พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1280 น่ารังเกียจยิ่งกว่าโจรกบฎ!
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร?”
“เดี๋ยวกลับไปแม่ข้าต้องถามเรื่องที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทแน่นอน ข้าจะพูดยังไงดี?”
“เจ้าพูดไปตามความจริงก็พอแล้ว คนเห็นเยอะขนาดนั้นปิดบังไม่ไหวหรอก แต่ไม่ต้องบอกเรื่องที่เจ้าสมคบทำเรื่องไม่ดีกับข้าก็พอแล้ว”
“เชอะ! ผีน่ะสิที่สมคบทำเรื่องไม่ดีกับเจ้า” หวงฝู่จวินโหรวสบถด่า นางไม่กล้าให้มารดารอนาน ทิ้งเหมียวอี้เอาไปและออกไปแล้ว
พอออกจากคุกใต้ดิน เหมียวอี้ก็เรียกเป่าเหลียนให้ไปส่งนาง ขณะมองเงาหลังนางเดินออกไป เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ ในปีนั้นตอนเจอหวงฝู่ตวนหรง ผู้จัดการใหญ่ร้านค้าสมาคมวีรชน เขาก็มองออกแล้วว่าหวงฝู่จวินโหรวกลัวมารดาที่สุด ดังนั้น…ยังคิดจะไม่ออกไปอีกเหรอ?
ร้านค้าสมาคมวีรชนเองก็มีคนรอข่าวอยู่นอกตำหนักคุ้มเมืองตลอด พอเห็นหวงฝู่จวินโหรวออกมา คนสองสามคนก็เข้ามาถามทันที “ผู้จัดการ ท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
“ไม่เป็นอะไร!” หวงฝู่จวินโหรวเหลียวซ้ายแลขวา แล้วถามอย่างกังวลเล็กน้อยว่า “แม่ข้าล่ะ? นางมาด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“ผู้จัดการใหญ่?” คนงานคนหนึ่งงุนงง แล้วถามกลับว่า “ผู้จัดการใหญ่มาเหรอ?”
หวงฝู่จวินโหรวงงไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนอย่างฉับพลัน เข้าใจอะไรบางอย่างทันที หันขวับมองไปทางตำหนักคุ้มเมือง แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพึมพำว่า “สารเลว!”
นางยกกระโปรงเตรียมจะกลับไปคิดบัญชี แต่ใครจะคิดว่าทหารยามที่เฝ้าอยู่ตรงตีนบันไดจะยกอาวุธมาขวางตรงหน้านาง พร้อมเตือนว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย!”
“…” ใบหน้างามของหวงฝู่จวินโหรวค่ำเครียดลงในชั่วพริบตาเดียว ตอนนี้รู้ตัวแล้ว ไม่ว่าใครก็เข้ามาที่ตำหนักคุ้มเมืองไม่ได้ง่ายๆ อีก เมื่อออกมาแล้วอยากจะเข้าไปอีกก็เป็นเรื่องยากแล้ว สุดท้ายก็ยังตกหลุมพรางไอ้สารเลวนั่น!
สิ่งที่ทำให้นางเดือดดาลยิ่งกว่านั้นก็คือ ขนาดมุขที่เอาไว้หลอกเด็กสามขวบก็ยังเอามาหลอกนางได้ หรือว่าชาตินี้ตนจะตกอยู่ในกำมือไอ้สารเลวนั่นแล้ว…
ตำหนักสวรรค์ วังสวรรค์
ในศาลาที่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอกไกลๆ มีเสียงระฆังทองที่บางครั้งก็ต่ำบางครั้งก็สูงแผ่วดังมาเป็นระยะ ได้ยินแล้วเหมือนได้ชำระล้างจิตใจ
ตำหนักดาราจักร สถานที่ควบคุมตะวันจันทราและฟ้าดิน เป็นจุดศูนย์กลางของตำหนักสวรรค์ บรรยากาศมงคลล่องลอยอยู่ด้านบน
บนหลังคาโค้งที่งดงามมีหงส์สีรุ้งบินวนคู่กัน ใต้เสาสูงของชายคาใต้ตำหนักอันงดงามประณีตมีมังกรพันอยู่
ในตำหนัก บนชั้นวางของที่ประณีตงดงามรอบด้าน หนังสือประหลาดโบราณซ่อนอยู่ที่นี่เป็นจำนวนเก้าในสิบ ฟ้าดินที่หมุนวนโผล่บนเพดานหลังคาในตำหนักราวกับภาพฝันมายา ตรงกลางระหว่างท้องฟ้าและผืนดินมีเก้าอี้ยาวโบราณตัวหนึ่ง ประมุขชิงที่สวมเครื่องแบบและมงกุฎนั่งอยู่ด้านหลัง ในมือกำลังอ่านแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง
ตรงข้ามกัน ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนกำลังยืนอยู่เงียบๆ
“มีเท่านี้น่ะเหรอ?” ประมุขชิงที่เงียบอยู่นานเงยหน้าขึ้นถามซือหม่าเวิ่นเทียน
ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า ” ตอนนี้ยังมีเท่านี้ขอรับ ร้านค้าสมาคมวีรชนของดาวเทียนหยวนส่งข่าวมาหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ ตอนเพิ่งจะมาถึงตำหนักดาราจักรก็ได้ข่าวล่าสุดมา หวงฝู่จวินโหรว โจวหราน อูหันซานและอวี้ซวีนั้นถูกหนิวโหย่วเต๋อปล่อยตัวแล้ว ไม่ได้ประหารขอรับ!”
ประมุขชิงที่มีผมขาวและผมดำแซมกันทำสายตาเย็นเยียบ แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ข้าไม่ได้ถามเรื่องไร้สาระแบบนี้ กลุ่มข้าทาสที่โลภมากไม่รู้จักพอจนทำลายชื่อเสียงอันดีงามของตำหนักสวรรค์พวกนั้น จะตายก็ตายไปสิ ข้าถามว่ามือสังหารที่ลอบฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตัวแทนตำหนักสวรรค์คือใคร!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้า “หลังจากมือสังหารถูกหนิวโหย่วเต๋อฆ่าตาย ก็ถูกลูกน้องของเขาสับจนเละเป็นเนื้อบด ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นใครก็ค่อนข้างยากขอรับ มีความเป็นไปได้สูงว่าเบาะแสเดียวที่มีในตอนนี้จะเป็นสมบัติของมือสังหารที่อยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ บางทีอาจจะพบเบาะแสอะไรได้นิดหน่อยขอรับ”
ประมุขชิงเงยหน้ามองเพดานที่เป็นดาราจักร “นอกตำหนักคุ้มเมือง ภายใต้การจับตาดูของคนมากมาย แต่ลอบสังหารผู้บัญชาการใหญ่ที่คุมอาณาเขตแทนตำหนักสวรรค์อย่างโจ่งแจ้ง ใจกล้าไม่เบาจริงๆ! เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือใคร?”
“ตอบยากขอรับ มีความเป็นไปได้หลายอย่าง” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ
ประมุขชิงจ้องท้องฟ้าด้านบนพลางถามอย่างแปลกใจ “หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งจะค้นยึดร้านค้าของผู้มีอำนาจไปหลายร้อยร้าน ทั้งยังสังหารข้าทาสของผู้มีอำนาจไปหลายร้อย เจ้าว่าจะเกี่ยวข้องกับขุนนางคนไหนในราชสำนักหรือไม่?”
“ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก่อนที่ความจริงจะกระจ่าง ก็ไม่สะดวกจะตัดสินจริงๆ ขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ
ประมุขชิงก้มหน้าอีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยสายตาเย็นเยียบกดดัน “เจ้ามีหน้าที่สนใจทิศทางการเคลื่อนไหวของผู้มีอำนาจในราชสำนัก อย่าบอกนะว่าไม่พบความผิดปกติอะไรเลย?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะ “ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีทิศทางการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติขอรับ”
ประมุขชิงเอียงหน้ามองเกาก้วน “เกาก้วน เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”
เกาก้วน “เพิ่งได้รู้เรื่องนี้จากซือหม่าเช่นกันขอรับ ข้าน้อยยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด ไม่อาจตัดสินได้”
ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกอีกว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยกลับรู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่ขุนนางใหญ่ๆ ในราชสำนักจะทำเรื่องแบบนี้ เรื่องนี้หนิวโหย่วเต๋อสร้างสถานการณ์ขึ้นเองรึเปล่า จะได้ทำให้ตัวเองพ้นจากภาวะลำบากที่ล้างเลือดตลาดสวรรค์ได้ง่ายๆ?”
ประมุขชิงเหล่ตาถาม “เจ้ากำลังหมายความว่า เขากำลังจงใจหาเรื่องตัวเอง จากนั้นก็หาตัวนักพรตบงกชรุ้งสักคนมาตายแทนเขาเพื่อกำจัดปัญหา? ทำให้สุดท้ายต้องล่วงเกินผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักอีก จากนั้นอนาคตตัวเองก็ถูกทำลาย เวิ่นเทียน เจ้าว่าแบบนี้จะยุ่งยากหรือไม่ยุ่งยาก?”
“…” ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดไม่ออก คิดในใจว่า ในเมื่อท่านดึงดันจะพูดแบบนี้ให้ได้ คิดไปในทางอื่น จะสงสัยทั้งคนในคนนอกให้ได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
“มีคนบอกว่าเขาสร้างคุณูปการ ข้าก็ชมว่าเขาสร้างวีรกรรมในการสู้รบภายใต้การเข่นฆ่าที่นองเลือด พอมีคนบอกว่าเขาทำงานอย่างยากลำบาก ข้าก็ชมว่าคนที่ติดตามข้าบุกยึดใต้หล้าก็ลำบากทำงานเหมือนกัน เมื่อมีคนต้องการความร่ำรวย ข้าก็ให้ความร่ำรวยกับพวกเขา เมื่อมีคนต้องการอำนาจ ข้าก็ให้อำนาจพวกเขา! ข้า หวังว่าพวกเขาจะสามารถพร้อมใจกันทำงานร่วมกับข้า ร่วมกันสร้างอาณาจักรที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตลอดกาล แต่ความเมตตาของข้าแลกได้อะไรกลับมาล่ะ? อ่อนแอไร้ความสามารถยังไม่เท่าไร ยังสามารถทุ่มเทกำลังความคิดบำรุงซ่อมแซมได้ แต่ตอนนี้เกรงว่าแม้แต่กติกาพื้นฐานก็มีบางคนรักษาไม่ได้แล้ว เหยียบย่ำกฎสวรรค์อย่างโจ่งแจ้ง ไม่รู้เชียวหรือว่านี่คือการทำลายรากฐานของตัวเอง? ไม่รู้เชียวหรือว่ากฎสวรรค์ที่สร้างไว้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา? คนประเภทนี้น่ารังเกียจยิ่งกว่าโจรกบฎเสียอีก!”
ปั้ง! ประมุขชิงตบโต๊ะลุกขึ้นยืน เดินวนรอบโต๊ะยาวออกมา เดินมาตรงหน้าเกาก้วน เอามือไขว้หลังสองข้าง เอนตัวมาข้างหน้าช้าๆ ใบหน้าแทบจะติดกับหน้าของเกาก้วน แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ทูตขวาเกา ถ้าไม่รู้ชัดก็ไปสืบ! เจ้าไปสืบด้วยตัวเอง ถ้าสืบเจอจริงๆ ว่าเกี่ยวข้องกับขุนนางใหญ่คนไหน ข้าก็ไม่อยากเห็นเขาอยู่ในราชสำนักอีก และยิ่งไม่อยากได้ยินคำพูดร้องขอความเมตตาไร้สาระด้วย ถือคำสั่งของข้าไประดมพลจับกุมได้เลยประหารเก้าชั่วโคตร! ข้าต้องการให้กำจัดทั้งร่างกายทั้งวิญญาณไปเก้าชั่วโคตร อย่าได้ผุดได้เกิดอีกตลอดไป!”
“น้อมรับคำสั่ง!” หลังจากเกาก้วนกุมหมัดรับคำสั่ง ก็ถามอีกว่า “ฝ่าบาท! เรื่องร้านค้าหลายร้อยถูกค้นยึด ต้องสืบด้วยหรือไม่ขอรับ?”
“เรื่องที่แบ่งให้อยู่ใต้อำนาจราชินีสวรรค์ ก็ให้ราชินีสวรรค์จัดการเอง!”
ตำหนักนารีสวรรค์ บนตึกศาลา ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังยืนพิงระเบียงชมทิวทัศน์อันงดงามในสวน
เอ๋อเหมย หญิงรับใช้ประจำตัวรีบขึ้นมาบนตึก เข้ามาใกล้แล้วกระซิบบอกด้วยเสียงต่ำ “พระนาง เป็นอย่างที่คาดไว้เพคะ ฝ่าบาทรีบเรียกทูตซ้ายทูตขวาเข้าไปในตำหนักดาราจักร จากนั้นทูตขวาเกาก็รีบร้อนออกไป”
“เกาก้วน…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วใช้สมาธิครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างไม่เกรงกลัวปัญหาความยุ่งยาก ทำไมไม่ได้รับบทเรียนยาวๆ เสียบ้าง หรือคิดว่าตัวเองเป็นอมตะฆ่าไม่ตายหรือไง? จบเรื่องหนึ่งก็สร้างอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งยังก่อเรื่องใหญ่ขึ้นด้วย เหมือนกลัวว่าฝ่าบาทจะไม่รู้ว่าเขาชื่อเสียงโด่งดังอย่างนั้นแหละ เขาไม่กลัวความยุ่งยาก แต่ข้ากลัวความยุ่งยาก เฮ้อ! มีอนาคตที่ดีรออยู่แล้วแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นคุณค่า เป็นจอมก่อเรื่องแบบนี้แล้วใครจะกล้าใช้งานเขาล่ะ? ถ้ารู้แต่แรกคงปล่อยเขาไปให้สิ้นเรื่อง แค่นักพรตบงกชทองเล็กๆ คนเดียว ข้าจะเก็บเขาไว้ทำไมกัน”
“ตอนนี้กลายเป็นเผือกที่ร้อนลวกมือแล้ว ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยแทบไม่ทัน เกรงว่าส่งให้ใครก็คงไม่มีใครกล้ารับแล้ว” เอ๋อเหมยกล่าว
“ตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจเขา กลับไปถามเจตนาฝ่าบาทก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ขณะที่พูดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มองไปรอบๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ไปบอกท่านพ่อว่าเรื่องนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามแล้ว ฝ่าบาทให้เกาก้วนเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้แล้ว! รีบให้เขาไปถามพวกลูกน้อง ดูว่าในบ้านมีใครทำมั้ย ถ้าเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้วจริงๆ ก็ต้องรีบแก้ไขเรื่องนี้ให้สะอาดแซงหน้าทูตขวาเกา ส่วนเรื่องลอบสังหารที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทอะไรนั่นก็ลือออกไปจนทั่วแล้ว ตรงกับช่องโหว่นี้พอดี ตระกูลเซี่ยโห้วต้องแสดงท่าทีและจุดยืนให้ชัดเจน!”
“เพคะ!”
“แล้วอีกอย่าง นางตัวดีที่มาใหม่นั่น อาศัยว่าหน้าตาสวยเข้าหน่อยก็ได้ค้างอยู่กับฝ่าบาทหลายคืน ไม่รู้จักฝ่าสูงแผ่นดินต่ำ ได้ยินสนมหลี่บอกมา ว่านางอยากจะคลอดโอรสสวรรค์ให้ฝ่าบาท เชอะ! ได้ยินว่าตระกูลของนางตัวดีนั่นได้หน้าได้ตามาก งั้นก็บอกให้ท่านพ่อช่วยดูแลสักหน่อยแล้วกัน ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าลูกสาวที่มีความผิดจะคลอดโอรสสวรรค์ให้ฝ่าบาทได้ยังไง!”
“จะจำไว้เพคะ!”
ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ หอสามรากฐาน ที่ด้านหลังโต๊ะยาวตัวหนึ่ง อ๋องสวรรค์โค่วหลิงซวีที่เป็นหนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์กำลังพิงเก้าอี้หลับตาพักผ่อน
โค่วเจิง โค่วฉิน โค่วเหมี่ยนสามพี่น้องยืนก้มหน้าด้วยท่าทางจริงจัง ไม่รู้ว่าการที่ท่านพ่อมายังหอสามรากฐานกะทันหัน แถมหลังจากเรียกพวกเขาสามพี่น้องมาแล้วก็หลับตาพักผ่อนแบบนี้หมายความว่าอย่างไร
หลังจากศึกษาเจตนาของบิดาอย่างละเอียดแล้ว โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ก็ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านพ่อมาที่นี่เพราะเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อโดนลอบสังหารหรือขอรับ?”
อ๋องสวรรค์โค่วยังคงหลับตาไม่พูดอะไร สามพี่น้องมองหน้ากันเลิกลั่ก ทำได้เพียงเงียบงัน
ผ่านไปไม่นาน ผู้เฒ่าถังพ่อบ้านที่ติดตามรับใช้อ๋องสวรรค์โค่วมาตลอดก็มาถึง เดินตรงมาข้างกายอ๋องสวรรค์โค่วที่กำลังหลับตา แล้วรายงานเบาๆ ว่า “นายท่าน ทางวังสวรรค์ส่งข่าวกลับมา ว่าทูตซ้ายทูตขวาเข้าไปที่ตำหนักดาราจักร จากนั้นเกาก้วนก็รีบร้อนออกไปแล้วขอรับ”
“ฝ่าฝืนข้อห้ามแล้วล่ะสิ!” ในที่สุดอ๋องสวรรค์โค่วก็ลืมตาขึ้น นั่งตัวตรงแล้วถามว่า “เรื่องลอบสังหารไม่เกี่ยวกับตระกูลโค่วของพวกเราใช่มั้ย?”
ลูกชายทั้งสามคนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วโค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ก็ตอบว่า “ท่านพ่อ ความสัมพันธ์ของเรากับหนิวโหย่วเต๋อดีมาตลอด เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ถึงแม้หนิวโหย่วเต๋อจะจับคนของร้านเราไป แต่ก็เป็นแค่ฟ้าร้องเสียงดังที่เกิดฝนตกนิดเดียว เรียกได้ว่าตระกูลโค่วไม่ได้เสียหายอะไรเลยสักนิด พวกเราจำเป็นต้องลงมือกับเขาด้วยเหรอ?”
อ๋องสวรรค์โค่วพยักหน้า “ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน กลัวก็แต่ลูกน้องเบื้องล่างที่โลกทัศน์แคบจะอยากแสดงความจงรักภักดี ต้องตรวจสอบไว้สักหน่อย ถ้ามีเรื่องอะไรจะได้อุดรูรั่วได้สะดวก ต้องรีบทำเรื่องนี้ให้เหมาะสมนำหน้าเกาก้วน ไอ้สารเลวเกาก้วนนั่นมันไม่ไว้หน้าข้าหรอก ไม่คุ้มที่จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
โค่วเจิงกล่าวว่า “พอเกิดเรื่องขึ้น ข้าก็ถามทุกคนที่อยู่ในจวนทันที ตระกูลเราไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ ตราบใดที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจวนตระกูลโค่ว ส่วนขุนนางระดับล่างลงไป ต่อให้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ แต่ก็สาวมาไม่ถึงตระกูลโค่วอยู่ดี เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เดี่ยวกลับไปลูกจะตรวจสอบทั้งจวนซ้ำให้แน่ใจอีกรอบ”
จู่ๆ โค่วฉินที่เป็นลูกชายคนรองก็ถามว่า “ท่านพ่อ ท่านว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะหนิวโหย่วเต๋อจงใจเตรียมการลอบสังหารไว้เองรึเปล่า จะได้หลุดพ้นจากปัญหานี้?”
โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่บอกว่า “เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าเตรียมการลอบสังหารไว้จริงๆ คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่มือสังหารทิ้งกำไลเก็บสมบัติเอาไว้หรอก ทำให้ตายแบบไม่มีหลักฐานอะไรเลยถึงจะปลอดภัยที่สุด ตอนนี้ทุกคนกำลังจับจ้องไปที่กำไลเก็บสมบัติวงนั้น นี่ไม่ใช่การจงใจสร้างปัญหาให้ตัวเองหรอกเหรอ คงไม่ใช่เขาที่เตรียมเรื่องนี้เอง”
โค่วฉินพยักหน้าเบาๆ เขาเข้าใจแล้ว
…………………………