พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1283 ฆ่าปิดปากไม่ได้
สถานการณ์เป็นแบบนี้ ผังก้วนกับเฉินหวยจิ่วเรียกได้ว่าฟังจนอึ้งแล้วอึ้งอีก สีหน้าก็เรียกได้ว่าอัศจรรย์ใจมาก ทั้งสองนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าฮูหยินไร้สมองคนนี้จะทำเรื่องที่ซับซ้อนวกวนขนาดนี้ลับหลังได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะปิดบังพวกเขาสองคนไว้
เฉินหวยจิ่วกลืนน้ำลาย อดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถามไปตรงๆ เลยว่า “ฮูหยิน ท่านบงการให้โจวเฝิงอานฆ่าหนิวโหย่วเต๋อ ท่านติดต่อเขาด้วยตัวเองหรือเปล่า?”
จาหรูเยี่ยนพยักหน้าอย่างอ่อนปวกเปีนวก “ใช่! ถึงยังไงหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ การทำเรื่องแบบนี้ ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี ไม่สะดวกจะยืมมือคนอื่น นอกจากข้าแล้ว ก็น่าจะไม่มีใครรู้เรื่องที่โจวเฝิงอานไปลอบสังหาร”
ฟังดูจากคำพูดนี้แล้ว ฮูหยินท่านนี้ก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน แต่บ่าวชราอย่างเฉินหวยจิ่วกลับเบิกตากว้างอ้าปากค้าง มองฮูหยินท่านนี้ด้วยสายตาเหมือนมองสัตว์ประหลาด แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ก็หมายความว่า ในมือของโจวเฝิงอานมีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับฮูหยินโดยตรง?”
จาหรูเยี่ยนพยักหน้าอีกครั้ง
“เจ้า…” ผังก้วนชี้นางอย่างไม่รู้ว่าจะด่าอย่างไรดี จู่ๆ ก็กางนิ้วทั้งห้า พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งม้วนซัดซาดออกมา ดูดจาหรูเยี่ยนที่ไม่กล้าเข้าใกล้ให้เข้ามา แล้วใช้ฝ่ามือตบหน้านางอย่างแรงหนึ่งที
“อ๊า!” จาหรูเยี่ยนร้องตกใจ
“นายท่าน!” เฉินหวยจิ่วลงมือได้ทันเวลา คว้ามือผังก้วนเอาไว้พลางส่ายหน้าเกลี้ยกล่อม แล้วเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงว่า “ต่อให้นายท่านจะฆ่าฮูหยิน แต่ก็ลงมือในเวลานี้ไม่ได้ ถ้าตอนนี้นายท่านทำให้ฮูหยินบาดเจ็บ นั่นก็เท่ากับว่ารับสารภาพเองโดยไม่ต้องบีบบังคับ ที่จวนของเรามีสายลับที่เป็นลูกน้องของซือหม่าเวิ่นเทียนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดิมทีฮูหยินก็มีความแค้นกับหนิวโหย่วเต๋ออยู่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าฮูหยินตายตอนนี้ หรือโดนโจมตีบาดเจ็บ ก็เท่ากับว่านายท่านหาเรื่องใส่ตัว!”
ตอนยังไม่พูดแบบนี้ก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอพูดแบบนี้ออกมา ก็ทำให้ผังก้วนโมโหจนเหลือทน ผู้หญิงโง่คนนี้ก่อเรื่องที่ทำให้โดนประหารทั้งโคตรได้ แต่ไม่น่าเชื่อว่ายังมียันต์ป้องกันตัวอีก ขนาดตนยังแตะต้องนางไม่ได้ แบบนี้มันเรียกว่าหลักการอะไรกัน? สงสัยจะมีคนที่เกิดมาแล้วได้เสพสุขโดยไม่ต้องคิดมากอะไรอยู่จริงๆ ส่วนบางคนนั้นเกิดมาเพื่อคอยเป็นห่วงเป็นกังวล
ที่บ่าวชราพูดก็มีเหตุผล ผังก้วนจำเป็นต้องวางมือลง แต่กลับโมโหจนใบหน้าขาวซีด โมโหจนกล้ามเนื้อบนใบหน้าสั่นกระตุก “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเขาเป็นขุนนางที่รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ แต่เจ้ายังกล้าลอบสังหารอย่างโจ่งแจ้งอีกเหรอ? แถมเจ้ายังกล้าติดต่อกับมือสังหารโดยตรงอีก เจ้ารู้รึเปล่าว่าทำแบบนี้เท่ากับทิ้งหลักฐานที่แน่นหนาเอาไว้?”
จาหรูเยี่ยนกล่าวอย่าตกใจกลัวว่า “โจวเฝิงอานตายไปแล้ว เท่าที่ข้ารู้มา ศพของเขาก็โดนฟันจนเละเป็นเนื้อบดแล้วด้วย ใครจะจำได้ล่ะ? ส่วนระฆังดารา นอกจากโจวเฝิงอานที่สามารถติดต่อข้าได้ คนอื่นก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี ถ้าอยากจะสืบก็สืบมาไม่ถึงตัวข้าหรอก”
“เฮ้อ!” เฉินหวยจิ่วก้มหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนหมดอาลัยตายอยาก ดูออกเลยว่าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิง ถ้าเปลี่ยนเป็นลูกน้องคนอื่น เขาต้องตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวแน่
“โอ้สวรรค์เอ๋ย! ข้าแทบจะโดนความโง่ของนางตัวดีอย่างเจ้าทำให้โมโหตายแล้ว! คนอื่นไม่มีปัจจัยแบบนั้นให้สืบเจอได้ แต่ทูตขวาตรวจการตำหนักสวรรค์อย่างเกาก้วนจะสืบไม่ได้เหมือนกันเหรอ? เจ้าไม่คิดดูบ้างเหรอว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่ใช้จดหมายติดต่อกับเจ้า ตราอิทธิฤทธิ์ที่เจ้าลงไว้ในจดหมายที่ใช้ติดต่อกับพวกฮูหยินที่กินอิ่มแล้วไม่มีงานทำมีน้อยเหรอ? อาศัยแค่บัตรเชิญที่ส่งไปก็มีไม่น้อยแล้ว เจ้าสามารถเก็บของพวกนั้นกลับคืนมาหมดได้รึไง? คนทั่วไปทำไม่ได้ แต่อาศัยอำนาจของตำหนักสวรรค์ ถ้าอยากจะได้ตราอิทธิฤทธิ์ของเจ้า คิดว่ามันยากนักเหรอ? ขอเพียงเปรียบเทียบตราอิทธิฤทธิ์ในระฆังดารา ถึงตอนนั้นนางตัวดีอย่างเจ้าจะไปซ่อนที่ไหน?” ผังก้วนโมโหจนแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนจะอาละวาด หอบหายใจอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์อะไรแล้ว พูดตวาดจนน้ำลายกระเด็นต่อไปว่า “แล้วอีกอย่าง เจ้ากล้ารับประกันมั้ยว่าบนตัวโจวเฝิงอานไม่มีของที่สามารถยืนยันตัวตนของเขาได้? ขอเพียงสืบออกมาว่าเป็นข้าทาสของตระกูลจา ต่อให้บนตัวเขาจะไม่มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับเจ้า แต่อาศัยความแค้นของเจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อ เจ้าก็หนีไม่พ้นหรอก ทุกคนของจะต้องโดนเจ้าลากลงน้ำไปด้วยแน่นอน!”
“งั้นจะทำยังไงดีล่ะ?” จาหรูเยี่ยนถามอย่างตกใจ เดิมทีนางคิดว่าจะไม่มีช่องโหว่อะไร ตอนนี้ถึงได้พบว่มีช่องโหว่ใหญ่มาก ตอนนี้หวาดกลัวอย่างถึงที่สุดแล้ว
“ทำยังไงเหรอ?” ผังก้วนด่าอย่างรุนแรง “สมองเจ้าไปงอกอยู่บนหน้าอกกับก้นของเจ้าหมดแล้วเหรอ? ถ้าวางกลอุบายไม่ไหวก็อยู่ในโอวาทหน่อยมันจะตายรึไง?”
จาหรูเยี่ยนตกอยู่ในความตระหนกตกใจกลัวอย่างถึงที่สุด มองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลพราก สะอึกสะอื้นขอความเห็นใจ “นายท่าน ทูตขวาตรวจการเกาก้วนขึ้นชื่อว่าเป็นผู้พิพากษาหน้าตาย ถ้าตกอยู่ในมือเขาข้าจะต้องตายแน่นอน นายท่าน ข้ายังไม่อยากตาย ข้ายังอยากจะปรนนิบัตินายท่านไปทั้งชีวิต นายท่านต้องหาทางช่วยข้านะ! นายท่าน ถ้าไม่มีตระกูลจาช่วยเหลือท่านก็ไม่มีวันนี้เหมือนกัน ตอนที่ท่านพ่อข้าฝากฝังข้าไว้กับท่าน ท่านก็รับปากแล้วว่าจะดูแลข้าไปทั้งชีวิต”
มาพูดสิ่งนี้ในตอนนี้ก็เหมือนเอาน้ำมันมาราดบนกองไฟ เฉินหวยจิ่วส่ายหน้าอย่างจนใจ
“เจ้า…” ใช้มุขนี้มาแทงจุดอ่อนของตนอีกแล้ว ผังก้วนแกยเขี้ยวออกมา แล้วชี้นางพลางหอบหายใจด่า “จาหรูเยี่ยน ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยนะ ถูกต้องแล้วที่ข้าติดหนี้ตระกูลจาของเจ้า แต่พอมีเรื่องในวันนี้เกิดขึ้น เจ้าจำเอาไว้นะ ว่าตระกูลผังได้ตายเพื่อเจ้าไปครั้งหนึ่งแล้ว ข้าไม่ติดหนี้อะไรตระกูลจาอีกแล้ว!”
จาหรูเยี่ยนพุ่งเข้าไปกอดแขนเขาทันที “นายท่าน ท่านจะตีข้าด่าข้าก็ได้ แต่จะให้ข้าไปตายไม่ได้นะ! ข้าไม่อยากตาย ข้ากลัวตายจริงๆ!”
“ปล่อย!” ผังก้วนจ้องนางด้วยสายตาเดือดดาล ท่าทางเหมือนบอกว่าถ้าไม่ปล่อยก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ ถ้าไม่ใช่เพราะตบตีนางไม่ได้ เขาคงลงมือไปแล้ว
“ฮูหยิน!” เฉินหวยจิ่วที่อยู่ข้างพลันโค้งเอว “ท่านหยุดสักทีได้ไหม? นายท่านไม่ได้บอกว่าจะทิ้งท่าน ก็แปลว่ากำลังคิดหาทางช่วยท่านไม่ใช่เหรอ ตอนนี้จะมาถ่วงเวลาให้เสียการเสียงานไม่ได้ ท่านปล่อยให้นายท่านได้คิดหาหนทางอย่างสงบๆ ดีไหม?”
“หา! จริงเหรอ?” จาหรูเยี่ยนที่น้ำตานองหน้าราวกับได้ยินข่าวดีที่คาดไม่ถึง เรียกได้ว่าทั้งดีใจทั้งเศร้าใจปนกัน รีบปล่อยมือแล้วถอยออกไปไกลๆ ไปยืนเช็ดน้ำตาอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
เมื่อไม่มีใครเกาะแกะแล้ว ในที่สุดผังก้วนก็ใจเย็นขึ้น เอามือไขว้หลังพร้อมลับตา หลังจากฟื้นฟูอารมณ์ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ราวกับหลุดออกจากสภาพโมโหบ้าระห่ำกลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตาเดียว กลับสู่ลักษณะท่าทางของเทพประจำดาวผู้สูงส่ง กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “พอเป็นแบบนี้ ปมปัญหาสำคัญในตอนนี้ก็คือบนกำไลเก็บสมบัติวงนั้น!”
“คงจะเป็นเช่นนี้ขอรับ” เฉินหวยจิ่วพยักหน้า
ผังก้วนหันตัวเดินมาที่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองทิวทัศน์ไกลๆ ด้านนอก พร้อมบอกว่า “เจ้าว่ามีความเป็นไปได้นี้หรือเปล่า เพื่อคำนึงถึงความปลอยภัยของครอบครัวอย่างรอบด้าน ก่อนจะลงมือลอบสังหารโจวเฝิงอานได้ซ่อนของทุกอย่างที่สามารถระบุตัวตนของเขาและสามารถสาวมาถึงตัวฮูหยินเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงอย่างไรครอบครัวเขาก็ถูกควบคุมอยู่ในมือของตระกูลจา”
เฉินหวยจิ่วตอบว่า “ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้นี้! แต่ก็อาจจะตรงข้ามกัน ก็เป็นเพราะครอบครัวเล็ก เป็นไปได้สูงว่าเขาอาจจะนำของติดตัวไว้ เพราะถ้าทำพลาดจะได้ล้างแค้นฮูหยินได้สะดวก ถึงยังไงก่อนหน้านี้ฮูหยินก็เคยบอก ว่าถ้าเขาทำงานไม่ดี ก็จะหาที่ฝังศพให้เขาหลับยาวกันทั้งครอบครัว”
ผังก้วนได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมา ถลึงตาจ้องจาหรูเยี่ยนอย่างเย็นเยียบอีกครั้ง หัวใจน้อยๆ ของจาหรูเยี่ยนพลันกระตุกวูบ รีบปาดน้ำตาเรียกร้องขอความเห็นใจ
พอมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง ผังก้วนก็บอกว่า “ถ้าจะล้างแค้นฮูหยิน เตรียมของแยกไว้จะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าพลาดขึ้นมาจะได้ให้คนส่งมาอีก”
เฉินหวยจิ่วบอกว่า “คนที่จะสู้กับนายท่านจะต้องใช้ความกล้าหาญ ถ้าส่งให้คนอื่นทำ ก็เกรงว่าคนอื่นอาจจะไม่มีความสามารถนั้น! ถึงอย่างไรเขาก็รู้ถึงกำลังของนายท่าน ถ้าไม่มีหลักฐานที่แน่นหนา ตัวละครเล็กๆ คนเดียวอย่างเขาจะทำให้นายท่านสั่นสะเทือนง่ายๆ ได้อย่างไร ถ้าของไม่ได้อยู่บนตัวเขา ก็สามารถพูดได้ว่ามีคนสร้างหลักฐานขึ้นมา ของที่อยู่บนตัวเขาในที่เกิดเหตุต่างหากถึงจะเป็นหลักฐานที่แน่นหนา! ดูจากการที่เขาปลอมตัวแต่กลับไม่ปิดบังวรยุทธ์ ก็ดูออกแล้วว่าเขาเตรียมตัวเอาไว้เผื่อพลาด ทิ้งหลักฐานเพิ่มไว้อีกอย่างที่สามารถทำให้โจวเฝิงอานของตระกูลจาสอดคล้องกับเขา อย่างน้อยภายใต้สถานการณ์ที่เขาทิ้งหลักฐานไว้ ทางฝั่งพวกเราก็จะไม่สะดวกแตะต้องคนในครอบครัวของเขาซี้ซั้ว ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคนในครอบครัวของเขาตอนนี้ ก็จะทำให้คนนึกเชื่อมโยงได้ง่าย บวกกับโจวเฝิงอานที่มีวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งของตระกูลจาหายตัวไป ดังนั้นเขาจึงจงใจลอบสังหารแบบเปิดเผยวรยุทธ์ กลัวว่าหลังจากจบเรื่องแล้วฮูหยินจะฆ่าปิดปาก จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาปกป้องตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอธิบายได้ ว่าในเมื่อเขาปลอมตัวแล้วแต่ทำไมยังต้องเปิดเผยวรยุทธ์อีก!”
ผังก้วนส่ายหน้าเบาๆ “ดูท่าแล้วตระกูลจาก็อาจจะไม่ได้โง่เหมือนกันหมด!”
เฉินหวยจิ่วบอกอีกว่า “แน่นอน นี่ก็อาจจะเป็นความคิดเพ้อเจ้อเช่นกัน แต่ก็ยังเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างเอนเอียงไปทางความเป็นจริง ตั้งแต่เริ่มเกิดเรื่องที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทจนถึงตอนสุดท้าย ระยะห่างของเวลาสั้นเกินไป อีกทั้งฮูหยินก็กดดันจนเขารีบร้อน ถ้าหนิวโหย่วเต๋อเข้าตำหนักคุ้มเมืองแล้ว เข้าก็ไม่มีทางลงมือได้ ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินได้ว่าเขาไม่มีเวลาเหลือให้เตรียมตัวเลย ถ้าลงมือสำเร็จแล้วเขาก็จะต้องไปซ่อนตัวทันที ประตูเมืองทั้งสี่ก็ถูกหนิวโหย่วเต๋อปิดไว้ เขาเองก็ยังออกไปไม่ได้ ถ้าก่อนหน้านี้ซ่อนของที่ใช้ติดต่อกับภายนอกเอาไว้ทั้งหมด ตอนหลังถ้าลอบสังหารแล้วก็จะโดนจับตามองได้ง่าย อีกทั้งในเมืองก็มีคนตั้งเยอะ ถ้าไม่ซ่อนตัวให้ทันเวลาแต่กลับไปเอาของที่ซ่อนไว้แทน ก็เท่ากับเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเองโดนเปิดโปงยิ่งกว่าเดิม พอทำเรื่องแบบนี้แล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่เขาจะไม่ติดต่อกับภายนอกเลย เนื่องจากเวลาเร่งด่วนเกินไป ทั้งยังต้องหาโอกาสเฝ้าอยู่นอกตำหนักคุ้มเมืองเพื่อรอโอกาสสังหารอีก เป็นไปได้สูงว่าของจะยังอยู่บนตัวเขา!”
“หรือพูดได้อีกอย่างว่า ของอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว!” ผังก้วนกล่าว
เฉินหวยจิ่วตอบว่า “บางทีการตัดสินของพวกเราอาจจะผิดพลาดทั้งหมด แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเราก็เดิมพันไม่ไหว ทำได้เพียงเตรียมตัวไว้ในกรณีที่ของอยู่ในมือเขา”
“ของอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหาของที่ยืนยันตัวตนของโจวเฝิงอานได้หรือยัง ตอนนี้ตรงหน้ามีเพียงเส้นทางสองเส้นให้เดิน ถ้าไม่ฆ่าปิดปากหนิวโหย่วเต๋อแล้วแย่งหลักฐานกลับมา ก็ไปเจรจากับอีกฝ่ายดีๆ” ผังก้วนกล่าว
“ฆ่าเขาให้ตายไปเลยจะเหมาะสมที่สุด” จู่ๆ จาหรูเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ก็พูดแทรก เรียกได้ว่าดื้อดึงไม่เปลี่ยนนิสัย
ผู้ชายทั้งสองหันกลับไปมองพร้อมกัน ผังก้วนกัดฟันตะคอกว่า “เจ้าหุบปาก!”
จาหรูเยี่ยนก้มหน้าทันที ได้รับความไม่ยุติธรรมอีกแล้ว ได้แต่เอามือปาดน้ำตา
เฉินหวยจิ่วบอกว่า “ฆ่าปิดปากเกรงว่าจะไม่ได้! เมื่อโดนลอบสังหาร เขาจะต้องไม่ออกจากตำหนักคุ้มเมืองง่ายๆ แน่นอน ถ้าฝืนฝ่าค่ายกลเข้าไปก็จะเกิดความเคลื่อนไหวเกินไป แบบนี้เท่ากับพิสูจน์ความจริงแล้วว่ามีคนอยากจะฆ่าปิดปากเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปฏิกิริยาของเบื้องบนจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ ก่อนหน้านี้พวกเราคิดได้ว่าจะส่งคนไปจับตาดู คนอื่นก็คิดได้แบบเราเหมือนกัน ตอนนี้คนที่จับตาดูที่ตำหนักคุ้มเมืองอยู่ก็คงจะมีไม่น้อย บางทีเบื้องบนอาจจะส่งคนไปเฝ้าดักเหมือนรอกระต่ายอยู่ใต้ต้นไม้แล้วก็ได้ ถ้าไปลอบสังหารอีกลอบก็เท่ากับวางกับดักตัวเอง”
ผังก้วนถอนหายใจแล้วบอกว่า “สงสัยเรื่องนี้ข้าจะต้องลงมือด้วยตัวเองสักรอบ!”
“มีแต่ต้องให้นายท่านไปด้วยตัวเองขอรับ คนอื่นไปแล้วไม่มีประโยชน์เลย จะต้องจัดการให้ได้ภายในครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นถ้ารอจนเกาก้วนมาถึง แบบนั้นก็ไม่ทันกาลแล้ว” เฉินหวยจิ่วกล่าว
ผังก้วนที่หันหน้าออกนอกหน้าต่างหันตัวมา “ทางนั้นมีคนจับตาดูอยู่ไม่น้อย ถ้าอยากพบกับเขาก็เกรงว่าจะไม่ง่าย”
“เรื่องนี้นายท่านวางใจได้ ข้าจะเตรียมการเอง เพื่อป้องกันสายลับของเบื้องบนที่อยู่ในจวน ก็ต้องให้นายท่านลำบากปลอมตัวก่อนแล้วค่อยออกไปผ่านทางใต้ดินขอรับ”
ฟังมาเป็นชุดแบบนี้ ในที่สุดจาหรูเยี่ยนก็เข้าใจแล้ว ว่าสติปัญญาของนางอยู่คนละระดับกับสองคนนี้โดยสิ้นเชิง ไม่เหมาะจะทำเรื่องซี้ซั้วไร้ระเบียบแบบนั้นเลย ครั้งนี้ตัวเองก่อเรื่องใหญ่มากจริงๆ
…………………………