พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1276 เลือดนองเป็นแม่น้ำ
ประหารเดี๋ยวนี้! เป็นคำตอบที่ฟังดูเหมือนอดใจรอไม่ไหวแล้ว เหมือนกลัวว่าเวลาผ่านไปนานแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง!
ฝูชิงยืนอยู่บนบันไดหน้าประตูตำหนักคุ้มเมือง กำระฆังดาราในมือเงียบๆ จ้องมองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นดำเป็นพืด
“นายท่านพูดว่ายังไง?” อิงอู๋ตี๋ถาม
“ประหารเดี๋ยวนี้!” ฝูชิงพ่นคำตอบออกมาอย่างช้าๆ
อิงอู๋ตี๋ขมวดคิ้ว แต่สวีถังหรานกลับไม่แยแส เดาะลิ้นสองทีแล้วบอกว่า “ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่สั่งมาแล้ว ก็ทำตามที่บอกแล้วกัน”
“ช้าก่อน!” มู่หรงซิงหัวพูดห้าม “ข้าต้องการยืนยันสักหน่อย” พูดจบก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้แล้ว
หลังจากติดต่อกันเสร็จ มู่หรงซิงหัวก็เงียบไป คำตอบที่นางได้รับไม่ต่างอะไรกับคำตอบที่ฝูชิงได้รับเลย
ทั้งสามเห็นนางไม่พูดอะไร จึงเข้าใจทุกอย่างแล้ว
อะไรเอ่ยสั่งคำเดียวเลือดนองเป็นแม่น้ำ? อำนาจไงล่ะ!
“ประหาร! ประหาร! ประหาร! ประหาร!”
ผู้บัญชาการใหญ่สี่เขตเมืองออกคำสั่งพร้อมกันด้วยเสียงดังก้อง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกอยู่ในความเงียบทันที
นี่กำลังจะฆ่าพวกเราเหรอ? คนที่กำลังคุกเข่าขวัญผวาแล้ว ไหนบอกว่าถ้ายอมให้จับแต่โดยดีแล้วสอบสวนพบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารแล้วจะปล่อยพวกเราไปไง ทำไมถึงสอบสวนเลยล่ะ?
กลุ่มคนที่มามุงดูยังอยากจะเห็นว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะลงโทษยังไง บางคนที่ยังไม่เคยเห็นหนิวโหย่วเต๋อมาก่อนยังอยากจะเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังหน้าตาเป็นอย่างไร ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้เห็นแม้แต่เงาของผู้บัญชาการใหญ่หนิว ก็มีคำสั่งประหารโผล่ออกมาแบบนี้แล้วน่ะเหรอ
ท่ามกลางกลุ่มคน บรรดาอนุภรรยาของผู้บัญชาการใหญ่หนิวพากันอกสั่นขวัญแขวนแล้ว
ฉึก! ลงดาบฟันศีรษะใบแรกกระเด็นทันที ในที่สุดคนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว โกลาหล ลุกลี้ลุกลุน
“ทำไมต้องฆ่าพวกเราด้วย? พวกเรามีความผิดอะไร?”
“บอกว่าถ้ายอมให้จับแต่โดยดีแล้วจะไม่ฆ่าพวกเราไม่ใช่เหรอ!”
“ไม่!”
เสียงร้องอุทานหวาดผวา เสียงกรีดร้องโหยหวน กังปะปนกันอยู่หน้าตำหนักคุ้มเมือง
ในที่สุดคนแปดพันกว่าคนที่กำลังคุกเข่าก็สูญเสียการควบคุม ต่อให้พลังอิทธิฤทธิ์จะถูกระงับไว้ แต่ก็อยากจะเอาชีวิตรอด พุ่งชนไปทั่วสารทิศอย่างบ้าระห่ำ
ตอนนี้พวกเขาสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์คอยช่วยเสริมไปแล้ว ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดา คนพุ่งใส่คน คนชนคน คนเบียดคน เบียดกันจนล้มลงพื้นแล้วโดนเหยียบ
พอคนแปดพันกว่าคนวิ่งพุ่งออกไปทั่วสารทิศ ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่เฝ้าคุมอยู่รอบๆ ก็โบกมือหนึ่งครั้ง ทหารสวรรค์ที่ยืนตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยถือทวนยาว ง้าวยาว ดาบยาวเข้าไปปะทะทันที คมของอาวุธต้อนรับกายเนื้อที่พุ่งออกมาแล้ว
ฉึกๆๆ! อาวุธแทงเข้าร่างกายที่มีเลือดเนื้อที่วิ่งพุ่งออกมา แทงเข้ากลางอกของคนที่วิ่งพุ่งออกมา ทหารจัดขบวนทัพดันคนที่แตกซ่านกลับเข้าไป ดันกลับเข้าไปในกรอบที่ทหารสวรรค์เฝ้าไว้สี่ด้าน
แกร๊งๆๆ! เสียงเกราะรบเสียดสีกันดังขึ้นพักหนึ่ง แล้วก็มีทหารสวรรค์อีกหลายร้อยคนชักดาบใหญ่ที่สะท้อนแสงสีขาวออกมา พวกเขาได้รับคำสั่งให้กระโดดเข้าไปในวงล้อม ควงดาบฟันซ้ายฟันขวา ฟันหนึ่งครั้งศีรษะก็กระเด็นขึ้นมาหนึ่งใบ เรียงแถวหน้ากระดานแล้วเดินฟันเข้าไปเรื่อยๆ เบื้องบนสั่งให้ประหาร เช่นนั้นก็แปลว่าต้องฟันศีรษะ!
เลือกสดกระจายมั่วไปหมด ศีรษะคนปลิวว่อน เสียงกรีดร้องน่าเวทนาดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ในที่สุดเสียงร้องก็เงียบลง ศพแปดพันกว่าร่างนอนเรียงอยู่ในที่เกิดเหตุ น้ำเลือดรินไหล เลือดนองเป็นแม่น้ำ ไหลไปทางถนนทั่วทุกทิศอย่างรวดเร็วเหมือนรอยแยก
ทหารสวรรค์ที่ตีวงล้อมเข้ามายังไม่แยกย้าย ในมือถืออาวุธและยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน ส่วนตรงกลางที่ถูกล้อมไว้ มีทหารสวรรค์หลายร้อยคนกำลังย่ำศพ เดินเหยียบกลับไปกลับมาอยู่ท่ามกลางกองเลือดเพื่อตรวจสอบ ถ้าพบว่ามีใครยังตายไม่สนิทก็จะลงดาบซ้ำ ป้องกันไม่ให้มีคนรอดชีวิตหนีไป
พอลมพัดวูบหนึ่ง กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นก็กระจายออกไป พัดไปยังกลุ่มคนที่ล้อมดูอยู่เงียบๆ ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกเหม็นจนตัวสั่น พอมองดูตำหนักคุ้มเมืองอันมืดครึ้มที่ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนอีก ก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ามีสัตว์ป่าดุร้ายตัวใหญ่แฝงตัวอยู่ในความมืด ทำให้คนตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว
ในตอนนี้ในขณะนี้ ทุกคนถึงได้เข้าใจอย่างแท้จริง ว่านายท่านของตำหนักมืดครึ้มที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างหากที่เป็นเจ้าของตลาดสวรรค์แห่งนี้อย่างแท้จริง ไม่ใช่พวกผู้จัดการร้านในสมาคมร้านค้าที่ทำตัวหยิ่งโอหังเพราะมีอำนาจอิทธิพลหนุนหลัง เมื่อนายท่านที่หลับลึกอยู่ในตำหนักหลังนี้ลืมตาตื่นขึ้นมา ทุกคนที่เคยดูถูกเหยียดหยาม ทุกคนที่เคยด่าทอเยาะเย้ยล้วนต้องจ่ายความขมขื่นทุกข์ทรมานเป็นสิ่งแปลกเปลี่ยน
ทุกคนมองไปที่ตำหนักคุ้มเมืองอีกครั้ง ในใจเกิดความหวั่นเกรงขึ้นหลายส่วน รู้สึกได้แล้วว่าอำนาจที่คุมพื้นที่นี้แทนตำหนักสวรรค์นั้นน่ากลัวขนาดไหน เมื่อออกคำสั่งคำเดียว เลือดก็ไหลนองเป็นแม่น้ำ!
อวิ๋นจือชิวกับสองพี่น้องหลางหลางหวนหวนยังดีหน่อย ถึงอย่างไรก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่จีเหม่ยลี่กับอนุภรรยาที่เหลือยังตะลึงค้างอยู่บ้าง ในที่สุดก็ได้รู้แล้วว่าเหมียวอี้คนที่พวกนางคลุกคลีอยู่ด้วยมีอีกด้านที่ต่างออกไป กระหายเลือด เหี้ยมโหด!
น้ำเลือดไหลรวมกันไปตกลงในคลองที่อยู่ริมถนน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเสียงน้ำหยดติ๋งๆ!
ฝูชิงหยิบระฆังดาราออกมมรายงานเหมียวอี้ : นายท่าน คนแปดพันสามร้อยหกสิบสองคนโดนโทษประหารชีวิตหมดแล้ว จัดการหมดแล้ว!
เหมียวอี้ที่พิงระเบียงเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งหันตัวกลับมา แล้วก้าวกลับเข้าไปใต้ชายคาในตึกศาลา มองดูศพที่อยู่ในโถงหลัก แล้วก็คนกลุ่มหนึ่งที่นั่งตัวสั่นเอามือกุมศีรษะอยู่ตรงนั้น เขากวาดมองด้วยสายตาเย็นเยียบสองสามรอบ ขณะกำลังจะออกคำสั่งบางอย่างกลับไป ใครจะคิดว่าหยางชิ่งจะส่งข้อความมาหาอีก
ฉินเวยเวยเห็นฉากสังหารในที่เกิดเหตุกับตาตัวเอง นางกังวลผลลัพธ์ที่จะตามมา จึงรีบติดต่อหยางชิ่งแล้ว
หยางชิ่งที่อยู่ทางพิภพเล็กรู้ทันทีว่าเรื่องจบลงแล้ว จึงรีบส่งข้อความมาถามถึงสถานการณ์ : นายท่าน สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?
เหมียวอี้ตอบ : เป็นอย่างที่คาดไว้ คนพวกนั้นเตรียมยอดฝีมือเอาไว้ลงมือเมื่อสบโอกาสจริงๆ…
หลังจากฟังสถานการณ์คร่าวๆ จบ หยางชิ่งก็รีบถามว่า : นายท่าน ในเมื่อทำไปแล้ว ก็อย่าได้ใจอ่อนปรานี รีบปิดปากคนที่อาจจะเปิดเผยสถานการณ์ในที่เกิดเหตุไปด้วยเลย!
เหมียวอี้เอียงหน้ามองหวงฝู่จวินโหรวที่หมอบสลบอยู่บนบันได พร้อมทำสีหน้าครุ่นคิด
เขาเองก็อยากจะฆ่าปิดปาก เขากำลังลองโน้มน้าวตัวเองว่าต้องการจะปิดปากหวงฝู่จวินโหรวไปด้วยกันเลยมั้ย แต่สุดท้ายก็ยังล้มเลิกความคิดทั้งๆ ใกล้จะตัดสินใจแบบนั้นไปแล้ว เป็นเพราะถ้าปล่อยให้นางรอดไปคนเดียวก็อาจจะทำให้คนสงสัย จึงให้ความเมตตาไปตามสถานการณ์ เห็นแก่หน้าราชินีสวรรค์ ตระกูลโค่วและสำนักลมปราณกับเป่าเหลียน จึงปล่อยโจวหราน อูหันซานและอวี้ซวีเจินเหรินไป ครั้งนี้เป็นการถือศีรษะไปค้นยึดร้านค้า ในเมื่อปล่อยสี่คนนี้ไปแล้ว ก็เท่ากับว่าไม่ค้นยึดร้านค้าสี่ร้านนั้นแล้วเช่นกัน
ในเมื่อไว้ชีวิตคนพวกนี้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าคนในคณะระบำอีก
เหมียวอี้ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะตอบกลับไปว่า : ช่างเถอะ คนพวกนี้ จะฆ่าหรือไม่ฆ่าก็ไม่สำคัญแล้ว
หยางชิ่ง : นายท่านพูดแบบนี้ได้ยังไง? คนพวกนี้เห็นเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุเองกับตา ถ้าเบื้องบนสืบสวนว่ายอดฝีมือที่ปกป้องนายท่านมาจากไหน นายท่านจะอธิบายยังไง?
เหมียวอี้ : ข้าต้องอธิบายด้วยเหรอ? ข้ามองทะลุแผนร้ายที่พวกเขาก่อกบฏลอบสังหาร ภายใต้สถานการณ์ที่คับขัน ข้าจึงจ่ายเงินจ้างคนมาคอยปกป้อง อธิบายแบบนี้ไม่ได้เหรอ? อาศัยแค่ข้อหาลอบสังหารอย่างเดียว ก็เป็นข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว!
ที่พิภพเล็ก หยางชิ่งที่เดินไปเดินมาอย่าในห้องร้อนใจจนทำได้เพียงส่ายหน้า
ฉินซีที่อยู่ข้างๆ เห็นแบบนั้นจึงถามว่า “เป็นอะไรไป? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เป็นเรื่องที่สามารถตัดปัญหาได้โดยสิ้นเชิงแท้ๆ แต่เขากลับปล่อยให้มีปัญหาอื่นมาแทรก ช่างเถอะๆ” หยางชิ่งเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วถอนหายใจยาว แล้วก็ส่ายหน้าอีก เขย่าระฆังดาราตอบว่า : นายท่านโปรดฟังข้าสักคำนะ ถ้านายท่านดึงดันจะปล่อยให้มีคนรอดชีวิต ตอนที่รายงานต่อเบื้องบนก็จำไว้ว่าอย่าเอ่ยเรื่องลอบสังหารอะไรอีก ห้ามเอ่ยถึงเด็ดขาด ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
เหมียวอี้ถาม : หมายความว่ายังไง?
หยางชิ่ง : การที่นำคนนอกเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในของตำหนักสวรรค์ เรื่องนี้จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ ท่านค้นยึดร้านค้าไปหลายร้อยร้าน ฆ่าคนไปหลายพันคน ถ้าอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาอยากโต้ตอบ ก็สามารถทำเรื่องเล็กน้อยให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่สถานภาพของนายท่านในปัจจุบันจะรับไหว นายท่านเป็นตัวแทนตำหนักสวรรค์มาคุมอาณาเขต ถ้าท่านรายงานขึ้นไปว่าสมาคมร้านค้าลอบสังหารท่าน ทั้งยังมีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ พฤติกรรมการลอบสังหารของสมาคมร้านค้าก็ไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฏ แบบนี้จะให้เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาทนได้ยังไง? ก็เป็นอย่างที่ข้าน้อยบอกไว้ตอนแรก เมื่อประสบกับเรื่องแบบนี้ ท่านจะให้ราชันสวรรค์จัดการยังไง? คิดว่านายท่านสำคัญกว่า หรือว่าขุนนางทั้งราชสำนักสำคัญกว่า? เรื่องแบบนี้ทำได้เพียงไม่สืบสาวเอาผิด ราชันสวรรค์เองก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน แต่ข่าวการลอบสังหารก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังไว้ ปล่อยให้มันแพร่ออกไป ปล่อยให้เรื่องการลอบสังหารนายท่านเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง! เพียงแต่นายท่านห้ามรายงานขึ้นไป ไม่อย่างนั้นจะเป็นการกดดันให้เบื้องบนหาทางลงไม่ได้ นายท่านรายงานแค่ข้อหาที่สมาคมร้านค้าฝ่าฝืนคำสั่งก็พอแล้ว อาศัยหลักฐานเรื่องที่สมาคมร้านค้าฝ่าฝืนคำสั่งมาหลายปี ไม่ยอมรับการควบคุมจากตำหนักสวรรค์ ก็เพียงพอที่จะอธิบายการกระทำในครั้งนี้ได้แล้ว สถานการณ์โดยรวมเอนเอียงมาทางฝั่งนายท่าน เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องพูดมากเกินไป แล้วนายท่านก็ไม่ต้องรายงานเรื่องลอบสังหารด้วย ขุนนางทั้งราชสำนักไม่ใช่คนโง่หูหนวกตาบอด พวกเขาย่อมเข้าใจเจตนาของนายท่านอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่มีใครมาเกาะแกะนายท่านซึ่งๆ หน้า ไม่เอาเรื่องที่นายท่านดึงคนนอกเข้ามายุ่งเรื่องภายในตำหนักสวรรค์กับเรื่องวางยาพิษมาเป็นข้ออ้างเล่นงาน ทุกคนจะปิดตาข้างเดียวแล้วปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ไม่อย่างนั้นถ้ากดดันให้นายท่านเอาเรื่องลอบสังหารมาเล่นงาน ก็มีแต่จะทำให้พวกเขาลำบากเอง นี่คือคำพูดที่มาจากใจจริงของหยางชิ่ง นายท่านรู้ใช่มั้ย?
ก่อนหน้านี้ที่เหมียวอี้นิ่งเงียบอยู่ริมทะเลสาบนานมาก ที่จริงเป็นเพราะกำลังคิดวนเวียนถึงผลร้ายต่างๆ ที่จะตามมา การจะฆ่าปิดปากพวกหวงฝู่จวินโหรวหรือไม่กลายเป็นกุญแจสำคัญ ตอนนี้พอได้ฟังคำพูดของหยางชิ่ง ก็เรียกได้ว่ากระจ่างเหมือนแหวกเมฆแล้วเห็นตะวัน ในใจปลอดโปร่ง
หลังจากจบการพูดคุยและเก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็เดินเข้าไปกลางกลุ่มคณะระบำที่กำลังตัวสั่นระริก แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “สมาคมร้านค้าวางแผนร้าย แอบซ่อนมือสังหารไว้รอลอบสังหารผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ พวกเจ้าก็เห็นกันหมดแล้ว! แต่เรื่องนี้ข้ามองออกตั้งแต่แรกแล้ว มองแผนร้ายนี้ออก เลยลงโทษประหารพวกโจรชั่วคาที่! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า กลับไปเถอะ! ท่านแม่สวี พาคนของท่านกลับไปเถอะ”
ท่านแม่สวีที่นั่งกอดเข่าด้วยความหวาดผวาเงยหน้ามอง พอเห็นเหมียวอี้พยักหน้าให้ กำลังจะปล่อยนางไปแล้วจริงๆ ก็ลุกขึ้นเรียกคนของหอกลิ่นสวรรค์ทันที “รีบไปๆ ทุกคนรีบไป อย่ามารบกวนการทำงานของผู้บัญชาการใหญ่”
ใช้เวลาไม่นาน กลุ่มนางระบำก็หนีไปหมดแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายกลุ่มนางระบำก่อนหน้านี้ รวมทั้งสาวงามที่ป้อนสุราให้เหมียวอี้ พวกนางโดนพิษกำเริบตายหมดแล้ว
พอเหมียวอี้โบกมือ โจวหราน อูหันซาน หวงฝู่จวินโหรว อวี้ซวีเจินเหรินก็ถูกลากออกไปหมด ถูกจับไปขังคุกใหญ่ชั่วคราว
หลังจากคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปหมดแล้ว เหมียวอี้ถึงได้หันตัวมาบอกพวกเชียนหลัวว่า “พวกท่านไม่ควรอยู่ข้างกายข้านาน รอจนประตูเมืองเปิดแล้ว พวกท่านก็ออกไปให้ไกลทันที”
ทั้งสี่พยักหน้าเบาๆ รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร ถ้าอยู่ต่ออีกแล้วตำหนักสวรรค์สืบเจอ ก็จะทำให้ปราสาทดำเนินนภาลำบากไปด้วย
ใครจะคิดว่าประโยคถัดไปที่เหมียวอี้พูดออกมา จะทำให้ทั้งสี่อารมณ์เสียทันที “พวกท่านไม่ต้องห่วงนะ ตราบใดที่ข้าไม่เป็นอะไร เรื่องนี้ก็จะไม่สาวไปถึงตัวปราสาทดำเนินนภาแน่นอน”
หมายความว่ายังไง? ทั้งสี่ทำสายตาแปลกๆ ทันที นี่คิดว่าพวกเราจะฆ่าคนปิดปากเหรอ แอบบอกใบ้เหรอว่าเจ้าทิ้งแผนสำรองเอาไว้?
ตอนที่เหาะจากฟ้าลงมาเหยียบนอกตำหนักคุ้มเมือง เหลือเพียงเหมียวอี้คนเดียว เขาหันกลับมามองศพที่กองเต็มพื้น ถนนหนทางที่มีเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ทิ้งไว้เพียงเงาหลังให้ทุกคน มีคนมากมายที่มองเห็นหน้าเขาไม่ชัดด้วยซ้ำ
“ผู้บัญชาการใหญ่!” ผู้บัญชาการทั้งสี่ทำความเคารพพร้อมกัน
เหมียวอี้มองศพกงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังบนพื้น แล้วถามว่า “นี่มันเรื่องอะไร?”
“ตอบผู้บัญชาการใหญ่ สองคนนี้เลวร้ายมาก…” สวีถังหรานย่อมปั้นเรื่องราวมาเล่าให้ฟังอยู่แล้ว
เหมียวอี้มองศพลูกน้องคนสนิทสองคนของสวีถังหราน แล้วก็มองสวีถังหรานด้วยแววตาล้ำลึกแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรมากอีก เพียงกำชับว่า “รายงานเรื่องนี้ขึ้นไปอย่างละเอียด” พูดจบก็ก้าวยาวเดินเข้าประตูตำหนักไปโดยตรง
“รับทราบ!” สวีถังหรานกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งตามหลังเขาไป
“อา!” ทว่าในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงร้องตกใจดังขึ้น
เหมียวอี้หันขวับ รู้สึกตกใจมากเช่นกัน เห็นเพียงนักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่งคนหนึ่งโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ กระโจนเข้าใส่เขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ เร็วจนเหมียวอี้ไม่มีทางหลบพ้น
ชั่วพริบตานั้น เหมียวอี้หันตัวแล้วกางแขน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ลูกธนูดาวตกพลันปรากฏอยู่ในมือ รีบนั่งท่าควบม้าพร้อมดึงสายธนู บนธนูและลูกศรเกิดเป็นลำแสง มีเสียงระเบิดดังปั้งหนึ่งที ลำแสงสายหนึ่งพลันยิงออกมา
…………………………