขา แล้วนอนถลึงตาอยู่บนตักของเขา
เหมียวอี้ช้องคางนางเล็กน้อย พร้อมถามว่า “ออกจากตลาดสวรรค์แล้ว ข้ายังจะไปที่ไหนได้อีก?”
หวงฝู่จวินโหรวแสร้งทำสายตาค่อนขอด ที่จริงก็ดูออกว่านางชอบยอหล้อแบบนี้มาก นางยื่นมือไปดึงหูเขา “ข้าช่วยเจ้าคิดเรื่องทางหนีทีไล่ไว้แล้ว แต่งงานกับข้าสิ! ออกจากตลาดสวรรค์แล้วแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ ขุนนางทั้งราชสำนักจะไม่กล้าลงมือกับเจ้าง่ายๆ อีก ต่อไปนี้พวกเราจะได้ไม่ต้องแอบเจอกันแล้ว”
“ฮ่าๆ!” เหมียวอี้กำลังกอดสาวงามเงยหน้าหัวเราะลั่น ราวกับได้ฟังเรื่องที่ตลกมาก
หวงฝู่จวินโหรวตะลึงงัน จ้องเขาอย่างเหม่อลอย นางพบว่าเขาหัวเราะได้อย่างองอาจผึ่งผายขนาดนี้ แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เหมียวอี้สะบัดแขนข้างหนึ่ง เหมือนกับโยนสัตว์เล็กๆ ตัวหนึ่ง โยนนางลงไปไว้ด้านข้างโดยตรง เก็บเสื้อผ้าบนเตียงขึ้นมาใส่แล้ว
หวงฝู่จวินโหรวที่กลิ้งเหมือนลูกแกะอับอายจนโมโหทันที จับหมอนใบหนึ่งทุ่มเข้าไป ใครจะคิดว่าผู้จัดการร้านหวงฝู่ที่ยามปกติสูงส่งสง่างามจะมีสภาพน่าอับอายขนาดนี้ได้
เหมียวโบกมือปัดหมอนออกอี้ ทำได้อย่างคล่องมือสุดๆ เหมือนคุ้นเคยกับวิธีการทุ่มหมอนของอีกฝ่ายแล้ว เขาแต่งตัวไปพลางพูดไปพลางว่า “เรื่องแต่งงานเข้าตระกูลน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก คอยดูไปทีละก้าวแล้วกัน! ครั้งนี้ข้าใช้ความจริงใจเพื่อเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหมจริงๆ ถึงได้จัดงานเลี้ยงนี้ เป็นเพราะถึงยังไงต่อไปข้าก็ต้องทำมาหากินอยู่ในตลาดสวรรค์ ข้าแสดงท่าทีออกมาแล้ว สมาคมร้านค้าของพวกเจ้าก็ต้องแสดงท่าทีอะไรสักหน่อยสิ? ถ้าเจ้าอยากช่วยข้าจริงๆ ก็ช่วยข้ากู้หน้ากลับมาหน่อย…”
ท่ามกลางแปลงดอกไม้ที่งดงาม สวีถังหรานถือโอกาสยื่นมือเด็ดดอกไม้กิ่งหนึ่งมาไว้ในมือ เอามาต่อจมูกดมดอมเป็นระยะ พลางทำตาขวางมองภาพเหตุการณ์ที่อยู่ข้างๆ
กงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้
เหมียวอี้ไม่พูดอะไร เพียงจ้องสองคนนี้อย่างเย็นเยียบ ในหัวปรากฏภาพเหตุการณ์ตอนอยู่คฤหาสน์ตรงตีนเขาของจวนแม่ทัพภาคตงหัว ในตอนนั้นทั้งสองคนไม่ได้ว่านอนสอนง่ายขนาดนี้
กงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ทั้งสองคนทำความเคารพไปแล้ว แต่กลับไม่ได้รับการตอบกลับจากเหมียวอี้ ทั้งยังไม่กล้าสบตากับเหมียวอี้ตรงๆ โดนเหมียวอี้มองจนอึดอัดไปทั้งตัว มีความกดดันสูงมาก กังวลว่าเหมียวอี้จะทำอะไรซี้ซั้ว
ผ่านไปพักใหญ่ เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังก็ก้าวช้าๆ ขึ้นมาข้างหน้า มายืนตรงหน้าทั้งสอง แล้วยื่นมือข้างหนึ่งไปลูบใบหน้าของกงอวี่เฟย
กงอวี่เฟยตกใจ เอนคอไปข้างหลังโดยจิตใต้สำนึก ยื่นมือไปบังมือของเหมียวอี้
“หืม?” เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกแสดงความสงสัย สายตาฉายแววเย็นเยียบ
หลี่หวนถังรีบส่งสายตาให้กงอวี่เฟย เหมือนกำลังบอกว่าอย่าให้ความไม่อดทนเล็กน้อยมาทำลายแผนใหญ่
กงอวี่เฟยเองก็รู้ว่าการถูกเจ้านายรังแกสมารถนำมาเป็นข้ออ้างเพื่อลงมือกับเหมียวอี้ได้ นางเม้มริมฝีปาก พลางวางมือที่ป้องกันลงช้าๆ
เหมียวอี้ยื่นมือไปบีบคางของนาง ราวกับกำลังตรวจสอบสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง ใช้นิ้วเขี่ยศีรษะข้างซ้ายข้างขวาเพื่อเชยชม
กงอวี่เฟยหน้าแดงก่ำ รู้สึกอับอายเกินทน นางยังไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวกับผู้ชายมาก่อน นางเองก็รู้ว่าตัวเองมีความสามารถจำกัด แต่ความงามก็ยังพอมีอยู่บ้าง นางรู้ต้นทุนเรื่องนี้ของตัวเองชัดเจน กำลังรอขายตอนราคาขึ้นมาตลอด รอให้ผู้ชายที่มีคุณค่าเหมาะสมปรากฎตัวค่อยฝากชีวิตไว้ จะได้ไม่เสียชาติเกิด
เหมียวอี้ที่กำลังใช้มือบีบหน้านางมองซ้ายมองขวากล่าวเสียงเรียบว่า “คืนนี้อยู่เป็นเพื่อนข้าดีมั้ย?”
สวีถังหรานที่กำลังดมดอกไม้อึ้งไปชั่วขณะ มองมาทางนี้ด้วยแววตาวูบไหว ทำสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
กงอวี่เฟยกลับตกใจ พลันส่ายหน้าให้พ้นเงื้อมมือมารของเหมียวอี้ รีบถอยไปข้าหลังแล้วกุมหมัดคารวะ “ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดสำรวมตัวเอง!”
เหมียวอี้ล้มเลิก ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่เอามือไขว้หลังแล้วบอกว่า “พวกเจ้าสองคนใจกล้าไม่เบานะ ยังกล้ามาอยู่กับข้าที่นี่อีก!”
กงอวี่เฟยบอกว่า “ทั้งจวนแม่ทัพภาคตงหัวล้วนเป็นอาณาเขตในสังกัดของท่านแม่ทัพภาค พวกเรารับคำสั่งให้ย้ายมา ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่พอใจอะไร พวกเราก็กลับไปได้” นางกำลังบอกใบ้เหมียวอี้ ว่าถ้าเจ้าไม่พอใจคำสั่งของเบื้องบน พวกเรากลับก็ได้
“พวกเจ้าออกจากที่นี่ไปนานเกินไป ไปทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ที่เขตเมืองตะวันตกก่อนเถอะ” เหมียวอี้ทิ้งทั้งสองไว้ แล้วหันตัวเดินจากไป ขณะที่เดินก็บอกว่า “สวีถังหราน ส่งต่อคนให้เจ้าแล้ว”
“ขอรับ!” สวีถังหรานเหน็บดอกไม้ไว้ในมือพร้อมกุมหมัดคารวะ จากนั้นหันตัวไปกล่าวกับทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองไปพักที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกก่อน เดี๋ยวสวีคนนี้จะตามไปทีหลัง”
ทั้งสองอยากจะออกจากที่นี่ไวๆ อยู่แล้ว กุมหมัดคารวะแล้วออกไปทันที
สวีถังหรานกลับตามเข้าไปในโถงหลัก เดินมากระซิบถามข้างกายเหมียวอี้ “ถ้านายท่านสนใจกงอวี่เฟย ข้าน้อยจะหาทางจัดการให้ขอรับ”
เหมียวอี้เหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง กงอวี่เฟยก็พอมีความงามอยู่บ้าง แต่อาศัยความงามของกงอวี่เฟยก็ไม่ได้ทำให้เขาถูกใจเลยจริงๆ อนุภรรยาที่อยู่ในบ้านใคนไหนบ้างที่สวยสู้กงอวี่เฟยไม่ได้ ขนาดหวงฝู่จวินโหรวที่แอบคบกันยังสวยแบบเหวี่ยงกงอวี่เฟยจนทิ้งห่างไปหลายถนน เขาต้องชอบด้วยเหรอ? เมื่อครู่นี้ก็แค่สร้างความอับอายให้กงอวี่เฟยเท่านั้น แต่กลับถูกเจ้าคนขี้ประจบจับตามองแล้ว
“ไม่สนใจ เจ้าไปทำงานของตัวเองให้ดีเถอะ”
“เอ๋…” สวีถังหรานประจบได้ถูกจุดแล้ว แต่ก็ต้องเอ่ยรับซ้ำๆ แล้วถอยออกไป พอออกจากประตูมาก็ยังอึดอัดใจ ผู้บัญชาการใหญ่นี่ยังไงกันแน่ ทำไมไม่เห็นเขาบ้าผู้หญิงเลยล่ะ? อย่าบอกนะว่าคบกับเป่าเหลียนอยู่? แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะ อาศัยสายตาของสวีผู้กร้านโลก เป่าเหลียนนั่นน่าจะยังบริสุทธิ์อยู่…
ตำหนักคุ้มเมือง เวลาค่ำที่ประดับประดาโคมไฟมาถึงอีกแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้เชิญผู้จัดการร้านของเขตเมืองจะวันตก สวีถังหรานผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกตอนรับอยู่ที่ประตูตำหนักคุ้มเมืองด้วยตัวเอง
กงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังก็ถูกดึงตัวมาเช่นกัน ไม่กี่วันมานี้ไม่ว่าสวีถังหรานจะมีงานหรือไม่มีงานอะไร ก็จะดึงตัวสองคนนี้ให้วิ่งวุ่นทำงานไปทั่วเสมอ
คนที่มารอบนี้เยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้น้อยเหมือนครั้งก่อน ผู้จัดการร้านเกือบร้อยคนที่ได้รับบัตรเชิญครั้งนี้ไว้หน้ามาก มากันครบแล้ว
อวี้ซวีเจินเหรินก็มาแล้วเช่นกัน
หวงฝู่จวินโหรวก็มาแล้ว เพียงแต่การเข้ามาทางประตูใหญ่ทำให้นางเหม่อลอยนิดหน่อย เพราะนางเคยชินกับการเข้าออกตำหนักคุ้มเมืองผ่านทางใต้ดิน มาที่นี่แบบลักลอบจนเคยชิน จู่ๆ มาแบบสง่าผ่าเผยจึงทำให้อึดอัดนิดหน่อย
ในงานเลี้ยงคืนนั้น แขกและเจ้าบ้านก็อยู่ร่วมกันอย่างสนุกสนานอีกแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ไว้หน้า บรรดาผู้จัดการร้านที่อยู่ตรงนั้นแสดงความเคารพนอบน้อม บรรยากาศไม่เลวเลย
ขณะมองผ่านหน้าต่างของตึกศาลาออกไปเห็นเสวี่ยหลิงหลงที่เต้นระบำอยู่ด้านนอก ขณะมองดูเสวี่ยหลิงหลงทุ่มเททำการแสดงอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ ท่านแม่สวีก็รู้สึกปลงในใจ เรื่องที่นางฝากฝังหวงฝู่จวินโหรวล้มเหลวแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเสวี่ยหลิงหลงอย่างไรดี กลัวว่าเด็กคนนั้นจะสะเทือนใจ เพราะนางรู้ว่าเสวี่ยหลิงหลงโดนนางเกลี้ยกล่อมจนเกิดความคิดนี้แล้ว เตรียมใจแต่งงานกับผู้บัญชาการใหญ่หนิวแล้ว
หารู้ไม่ว่าฝากฝังผิดคนแล้ว!
ขณะกำลังเหม่อลอย คนที่นางฝากฝังก็พลันส่งเสียง นางอดไม่ได้ที่จะหันมองตาม เห็นหวงฝู่จวินโหรวกำลังยิ้มอย่างเป็นกันเองพลางลุกขึ้นยืนชูจอกสุรา กล่าวกับทุกคนว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ไว้หน้าขนาดนี้ พวกเราอย่าไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ไม่รู้ไว้หน้าผู้บัญชาการใหญ่บ้างสิ ให้โอกาสพวกเราเลี้ยงคืนสักครั้งดีมั้ย?”
…………………………