พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1271 คิดบัญชีย้อนหลัง
นี่คือสิ่งที่นางรับปากเหมียวอี้เอาไว้ ว่าจะช่วยเหมียวอี้กู้หน้ากลับมา
นางเองก็รู้สึกว่าถ้าเหมียวอี้จัดงานเลี้ยงทีละเขตเมืองต่อไปจริงๆ แบบนั้นก็จะเสียหน้ามากเกินไป ถึงตอนนั้นถ้าข่าวแพร่ออกไปก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ ถ้าสมาคมร้านค้าเลี้ยงกลับสักหน่อยก็จะได้ยุติลงตรงนี้ ต่อให้ยืนอยู่ในจุดยืนของสมาคมร้านค้า แต่ก็รู้สึกว่าไม่ควรจะทำเกินไปอยู่ดี
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทั้งงานก็เงียบทันที มีคนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก!
เหมียวอี้ที่นั่งถือจอกสุราอยู่ในศาลาทำสีหน้างุนงง กวาดสายตามองทุกคนอย่างช้าๆ แล้วสุดท้ายก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าอู่ฉงกง รองหัวหน้าสมาคมร้านค้าที่รับผิดชอบเขตเมืองตะวันตก
อู่ฉงกงถูกมองจนอึดอัดนิดหน่อย ที่สำคัญเป็นเพราะเขาคือหัวหน้าของเขตเมืองตะวันตก การแสดงท่าทีของเขาก็คือการแสดงท่าทีของเขตเมืองตะวันตก ถ้าตอนนี้เขาไม่แสดงท่าที ก็เท่ากับเขาล่วงเกินเหมียวอี้อย่างถึงที่สุด ไม่เห็นเหรอว่าเหมียวอี้กำลังมองเขาอยู่
เขาเอียงหน้ามองหวงฝู่จวินโหรวที่เสนอความคิดนี้ นางกำลังพยักหน้าให้เขา แล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมส่งสายตาให้ เขาพอจะเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อแล้ว ทางสมาคมร้านค้าไม่สะดวกจะทำอะไรเกินไป ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ที่ดูแลอาณาเขตให้ราชันสวรรค์ การลอบวางแผนร้ายสามารถทำได้ แต่ถ้าพ่อค้ากลุ่มนี้ทำเกินไปอย่างโจ่งแจ้งก็คงไม่ดี
เขาถึงได้ยืนขึ้นยกจอกสุรา “คำแนะนำนี้ของผู้จัดการร้านหวงฝู่ก็ไม่เลวนะ ผู้บัญชาการใหญ่ไว้หน้าสักครั้งเถอะ!”
พอเขาเอ่ยปากนำ ผู้จัดการร้านที่เหลือก็ทยอยกันลุกขึ้นชูจอกสุราทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ไว้หน้าสักครั้งเถอะ”
แม้แต่เถียนเฟิงฮ่าว ผู้จัดการร้านเถียงที่นั่งอยู่ตรงนั้น หลังจากมองซ้ายมองขวาแล้วก็ยืนขึ้นชูจอกสุราเช่นกัน
เหมียวอี้ทำท่าเหมือนดีใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ทันที ยืนขึ้นชูจอกสุราพร้อมบอกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หนิวก็ยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ หนิวขอดื่มคารวะหมดจอกก่อน!” เขาเงยหน้าดื่มจนหมดจอก แล้วก็เผยให้ดูก้นจอกที่ว่างเปล่า
ทุกคนจึงดื่มหมดจอกพร้อมกัน!
จากนั้นดนตรีก็บรรเลงต่อไป ผู้บัญชาการใหญ่อารมณ์สุนทรีมาก เป็นฝ่ายชูจอกสุราก่อนไม่หยุด…
หลังจากแขกและเจ้าบ้านสนุกสนานกันจนงานเลี้ยงเลิก เหมียวอี้ก็ออกมาส่งด้วยตัวเอง
ผู้จัดการร้านเกือบร้อยคนทยอยกันออกจากตำหนักคุ้มเมือง หวงฝู่จวินโหรวก็นั่งเกี้ยวของตัวเองกลับไปเช่นกัน
เหมียวอี้ที่ยืนส่งอยู่หน้าประตูตำหนักหรี่ตายิ้ม แล้วจู่ๆ ก็หันตัวกลับมา
ยังไม่ทันเดินมาถึงตำหนักหลัง หวงฝู่จวินโหรวก็ส่งข้อความมาหาแล้ว : วันนี้ควรจะขอบคุณข้ายังไงดีล่ะ?
เหมียวอี้ : คืนนี้เจ้าก็มาหาข้าสิ
พอได้ยินคำตอบนี้ หวงฝู่จวินโหรวก็รู้แล้วว่าเขาจะใช้วิธีไหนขอบคุณ แน่นอนว่านางไม่มีทางพูดเปิดเผยอย่างไร้ยางอาย ตอบไปว่า : ตอนนี้ข้าต้องไปประชุมกับพวกเขาที่สมาคมร้านค้า เจ้ามาหาข้าตอนดึกๆ หน่อย ข้าจะได้บอกเจ้าได้สะดวกว่าสภานการณ์เป็นอย่างไร
เหมียวอี้ : ดี! เดี๋ยวข้าจะขอบคุณเจ้าอย่างสุดกำลัง! จะขอบคุณเจ้าอย่างดีเลย!
หวงฝู่จวินโหรว : ไปให้พ้น!
ผ่านไปครู่เดียว คณะระบำของหอกลิ่นสวรรค์ที่ได้รับรางวัลแล้วก็ทยอยกันออกจากตำหนักคุ้มเมือง ครั้งนี้เหมียวอี้ตบรางวัลเยอะมาก เพียงแต่ท่านแม่สวีเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร
พวกผู้ช่วยของสมาคมร้านค้าที่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ก็รีบมาที่สมาคมร้านค้าเช่นกัน รอพบคนอื่นอยู่ที่นี่นานแล้ว
พอคนกลุ่มนี้เดินเข้าประตูมา ก็มีคนถามทันที “ทำไมถึงกลายเป็นจะเลี้ยงคืนเขาแล้วล่ะ?”
เห็นได้ชัดเจนมาก ว่ามีคนส่งข่าวมาทางนี้ล่วงหน้าแล้ว
“เหอะๆ!” หลังจากเถียนเฟิงฮ่าวหย่อนก้นนั่งลง ก็ตอบอย่างกำกวมว่า “ก็มีคนกลัวว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเสียหน้าเกินไปน่ะสิ! ตามที่ข้าบอกก็คือต้องการให้เขาเงยหน้าอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป!”
หวงฝู่จวินโหรวเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งนั่งประจำตำแหน่งของตัวเอง ไม่คิดจะพูดอะไรอีก เพราะพูดมากไปอาจจะทำให้คนสงสัย
ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องให้นางพูดอะไร เรื่องไปถึงตัวอู่ฉงกงแล้ว ใครใช้ให้เขาเป็นรองหัวหน้าสมาคมร้านค้าที่รับผิดชอบเขตเมืองตะวันตกล่ะ
อู่ฉงกงเองก็เหลือบมองเถียนเฟิงฮ่าวอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน พอเดินไปถึงตำแหน่งของตัวเองแล้วก็ยังไม่นั่งลง ยืนถอนหายใจใส่ทุกคนที่กำลังรออยู่ แล้วบอกว่า “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ เป็นตัวแทนเฝ้าอาณาเขตให้ราชันสวรรค์ ถึงแม้พวกเราจะมีคนหนุนหลัง แต่ถึงอย่างไรภายนอกก็ยังเป็นแค่พ่อค้า นี่คือความแตกต่างระหว่างขุนนางกับประชาชน ตอนนี้ระบบตลาดสวรรค์ก็มีราชินีสวรรค์คุมอยู่ ถ้าพวกเราทำเกินไปจริงๆ ก็เท่ากับไม่เห็นราชันสวรรค์อยู่ในสายตา ขณะเดียวกันก็ถือว่าหักหน้าราชินีสวรรค์ด้วย ตามความเห็นของข้า ข้าว่าช่างมันเถอะ จัดงานเลี้ยงแล้วเชิญเขามาบ้างเพื่อคืนดีกันก็สิ้นเรื่องแล้ว ถ้าจะก่อเรื่องจริงๆ ก็ค่อยๆ แอบทำไป ถ้าจองเวรแบบเปิดเผยพวกเราก็จะเป็นฝ่ายผิด” เขาต้องหาจุดจบดีๆ ให้ตัวเอง
พอพูดถึงราชินีสวรรค์ โจวหรานก็ขมวดคิ้วทันที ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว จึงพยักหน้าเบาๆ “ที่ว่ามาก็มีเหตุผล ทุกคนคิดว่ายังไง?”
ไม่มีใครตอบอะไร ไม่เห็นด้วยและไม่คัดค้าน เป็นเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมีเหตุผล ทุกคนต่อต้านหนิวโหย่วเต๋อ แต่คนที่ต่อต้านก็ไม่ใช่ขุนนาง เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาต่างหากที่เป็นขุนนาง ถึงแม้ในวงการขุนนางจะมีการต่อสู้แข่งขันกัน แต่ในบางจุดยืนกลับมีจุดร่วมด้านผลประโยชน์ ถ้าทำเกินไปแบบโจ่งแจ้งก็อาจจะเปลืองแรงเปล่าๆ ดังนั้นตราบใดที่มีคนเสนอออกมา ก็ไม่มีทางต่อต้านได้แล้ว ไม่อย่างนั้นหยางชิ่งก็คงไม่แนะนำให้เหมียวอี้ทำแบบนี้เช่นกัน
โจวหรานครุ่นคิดพักหนึ่ง แล้วก็มองดูท่าทีของทุกคนอีกครั้ง หลังจากรออยู่นานถึงได้บอกว่า “ถ้าไม่มีใครคัดค้าน งั้นก็เชิญเขามาร่วมงานเลี้ยงในนามของสมาคมร้านค้าแล้วกัน ส่วนจะไปหรือไม่ไป ก็แล้วแต่ความสามารถใจของทุกคนแบบนี้ดีมั้ย?”
วันต่อมา เหมียวอี้ที่ทุ่มเทแรงกายปรนนิบัติหวงฝู่จวินโหรวไปหนึ่งคืนเพิ่งจะกลับถึงตำหนักคุ้มเมืองได้ไม่นาน โจวหราน หัวหน้าสมาคมโจวก็มาส่งบัตรเชิญด้วยตัวเองถึงที่ อาศัยนามของสมาคมร้านค้าเชิญให้เหมียวอี้ไปร่วมงานเลี้ยงในอีกสามวันหลังจากนี้ ‘ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท’
หลังจากทักทายกันตามมารยาทนิดหน่อย ขณะมองตามเป่าเหลียนที่เป็นตัวแทนส่งแขก เหมียวอี้ก็ยกแผ่นหยกในมือขึ้นมาดู “แกร๊ก” บีบจนแหลกกลายเป็นผุยผง…
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวัน คนที่ได้รับบัตรเชิญไม่ได้มีแค่เหมียวอี้เท่านั้น ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองก็มีส่วนเช่นกัน
สวีถังหรานถูกเรียกตัว จึงมามาถึงตำหนักคุ้มเมืองก่อนคนอื่น เพิ่งจะทำความเคารพผู้บัญชาการใหญ่เสร็จ เหมียวอี้ก็บอกเป่าเหลียนว่า “เจ้าออกไปก่อน!”
เป่าเหลียนมองสวีถังหรานอย่างรังเกียจและประหลาดใจอีกครั้ง เกลียดชังเพราะเวลาชายคนนี้ปรากฏตัวทีไร นายท่านต้องให้นางถอยออกไปตลอด
สวีถังหรานพึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ยิ้มให้เป่าเหลียนอย่างร่าเริง ในใจกำลังแอบดาดเดาด้วย ว่าสงสัยจะเป็นตนต่างหากที่เป็นลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการใหญ่อย่างแท้จริง
ใครจะคิดว่าพอหันกลับมา ขวดลายครามสีขาวดำสองใบเผยอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาเงยหน้ามองเหมียวอี้อีกครั้ง ถามอย่างสงสัยนิดหน่อยว่า “นายท่าน นี่คือยาเทพเซียนล้มที่ข้าหามาครั้งก่อนเหรอ?”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “งานเลี้ยงคืนนี้คือเวลาที่จะต้องใช้งานมัน อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”
“หา…” สวีถังหรานตกใจจนหน้าถอดสี ชั่วพริบตานั่นรู่ม่านตาพลันหดเล็กลง เบิกตากว้างมองเหมียวอี้แล้ว
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าการเชิญไปร่วมงานเลี้ยงสองครั้งก่อนหน้านี้เป็นเพียงการล่อเหยื่อ งานเลี้ยงคืนนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นหลัก ของที่ตนหามาเตรียมไว้สำหรับงานเลี้ยงคืนนี้ หรือพูดได้อีกอย่างว่าผู้บัญชาการใหญ่วางแผนไว้ตั้งนานแล้ว จุดประสงค์เพียงเพื่อ…กวาดเรียบอย่าให้เหลือ!
พอนึกย้อนไปช่วงเวลาก่อนหน้า นึกได้ว่าเป็นการล้อมกับดักที่เตรียมการอย่างพิถีพิถันจนแทบไร้ที่ติ สวีถังหรานก็เกือบขนลุก อุทานในใจว่า ผู้บัญชาการใหญ่ช่างวางแผนได้ล้ำลึก!
ตอนนี้เขาถึงได้สะท้อนใจอย่างลึกซึ้ง มิน่าล่ะอีกฝ่ายถึงได้ไต่เต้าได้เร็วขนาดนี้ อาศัยแค่การวางแผนนี้ตัวเองก็เทียบไม่ติดแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่บอกไว้ตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อนว่าจะคิดบัญชีย้อนหลัง แต่ตัวเองนั้นตาพร่ามัว จนกระทั่งสุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น[1] ตนถึงได้มองเห็นได้อย่างชัดเจน เขาปิดบังได้แม้กระทั่งตน ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือปิดบังผู้จัดการร้านที่อยู่ข้างนอก
“เอ่อ…” สวีถังหรานอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
เหมียวอี้หันกลับมามอง “ทำไม? เจ้ากลัวเหรอ?”
สวีถังหรานโบกมือซ้ำๆ “ไม่ได้กลัวขอรับ เพียงแต่กังวลว่าจะกวาดเรียบไม่ให้เหลือได้เหรอ ถ้ามีคนไม่มาจะทำยังไง?”
“เจ้าไม่ต้องห่วง คนที่ควรจะมา ก็จะมาแน่นอน” เหมียวอี้ตอบ
นี่คือคำพูดของหยางชิ่งตอนที่ปรึกษารายละเอียดของขั้นตอนการลงมือด้วยกัน จากคำพูดของหยางชิ่ง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหยางชิ่งถึงมั่นใจขนาดนี้ แต่ใช้แผนนี้ชั่วคราวก็ไม่เลวเหมือนกัน ถ้าหากมีคนมาไม่หลายคน อย่างมากก็แค่ไม่ลงมือและหาโอกาสใหม่อีกครั้ง
สวีถังหรานกัดฟัน รู้ว่าถ้าหากไม่ทำงานนี้ คนที่ตายจะต้องเป็นตนแน่นอน จึงยื่นมือไปหยิบขวดสองใบนั้นมา “นายท่านไม่ต้องห่วง จะไม่ผิดพลาดแน่นอน”
ตรงนี้เพิ่งจะคุยกันจบ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋เดินก้าวยาวเข้ามา สวีถังหรานรีบเก็บขวดสองใบในมือ
“ผู้บัญชาการใหญ่!” ทั้งสองเพิ่งจะคำนับ เหมียวอี้ก็ประกาศอย่างจริงใจว่า “วันนี้ถึงเวลาแล้วจะที่จะคิดบัญชีย้อนหลัง!”
ตอนแรกทั้งสองอึ้งไปชั่วขณะ พอนึกเชื่อมโยงกับงานเลี้ยงวันนี้ก็เข้าใจทันที พวกเขาจึงมองหน้ากันอย่างตกใจ และเข้าใจจุดประสงค์ของงานเลี้ยงคืนนี้แล้วเช่นกัน ตกตะลึงกับการวางแผนอันรอบคอบเช่นเดียวกับสวีถังหราน ปิดบังแม้กระทั่งพวกเขา
ทั้งสองมองสวีถังหราน พบว่าสวีถังหรานก็ยืนอย่างว่านอนสอนง่ายอยู่ข้างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ
ฝูชิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายท่าน ครั้งนี้เทียบกับครั้งก่อนไม่ได้นะ เกรงว่าจะลงมือไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ถ้าคนกลุ่มนี้จนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพงขึ้นมา กำลังพลที่อยู่ในเมืองก็คงจะต้านทานไม่ไหว!”
“พวกเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าวางหมากไว้นานแล้ว ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ร่วมมือกันโต้ตอบหรอก” เหมียวอี้กล่าว
สวีถังหรานได้ยินแล้วหดคอ คนวางหมากนั้นก็คือเขาเอง
อิงอู๋ตี๋ขมวดคิ้ว “นายท่านจัดงานเลี้ยงติดต่อกันไปสองครั้ง ไม่ว่าจะจริงใจหรือเสแสร้ง แต่ก็เสียหน้าไปแล้ว แต่ผลที่ได้ก็ชัดเจน นายท่านสยบพวกเขาได้แล้ว วันนี้หลังจากพวกเขาเชิญนายท่านไปร่วมงานเลี้ยง เรื่องนี้ก็จะสงบลง ต่อให้ในภายหลังจะมีคนแอบวางแผนร้ายกับนายท่าน พวกเราแค่รับมืออย่างระมัดระวังก็พอแล้ว เรื่องบางเรื่องอดทนไว้เดี๋ยกว็ผ่านไป ถ้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นยังไง!”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “รับมืออย่างระวังเหรอ? ทวนในที่แจ้งนั้นป้องกันง่าย แต่ลูกธนูจากที่ลับนั้นป้องกันยาก อย่าบอกนะว่าวันๆ ข้าไม่ต้องทำงานทำการอะไรแล้ว เอาแต่คอยระวังพวกเขาทุกวัน วันๆ เอาแต่ประจบพวกเขาเหรอ? ล้อเล่นอะไรกัน! ข้าไม่มีเวลาว่างมาประจบหรอกนะ ครั้งนี้โจมตีให้พวกเขากลับสู่สภาพเดิมไปเสียเลย วางโครงข่ายควบคุมอย่างเข้มงวดกว่าเดิม ข้าต้องการให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียงดัง ข้าจะคอยดูว่าพวกเขายังจะก่อเรื่องยังไงได้อีก!”
ทั้งสามคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เห็นเหมียวอี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว รู้ว่าโน้มน้าวไม่ไหวแล้ว ฝูชิงจึงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถึงอย่างไรนายท่านก็เคยลงมืออย่างเหี้ยมโหดที่ตลาดสวรรค์มาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่เตรียมป้องกันเลยสักนิด พวกแค่เคลื่อนไหวกำลังพล พวกเขาก็จะตื่นตัวแน่นอน นายท่านเตรียมตัวจะทำยังไง?”
เหมียวอี้จึงตอบว่า “ตอนนี้พวกเรายังไม่ต้องเคลื่อนไหวกำลังพล และไม่ต้องเปิดเผยเรื่องเตรียมตัวลงมือให้ลูกน้องรู้ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเตรียมป้องกัน พวกเขาจัดงานที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท พวกเจ้าสองคนแค่ต้องเปลี่ยนทหารที่ลาดตระเวนแถวนั้นให้เป็นคนของตัวเอง ถ้าข้างในทำสำเร็จแล้ว ก็โจมตีเข้ามาได้เลย ควบคุมคนที่เหลืออยู่ในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท จะได้ไม่มีข่าวหลุดไปจนส่งผลกระทบในการลงมือตอนหลัง ใครฝ่าฝืนก็ฆ่าไม่ละเว้น! และพวกเจ้าก็ต้องรีบระดมกำลังพลทั้งสี่เขตเมืองเหมือนกัน ค้นยึดร้านค้าทุกร้านที่เกี่ยวข้องด้วยความเร็วเหมือนฟ้าผ่า…”
หลังจากวางขั้นตอนการลงมือโดยละเอียด อิงอู๋ตี๋กล่าวอย่างลังเลว่า “ผู้บัญชาการมู่หรงล่ะ? นางคุมเขตเมืองเหนือมานาน บวกกับคนที่หนุนหลังนางอยู่ ถ้านางไม่ให้ความร่วมมือขึ้นมา อาศัยคนที่เรายัดไว้ข้างกายนางก็อาจจะระดมพลเขตเมืองเหนือไม่ได้ทั้งหมด เดิมทีกำลังคนของเราก็ไม่ค่อยพออยู่แล้ว เกรงว่าผลลัพธ์ในการปราบครั้งนี้จะลดลงเยอะมาก”
เหมียวอี้ค่อยๆ หลับตาลง แล้วตอบช้าๆ ว่า “ถ้านางไม่ให้ความร่วมมือ ฆ่า! แล้วถือหัวนางพร้อมกับคำสั่งข้าไประดมพล!”
ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง สวีถังหรานเตือนอย่างระมัดระวังว่า “เฉาว่านเสียงสามีนางคือลูกน้องคนสนิทของท่านโหวเทียนหยวน ท่านโหวเทียนหยวนสามารถควบคุมปี้เยว่ฮูหยินได้ ถึงตอนนั้น…”
“เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าวางหมากไว้แล้ว!” เหมียวอี้โบกมือช้าๆ บอกใบ้ให้พวกเขาไปจัดการได้เลย
เขาไม่กลัวว่าเฉาว่านเสียงจะทำให้ท่านโหวเทียนหยวนหวั่นไหวได้ ตอนนี้ชีวิตของปี้เยว่ฮูหยินอยู่ในมือเขา ถ้าเรื่องนี้ลุกลาม เขาก็จะทำให้ปี้เยว่ฮูหยินกลายเป็นโจรกบฏแล้วดึงตัวมาอยู่ตรงหน้ากำลังพลตำหนักสวรรคืทันที ถ้าเขาผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ ก็จะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่ปี้เยว่ฮูหยินทันที บอกเพียงว่าเป็นคำสั่งของปี้เยว่ฮูหยิน เขาจะไม่เป็นอะไร กลับเป็นท่านโหวเทียนหยวนที่อาจจะเช็ดก้นตัวเองไม่ทันด้วยซ้ำ ยังคิดจะมาแทรกแซงทางนี้อีกเหรอ?
…………………………
[1] สุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น 图穷匕见 อุปมาว่าเมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด ความจริงถึงได้ปรากฏ