พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1286 ประเมินสวีถังหรานต่ำไปแล้ว
“วันนี้เป็นวันมหามงคลของนายท่านผู้บัญชาการ นายท่านผู้บัญชาการเชิญพวกเราไปฟังดนตรีดูระบำ ท่านแม่สวี ท่านคงไม่ปฏิเสธแขกหรอกใช่มั้ย?”
ในหอกลิ่นสวรรค์ คนกลุ่มหนึ่งกล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมา ผู้ช่วยผู้บัญชากรบางคนเดินวนอยู่ท่ามกลางพวกเขา สุดท้ายก็ยื่นศีรษะมาตรงหน้าท่านแม่สวี แล้วกล่าวด้วยสีหน้าชั่วร้าย
สถานการณ์เป็นแบบนี้แล้ว ท่านแม่สวีจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร
ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงเปิดเวทีที่หอกลิ่นสวรรค์เสียเลย สรุปก็คือไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะได้หลุดพ้นสายตาพวกเขาไปรบกวนเรื่องดีๆ ของนายท่านผู้บัญชาการ แบบนี้มาเพื่อฟังเพลงดูระบำเสียที่ไหนกัน มาจับตาดูกันชัดๆ
จนกระทั่งการแสดงจบ ฟ้าก็สว่างแล้ว
สุดท้ายกลุ่มทหารสวรรค์ก็ไปแล้ว มีพนักงานคนหนึ่งรีบบอกทันทีล่ะ “ท่านแม่ รีบไปหาผู้จัดการร้านหวงฝู่สิ!”
“ยังจะไปหาทำไมอีกล่ะ! ฟ้าสว่างแล้ว ลูกแทบจะคลอดออกมาแล้ว!” ท่านแม่สวีตวาดบอก และนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนปวกเปียก นางขวัญหนีดีฝ่อ พึมพำกับตัวเองว่า “หมดกัน! หมดกัน! ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ต้นไม้เงินต้นไม้ทองที่ข้าห่อหุ้มมาหลายปีมาหายไปแบบนี้แล้ว ครึ่งชีวิตหลังแม่ยังหวังจะได้อาศัยบารมีนางหนูนั่นอยู่เลย แต่ไม่เหลือแล้ว ไอ้สัตว์เดรัจฉานที่สมควรโดนสวรรค์ลงโทษพวกนี้…”
“ยินดีกับนายท่านผู้บัญชาการ!”
เวลาดีๆ ยามฟ้าสาง สวีถังหรานที่สีหน้าสดชื่นกระปรี้กระเปร่าและสวมชุดลำลองทั้งตัวเดินออกมาจากเรือนพักด้านใน พอออกมาก็เจอกับลูกน้องที่เรียงแถวกล่าวแสดงความยินดีทันที
“หึหึ! ฮ่าๆ! ฮ่าๆ…” สวีถังหรานเงยหน้าขึ้นฟ้าพลางหัวเราะลั่น ความอ่อนโยนละมุนละไมเมื่อคืนนี้ช่างเติมเต็มความปรารถนาจริงๆ เสื้อบางที่ถักทอถูกถอดออกหมด หยกที่เกลี้ยงเกลาตกอยู่ในมือ อบอุ่นนุ่มนวล ราวกับได้ดื่มน้ำฝนในหน้าแล้ง รักจนวางมือไม่ลง คนนอกไม่มีทางรับรู้รสชาติที่อยู่ในนั้นได้ เพียงพอที่จะทำให้สบายอกสบายใจไปทั้งชีวิต!
พอหัวเราะเสร็จ ก็ชี้ไปที่คนคนหนึ่งพร้อมบอกว่า “เอ่ออะไรนะ คนที่จะมาปรนนิบัติแม่นางหลิงหลงล่ะ? ไปซื้อมาสองคน…ไป ไปที่หอกลิ่นสวรรค์ เอาตัวสาวใช้ที่ยามปกติคอยปรนนิบัติแม่นางหลิงหลงมา ข้าจ่ายเงินไปแล้ว”
“ขอรับ! ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!” มีคนเลี้ยววิ่งออกไปทันที
ทว่าผ่านไปครู่เดียว ก็มีคนวิ่งมาอีก รายงานอย่างกระวนกระวายว่า “นายท่าน แย่แล้ว หวงฝู่จวินโหรวพาคนมาขวางประตูไว้ ต้องการจะพบท่าน สีหน้าไม่เป็นมิตรเลย!”
สวีถังหรานที่กำลังแจกจ่ายงานให้ลูกน้องทำสีหน้าไม่ถูก เขามีเรื่องกับหวงฝู่จวินโหรวไม่ไหวจริงๆ เมื่อวานสุขสันต์ผ่อนคลาย แต่วันนี้ปัญหามาเยือนถึงที่แล้ว
แต่พอลองคิดดูอีกที มีอะไรน่ากลัวล่ะ ผู้บัญชาการใหญ่บอกแล้วว่าจะคุ้มกะลาหัวให้ ลักความรับผิดชอบไปที่ผู้บัญชาการใหญ่ก็สิ้นเรื่องแล้ว จึงโบกมือทันที “เชิญเข้ามา!”
ผ่านไปไม่นาน หวงฝู่จวินโหรวก็มาแล้ว มาพร้อมสีหน้าเย็นเยียบ ถึงขั้นนำคนเจ็ดแปดคนข้างหลังบุกเข้ามาด้วย น้อยมากที่จะเห็นนางบุกเข้าสถานที่ราชการของตำหนักสวรรค์ด้วยท่าทางดุดันแบบนี้
เมื่อเห็นนางมีท่าทางแบบนี้ ถ้าจะบอกว่าสวีถังหรานไม่กังวลเลยก็แปลว่าโกหกแล้ว แต่ภายนอกยังพยายามแสร้งทำใจเย็น สาเหตุที่ข่มอารมณ์ได้แบบนี้ก็เพราะมีคนหนุนหลัง ไม่อย่างนั้นเขาคงคุ้นชินกับการโค้งเอวพยักหน้าตั้งนานแล้ว เขากุมหมัดคารวะ “ผู้จัดการร้านหวงฝู่มาเยือน ไม่ทราบว่ามีธุระสำคัญอะไรหรือ!”
ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา สายตาของหวงฝู่จวินโหรวราวกับต้องการจะฆ่าคน กล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “สวีถังหราน เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา ขนาดคนที่สมาคมวีรชนคุ้มครองอยู่ยังกล้าแตะต้อง!”
“ผู้จัดการร้านหวงฝู่หมายถึงแม่นางหลิงหลงเหรอ? เกรงว่าจะเข้าใจผิดแล้ว ข้าช่วยไถ่ตัวนางก็ถือเป็นเรื่องดีนะ เป็นเรื่องสมัครใจกันทั้งสองฝ่าย เงินค่าไถ่ตัวข้าก็ให้ท่านแม่สวีไปแล้ว”
“สมัครใจทั้งสองฝ่ายเหรอ? เอาดาบจ่อคออีกฝ่ายไว้เรียกว่าสมัครใจทั้งสองฝ่ายเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวด้วยน้ำเสียงดุร้ายมาก
“เอาดาบจ่อคอเหรอ มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ พลางมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สงสัยจะมีการเข้าใจผิดแล้วจริงๆ ผู้จัดการร้านหวงฝู่ เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ท่านเรียกท่านแม่สวีมาสิ เรามายืนยันกันต่อหน้าเลย ท่านถามนางดู ว่าข้ากดดันนางสักนิดหรือเปล่า?”
คนก็เป็นของเขาแล้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่าท่านแม่สวีจะโง่ถึงขั้นนั้น ไม่กลายเป็นเรือแล้ว ยังจะมาขัดใจเขาได้อีกเหรอ? ต้องทราบไว้ว่าตอนนี้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาคือคนที่สามารถกดดันให้โจวหรานกับอูหันซานฆ่าตัวตายได้ ท่านแม่สวีอยู่ในแหล่งอบายมุข ต้องการแค่เงินเท่านั้น เป็นคนประเภทที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อล้างแค้นเหรอ? ถึงอย่างไรตอนนี้เสวี่ยหลิงหลงก็ถูกเขาซดน้ำแกงถ้วยแรกไปแล้ว ต่อให้ส่งกลับหอกลิ่นสวรรค์ไปก็ไม่ได้ราคาเดิม ขอเพียงท่านแม่สวีไม่ใช่คนโง่ ก็ควรจะรู้ว่าต้องเลือกอย่างไร
หวงฝู่จวินโหรวย่อมรู้ว่คำพูดของเขาสื่อถึงอะไร ท่านแม่สวีวิ่งมาบอกนางก็เพื่อจะบอกข่าวให้รู้เท่านั้น ขนาดท่านแม่สวียังบอกเองว่าช่างเถอะเพราะมีเรื่องด้วยไม่ไหว นางได้แต่กัดฟันถามว่า “เสวี่ยหลิงหลงล่ะ? ข้าต้องการพบนาง!”
“เชิญ!” สวีถังหรานหันตัวหลีกทาง แล้วยื่นมือเชิญ
หวงฝู่จวินโหรวรีบก้าวเข้าไปที่เรือนพักด้านใน มุ่งตรงไปที่เรือนหลัก สวีถังหรานไม่ไปเป็นเพื่อนข้างในแล้ว ถ้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจะอึดอัดเก้อเขิน
แก๊ก! หวงฝู่จวินโหรวผลักประตูเข้าไปโดยตรง พอกวาดสายตามองรอบๆ ก็เห็นเพียงเงาหลังซูบผอมที่คุ้นเคยกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กำลังหวีผมยาวอย่างช้าๆ
นางมองคนในกระจก คนในกระจกก็มองนางอย่างเหม่อค้างเช่นกัน
บนเตียงผ้าแพรยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ ในห้องมีกลิ่นอายแปลกๆ ในฐานะคนที่เคยผ่านเรื่องนี้มาก่อน นางรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มาช้าเกินไปแล้ว ช้าจนไม่รู้จะช้าอย่างไรแล้ว
นางรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้า ใช้มือทั้งคู่ประคองบ่าของเสวี่ยหลิงหลงเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าดวงตาทั้งคู่ในกระจกร้องไห้จนแดงก่ำ หวงฝู่จวินโหรวสีหน้าหน้าตำหนิตัวเองทันที กล่าวอย่างเศร้าโศกแสนสาหัสว่า “หลิงหลง ข้าขอโทษ ข้ามาช้าไปแล้ว เมื่อคืนพวกท่านแม่สวีโดนควบคุมไว้ ข้าเองก็เพิ่งรู้ข่าวตอนเช้า ขอโทษ! ข้าขอโทษ!” น้ำตาไหลออกมา นางก็ร้องไห้แล้วเช่นกัน รู้สึกเจ็บปวดทุกข์แทนกับเรื่องที่เสวี่ยหลิงหลงประสบ
เสวี่ยหลิงหลงกลับมีท่าทางสงบนิ่งมาก วางหวีลงเบาๆ ยกมือขึ้นกุมมือบนบ่าตัวเอง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่สาว ท่านแม่สวีไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
“นางไม่เป็นอะไร!” หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้าอย่างขื่นขม “เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ข้าไม่ปล่อยไอ้สารเลวที่อยู่ข้างนอกนั่นไปแน่ ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าแน่นอน ข้าจะไปหาหนิวโหย่วเต๋อหนิวโหย่วเต๋อ จะไปทวงความยุติธรรมจากเขา!”
“พี่สาว!” เสวี่ยหลิงหลงดึงมือนางไว้แล้วส่ายหน้าเบาๆ กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก! เมื่อวานตอนผู้บัญชาการสวีไปเข้าร่วมงานเลี้ยง ระหว่างทางถูกผู้บัญชาการใหญ่เรียกไป ตอนหลังก็เลยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ในเวลาแบบนี้ ถ้าไม่มีผู้บัญชาการใหญ่อนุญาต เขาก็ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้เช่นกัน ช่างมันเถอะ” นางกลับตื่นตัวได้สติเป็นพิเศษ
“หนิวโหย่วเต๋อ…” หวงฝู่จวินโหรวพลักเบิกตากว้าง อารมณ์เดือดดาลเปี่ยมล้นจนต้องระบายออกมาเป็นคำพูด นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด่าว่า “เดรัจฉาน!”
นางหันตัวเดินจากไป นางไม่เชื่อหรอก นางต้องไปถามให้กระจ่าง
เสวี่ยหลิงหลงดึงมือนางอีกครั้ง “พี่สาว ช่างเถอะ! ในเมื่อกลายเป็นแบบนี้แล้ว ข้าตอบตกลงผู้บัญชาการสวีแล้วว่าจะล้างมือในอ่างทองคำ ออกจากวงการบันเทิง มาเป็นอนุภรรยาของเขาอย่างสงบใจ”
“อนุภรรยา?” หวงฝู่จวินโหรวอึ้งไป ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ “คนต่ำทรามไร้ยางอายแบบนี้ เจ้าไปตอบตกลงเป็นอนุภรรยาของเขาได้ยังไง?”
เสวี่ยหลิงหลงยิ้มอย่างขื่นขม “ท่านบอกว่าเขาเป็นคนต่ำทราม แต่ข้ากลับเรียกเขาว่านายท่าน นี่ไม่ใช่ชะตากรรมของข้าหรอกเหรอ? สุดท้ายจุดจบของข้าก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่ดี แค่ดูว่าบ้านไหนมีกิ่งไม้สูงกว่าก็เท่านั้นเอง จะสูงขึ้นหน่อยหรือจะต่ำลงหน่อยแล้วยังไงล่ะ? ยิ่งกิ่งไม้สูง เกรงว่าคนเต้นกินรำกินอย่างข้าก็จะยิ่งต่ำต้อย ไม่มีใครไม่ดูถูก พี่สาวน้องสาวมากมายที่ทำอาชีพเดียวกัน จุดจบของคนส่วนใหญ่ยังสู้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ช่างเถอะ! ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าข้าไม่อยู่กับเขา จุดจบของข้าก็จะอนาถยิ่งกว่านี้ ทั้งหมดล้วนเป็นชะตากรรมของข้า”
หวงฝู่จวินโหรวได้ยินแล้วน้ำตาไหลพราก ไหล่งามสองข้างสั่นเทิ้ม จู่ๆ ก็โผเข้าไปกอดนางแล้วเริ่มร้องไห้อีก เสวี่ยหลิงหลงก็ร้องไห้เช่นกัน ทั้งสองกอดกันร้องไห้
“ไม่ได้!” ทันใดนั้น หวงฝู่จวินโหรวก็ผละออกจากนาง “เป็นความผิดพลาดของข้าเองที่ไม่ปกป้องเจ้า ข้าจะให้เจ้าเป็นอนุภรรยาอีกไม่ได้เด็ดขาด หลิงหลง เจ้ารอข้านะ!”
พูดจบก็หันหน้าเดินออกไป พอออกมาจากห้อง ก็เห็นสวีถังหรานเอามือไขว้หลังเดินช้าๆ อยู่ในลานบ้าน นางจึงชี้พร้อมตวาดทันที “สวีถังหราน เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”
เมื่อเห็นนางวิ่งออกไปพร้อมน้ำตาบนหน้า ก็ทำให้สวีถังหรานตกใจแล้ว ร้องไห้เลยเหรอ? ผู้จัดการร้านหวงฝู่ที่องอาจผ่าเผยร้องไห้เหรอ? นี่ตนทำให้นางไม่พอใจถึงขั้นไหนกัน!
เขาลุกลี้ลุกลนทันที ถ้าผู้หญิงคนนี้จะทุ่มสุดตัวจริงๆ เขาก็เล่นด้วยไม่ไหวหรอก! ผู้บัญชาการใหญ่จะต้านทานไหวเหรอ?
พอมองไปทางห้องที่มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาแว่วๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้าตัวเอง ควบคุมของที่อยู่ในเป้ากางเกงไม่ดี ถ้าทำให้ต้องสูญเสียชีวิตมันคุ้มรึเปล่า?
ใช่ระฆังดาราติดต่อเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้ก็ไม่สนใจ หวงฝู่จวินโหรวทำได้เพียงบุกได้นอกเมืองตำหนักคุ้มเมืองโดยตรง
ในตำหนักคุ้มเมือง นางยังไม่กล้าฝืนบุกเข้าไป ถ้านางมีฐานะเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์แล้วบุกเข้าไปต่อว่าสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าใช้ฐานะพ่อค้าบุกเข้าไปสถานที่ราชการของตำหนักสวรรค์ นางก็รับผิดชอบข้อหานี้ไม่ไหว อย่าว่าแต่ตำหนักคุ้มเมือง ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกนางก็ไม่กล้าบุกเช่นกัน
“ขอพบผู้บัญชาการใหญ่ รบกวนไปรายงานให้หน่อย”
“รอสักครู่!”
ไม่นานก็ได้คำตอบกลับมา ทหารยามตอบว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ เชิญท่านกลับไปเถอะ ผู้บัญชาการใหญ่มีงานต้องทำ ตอนนี้ไม่มีเวลามาพบท่าน”
หวงฝู่จวินโหรวแค้นจนกัดฟันกรอด จึงหยิบแผ่นหยกออกมา เขียนอะไรบางอย่างลงไป จากนั้นใส่ไว้ในแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งแล้วยื่นให้ “รบกวนนำสิ่งนี้ส่งให้ผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเจ้าด้วย”
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป ทหารยามก็ไม่สนใจหรอก แต่ถึงอย่างไรก็ฐานะภูมิหลังของผู้จัดการร้านหวงฝู่ก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่สะดวกจะไปขัดใจ ทำได้เพียงส่งของต่อให้อีกครั้ง
ตอนนี้เหมียวอี้กำลังขี้เกียจมาก ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ได้แต่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ใต้เพิงเถาวัลย์ริมบ่อน้ำ หลับตาพักผ่อนทั้งวัน ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังครุ่นคิดการใหญ่อะไรอยู่ อย่างน้อยในสายตาเป่าเหลียนก็เป็นแบบนี้
หารู้ไม่ว่าใต้บ่อมีอุบายลับอีกอย่างหนึ่ง เหมียวอี้จะเป็นต้องเตรียมตัวให้ดี ถ้ามีบางคนยอมทุ่มสุดตัวบุกโจมตีเข้ามาสังหารเขาในตำหนักคุ้มเมือง เขาก็จะกระโดดลงในบ่อเพื่อหนีเอาชีวิตรอดทันที
“นายท่าน ผู้จัดการร้านหวงฝู่มีของส่งต่อมาให้ท่าน” เป่าเหลียนที่ออกไปรับของนำแหวนเก็บสมบัติมาส่งให้
เหมียวอี้รับมาอ่านดู พบว่าในแหวนเก็บสมบัติว่างเปล่า มีแค่แผ่นหยกแผ่นเดียว จึงเรียกแผ่นหยกออกมาอ่าน ตอนไม่อ่านก็ยังไม่รู้ แต่พอได้อ่านแล้วต้องตกใจ
ในแผ่นหยกไม่ได้เขียนอะไรอย่างอื่น เปิดมาก็ด่าเขาประมาณว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่อมาก็บอกว่าในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว นางก็จะไม่ขอร้องอย่างอื่น เสวี่ยหลิงหลงเป็นเพื่อนน้องสาวของนาง นางต้องทวงความยุติธรรมให้เสวี่ยหลิงหลง สวีถังหรานต้องแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลง แต่งงานอย่างมีหน้ามีตาสง่าผ่าเผย และต้องเป็นฮูหยินภรรยาเอกด้วย! ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกล้าไม่ตอบตกลง นางก็จะยอมให้หยกศิลาล้วนลานแหลก[1] จะประกาศเรื่องระหว่างนางกับเขาให้ทุกคนรู้ นางจะรออยู่ข้างนอก จะออกมาพบหวงฝู่จวินโหรวหรือไม่ก็ให้หนิวโหย่วเต๋อตัดสินใจเอง!
นี่เป็นการทุ่มสุดตัวโดยไม่สนใจอะไรแล้ว! เหมียวอี้พบว่าผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว คำพูดประเภท ‘เรื่องระหว่างนางกับเขา’ นางเขียนไว้บนแผ่นหยกแล้วให้คนส่งต่อมาได้อย่างไร จะให้คนที่เห็นไม่สงสัยก็คงยาก โชคดีที่เก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติ ถ้าให้คนหยิบมาส่งต่อโดยตรง แค่ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูนิดหน่อยก็แย่แล้ว
เหมียวอี้หันกลับมาถามทันที “เจ้าได้ดูของในแหวนเก็บสมบัติหรือเปล่า?”
“ไม่ได้ดูค่ะ มีอะไรหายไปหรือเปล่า?” เป่าเหลียนสงสัย
“คนที่ส่งต่อของได้หยิบของในนี้ออกมาดูหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถามอีก
เป่าเหลียนตอบว่า “กลางวันแสกๆ แบบนี้ น่าจะไม่มีใครกล้าแอบอ่านของของผู้บัญชาการใหญ่กระมัง มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”
เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ โล่งใจขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังนั่งไม่ติดที่แล้ว หยิบระฆังดาราออกมาถามสวีถังหรานว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่
หลังจากได้รับคำตอบจากสวีถังหราน เหมียวอี้ก็ค่อนข้างพูดไม่ออก พบว่าตัวเองประเมินวิธีการของสวีถังหรานต่ำไป
สาเหตุที่เขาบอกให้สวีถังหรานไปหาเสวี่ยหลิงหลง ก็เพราะอยากจะกดดันให้หวงฝู่จวินโหรวออกหน้า เขาย่อมไม่พบหวงฝู่จวินโหรวอยู่แล้ว สาเหตุหลักเป็นเพราะอยากกดดันให้หวงฝู่จวินโหรวใช้เส้นสายช่วยเหลือเสวี่ยหลิงหลง เสวี่ยหลิงหลงก็คือหินที่เขาใช้โยนถามทาง เขาอยากจะแน่ใจในเจตนาของเบื้องบนสักหน่อย
ใครจะคิดล่ะ! ไม่น่าเชื่อว่าสวีถังหรานจะควบคุมทุกคนของหอกลิ่นสวรรค์เอาไว้ ไม่ปล่อยให้ข่าวหลุดออกไปข้างนอก ต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน เขายังแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมเมื่อคืนนี้หวงฝู่จวินโหรวถึงไม่มาหาเขา และไม่เห็นหวงฝู่จวินโหรวหาเส้นสายที่ไหนมากดดันเขาด้วย ทำให้เขาหลงนึกไปว่าคนของเบื้องบนไม่กล้าแตะต้องเขาจริงๆ แต่ที่ไหนได้ สงสัยปัญหาจะอยู่ที่สวีถังหราน เล่นพลาดเสียแล้ว!
…………………………
[1] หยกศิลาล้วนลานแหลก 玉石俱焚 อุปมาว่ายอมให้พังไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย