พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1290 จบแบบไม่มีบทสรุป
เหมียวอี้ทำได้เพียงรีบเดินตามอยู่ข้างหลัง
ตรงหน้าประตูตำหนักที่สร้างขึ้นใหม่ จู่ๆ เกาก้วนก็หยุดเดินและมองสำรวจอย่างละเอียด เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องที่ประตูพังถล่มแล้ว
ชื่อเสียงของผู้พิพากษาหน้าตายเกาก้วนไม่ใช่สิ่งที่ร่ำลือกันเฉยๆ คนที่ดูอยู่บนถนน ทหารสวรรค์ที่อยู่นอกตำหนัก เมื่อมองคล้อยหลังคนกลุ่มนี้เดินเข้าไปในตำหนักแล้ว พวกเขาก็เดาออกถึงจุดประสงค์ในการมาของเกาก้วน จุดประสงค์มีอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น
ที่โถงหลักในตำหนัก เกาก้วนเข้ามาเองโดยไม่ต้องเชิญ เขาสะบัดชุดคลุมนั่งลงบนตำแหน่งหลัก มีคนสองคนก้าวขึ้นมายืนอยู่ข้างเขาทางซ้ายและขวา
ขณะที่เหมียวอี้กำลังจะถามว่ามีอะไรจะกำชับ เซียวไป่เจียน ผู้ติดตามที่ยืนอยู่ทางซ้ายของเกาก้วนก็บอกแล้วว่า “เรียกผู้บัญชาการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทุกคนเข้ามาในตำหนัก”
ด้านนอกมีคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาแยกย้ายกันไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที ไม่ต้องรอให้เหมียวอี้อนุญาต
พอพูดจบ เฉียวเสิ้ง ผู้ติดตามที่ยืนอยู่ทางขวาของเกาก้วนก็จ้องเหมียวอี้พร้อมถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ได้ยินว่าห้าวันก่อนเจ้าโดนลอบสังหารที่นอกตำหนักคุ้มเมือง มีเรื่องนี้เกิดขึ้นหรือไม่?”
เหมียวอี้มองไปทางเกาก้วน เกาก้วนเองก็จ้องเขาอย่างเย็นชา ไม่มีความเห็นใดๆ กับคำถามนี้ รู้ว่านี้คือการเริ่มสอบสวนแล้ว ไม่ให้เวลาหายใจด้วยซ้ำ เขาตอบว่า “มีเรื่องนี้ขอรับ”
“เป็นพฤติกรรมของใคร?” น้ำเสียงของเฉียวเสิ้งค่อนข้างกดขี่กดดัน
“มิทราบขอรับ ข้าเองก็อยากจะรู้ว่าเป็นใคร” เหมียวอี้ตอบ
“เจ้ารู้สึกว่าใครที่อาจจะทำแบบนี้?” เฉียวเสิ้งถาม
“ข้ามีเรื่องกับคนอื่นเยอะเกินไป ไม่มีทางตัดสินได้ขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
เฉียวเสิ้งจึงบอกว่า “เล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นอีกรอบ”
เหมียวอี้จะทำอย่างไรได้อีก ทำได้เพียงเล่าเรื่องที่โดนลอบสังหารให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง เริ่มตั้งแต่งานเลี้ยงครั้งแรกที่ตำหนักคุ้มเมือง เขาเปิดเผยโดยตรงว่าต้องการจะลงมือกับร้านค้ากลุ่มนี้ เล่าจนถึงเรื่องวางยาพิษล้างเลือดที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท เล่าทั้งหมดโดยไม่ได้ปิดบัง สาเหตุหลักเป็นเพราะคนที่เห็นเหตุการณ์นี้มีเยอะเกินไป ทั้งยังปิดปากไม่ได้ ทำให้ปิดบังไม่ไหว จากนั้นก็เป็นเหตุการณ์ลอบสังหารตอนที่กลับมาถึงตำหนักคุ้มเมือง
หลังจากฟังจบ เฉียวเสิ้งก็ถามอีกว่า “ทำไมต้องลงมือกับกลุ่มผู้จัดการร้านค้า?”
เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเขาอาศัยว่าตัวเองมีอิทธิพลหนุนหลัง จึงมองข้ามกฎระเบียบของตลาดสวรรค์ ดึงดันแก้ไขกฎระเบียบที่ตำหนักคุ้มเมืองประกาศออกมา เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันทั่ว! ข้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่คุมอาณาเขตแทนตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่สุนัขเฝ้าบ้านของข้าทาสในตระกูลผู้มีอำนาจ ข้าอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ย่อมต้องกำจัดข้าทาสน่ารังเกียจพวกนี้เพื่อทำให้ถูกระเบียบ ถ้าข้าทาสของตระกูลผู้มีอำนาจกลุ่มนี้มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง แล้วยังจะมีผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อย่างพวกเราไว้ทำอะไร ถ้าให้โอกาสอีกครั้งข้าก็จะยังฆ่าเหมือนเดิม!”
เกาก้วนเอียงหน้ามองคนที่กำลังถือแผ่นหยกจดบันทึกข้อความ คนคนนั้นพยักหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยว่าบันทึกไปแล้ว
“จากที่ข้ารู้มา สมาคมร้านค้าแก้ไขกฎระเบียบที่ตำหนักคุ้มเมืองประกาศตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อนแล้ว ทำไมไม่ทำโทษตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อน ต้องรอมาทำโทษในเวลานี้?” เฉียวเสิ้งถาม
“เพราะหนึ่งร้อยปีก่อนหน้านี้ข้ากำลังจะไปเข้าร่วมการทดสอบ และไม่มีความสามารถที่จะลงโทษพวกเขา หาผู้ช่วยที่จะปกป้องชีวิตไม่เจอ จึงทำได้เพียงอดทนไว้ ดูจากกำลังคนที่พวกเขาดักซุ่มไว้ก็จะรู้” เหมียวอี้ตอบ
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่รายงานให้เบื้องบนตัดสินใจก่อนแล้วค่อยลงโทษ?” เฉียวเสิ้งถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ท่านกำลังล้อเล่นหรือ? เบื้องหลังของพวกเขาก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าข้ารายงานขึ้นไปจะมีประโยชน์อะไร! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าโดนกดดันจนไร้ทางเลือก ข้าจำเป็นจะต้องเสี่ยงทำแบบนี้เหรอ?”
“ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ระวังน้ำเสียงการพูดจาของเจ้าหน่อย” เกาก้วนกล่าวเตือนเสียงเรียบ
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ บอกใบ้ว่าทราบแล้ว
“ยาพิษที่ใช้วางยา เจ้าเอามาจากไหน?” เฉียวเสิ้งถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ได้มาจากตอนทดสอบในนรก ตอนนั้นฆ่าคนเยอะเกินไป ไม่แน่ใจด้วยว่าเอามาจากตัวใคร”
“ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ยอดฝีมือสี่คนที่คอยปกป้องเจ้ามาจากไหน?” เฉียวเสิ้งถาม
“ข้าจ่ายเงินจ้างมาเอง” เหมียวอี้ตอบ
“จ่ายเงินไปเท่าไร จ้างมาจากไหน?” เฉียวเสิ้งถาม
“เฉียวเสิ้ง” เกาก้วนพลันเรียกขัดจังหวะ แต่ตอนหลังเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ไม่ต้องเสียงเวลากับเรื่องนี้แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะถาม ก่อนจะมาฝ่าบาทมีคำสั่ง ว่าส่งเรื่องที่ตลาดสวรรค์ให้ราชินีสวรรค์ตัดสินชี้ขาด พวกเราสอบสวนเพียงเรื่องมือสังหารที่ตำหนักคุ้มเมือง็พอ!”
เฉียวเสิ้งถ่ายทอดเสียงตอบว่า “นายท่าน ถ้าไม่รู้สาเหตุชัดเจน แล้วจะตัดสินปัญหาอย่างละเอียดได้อย่างไร ถ้าพลาดรายละเอียดไปก็อาจจะพลาดเป้าหมายได้!”
เกาก้วนถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ฝ่าบาทสั่งให้สืบ พวกเราก็สืบ ถ้าฝ่าบาทไม่ให้สืบ พวกเราก็ไม่ต้องไปแตะต้อง เข้าใจมั้ย?”
เฉียวเสิ้งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แสดงออกว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “มือสังหารที่ลอบฆ่าเจ้าที่ตำหนักคุ้มเมืองมีวรยุทธ์เท่าไร?”
“คาดว่าบงกชรุ้งขั้นหนึ่งขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
“ธนูที่เจ้าใช้ฆ่ามือสังหารเอามาจากไหน?” เฉียวเสิ้งถาม
เหมียวอี้สงสัยว่าเขารู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังถาม ได้แต่ตอบไปว่า “แย่งมาได้จากการทดสอบที่นรกขอรับ”
“นำธนูออกมาดูหน่อย” เฉียวเสิ้งตอบ
ไม่มีทางปฏิเสธสิ่งนี้ได้ เหมียวอี้ทำได้เพียงส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กับลูกธนูดาวตกออกมาแต่โดยดี เฉียวเสิ้งหยิบมาดูในมือ จากนั้นยื่นให้คนที่อยู่ข้างๆ พร้อมสั่งว่า “ทดสอบอานุภาพของวิเศษชิ้นนี้เดี๋ยวนี้”
เขาหันกลับมาถามเหมียวอี้อีกว่า “ได้ยินว่าของที่มือสังหารทิ้งไว้อยู่ในมือเจ้าเหรอ?”
“ขอรับ!” ขณะที่ตอบคำถาม เหมียวอี้ก็หยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมาแล้ว
เฉียวเสิ้งรับกำไลเก็บสมบัติมาดู พบว่าข้างในมีกระบี่วิเศษด้ามหนึ่ง สมุนไพรเซียนซิงหัวสองต้น ยาแก่นเซียนและเหรียญผลึกจำนวนหนึ่ง ที่เหลือก็ไม่มีอะไรแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถาม “มีของแค่นี้น่ะเหรอ?”
เกาก้วนได้ยินแล้วยื่นมือออกมา เฉียวเสิ้งยื่นกำไลเก็บสมบัติให้เขา หลังจากดูเสร็จเกาก้วนก็ขมวดคิ้ว แล้วส่งให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตรวจดูให้ละเอียด
“มีอยู่เท่านี้ขอรับ เดิมทีข้าคิดจะหาเบาะแสของมือสังหารจากของที่มือสังหารทิ้งไว้ แต่มือสังหารนั่นเจ้าเล่ห์ ไม่ทิ้งเบาะแสอะไรไว้เลย” เหมียวอี้ตอบ
“เจ้าไม่ได้เก็บของอะไรไว้ส่วนตัวใช่มั้ย?” เฉียวเสิ้งถาม
“เปล่าขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
“ไม่มีจริงเหรอ?” เฉียวเสิ้งถาม
“ไม่มีจริงๆ ขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
เฉียวเสิ้งถามอีกว่า “เจ้าเห็นของข้างในหมดแล้วหรือยัง?”
“เห็นหมดแล้วขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
“ข้างในมีของอะไรบ้าง?” เฉียวเสิ้งถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ของอยู่ในนี้หมดแล้ว ท่านดูเองก็จะรู้แล้ว”
“ข้าถามเจ้าว่าข้างในมีของอะไรบ้าง” เฉียวเสิ้งกล่าว
เหมียวอี้ตอบว่า “กระบี่หนึ่งด้าม สมุนไพรเซียนซิงหัวสองต้น แล้วก็มียาแก่นเซียนกับเหรียญผลึกจำนวนหนึ่ง”
“ยาแก่นเซียนกี่เม็ด เหรียญผลึกเท่าไร?” เฉียวเสิ้งถาม
“ไม่ได้ดูละเอียด ไม่ทราบจำนวนโดยละเอียดขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
เฉียวเสิ้งจึงบอกว่า “เจ้าโกหก! จำนวนทรัพย์สินสามารถตัดสินที่มาที่ไปของมือสังหารได้ สิ่งของที่มือสังหารทิ้งเอาไว้ เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่ตรวจดูให้ละเอียด! สาเหตุที่เจ้าไม่รู้ชัดเป็นเพราะเจ้าปรับจำนวนของที่อยู่ในนี้ ใส่ของเอาไว้นิดหน่อยตามอำเภอใจ ใช่หรือไม่? ของที่เหลืออยู่ไหน?”
เมื่อเผชิญหน้ากับวิธีสอบสวนที่ใส่ใจรายละเอียดของสถานการณ์มากเกินไป เหมียวอี้แทบจะลุกลี้ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูก แต่เหมียวอี้ก็ยังยืนยันว่าไม่รู้
ในเมื่อยืนยันว่าไม่รู้ อีกฝ่ายจึงทำการตรวจค้นเขาทันที พอพลิกตรวจสิ่งของทุกอย่างที่อยู่บนตัวเหมียวอี้ ก็พบว่าเจ้าหมอนี่ร่ำรวยมาก ต้องให้เหมียวอี้อธิบายให้ชัดเจนว่าระฆังดาราแต่ละอันเอาไว้ใช้ติดต่อใครบ้าง แทบจะกดดันให้เหมียวอี้อธิบายที่มาที่ไปของสมบัติเหล่านั้นทุกอย่าง เมื่ออธิบายชิ้นไหนไม่ได้ก็เก็บยึดเอาไปเตรียมตรวจสอบเสียเลย!
เป่าเหลียนที่เป็นผู้ติดตามของเขาก็โดนค้นตัวเช่นกัน ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน
ฝูชิงและผู้บัญชาการอีกสามคน รวมทั้งผู้ช่วยผู้บัญชาการของแต่ละคนล้วนถูกสืบสวนและค้นตัว ของที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนล้วนถูกเก็บยึดหมด
ตำหนักคุ้มเมืองก็ถูกตรวจค้นทุกซอกทุกมุมเช่นกัน จุดอับเล็กน้อยก็ไม่ปล่อยไป รวมทั้งในบ่อน้ำนั้นด้วย
การกระทำนี้แทบจะทำให้เหมียวอี้ตกใจจนเหงื่อกาฬท่วมตัว โชคดีที่หลังจากที่เทพประจำดาวฟ้าเถาะไปแล้ว รู้ว่ามือมืดเบื้องหลังไม่มีทางลงมือกับตนอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ทางใต้ดินเพื่อเอาชีวิตรอดอีก กอปรกับรู้ว่าคนของตำหนักสวรรค์จะมา เขาจึงรีบสั่งให้ผีจวินจื่อจัดการถมทางใต้ดินของตำหนักคุ้มเมืองสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะแก้ตัวลำบากแล้ว
และเหมียวอี้ก็สมคบคิดกับพวกฝูชิงไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ของที่ไม่ควรเก็บไว้กับตัวก็นำไปเก็บไว้ที่อื่น โชคดีที่เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นในการตรวจสอบครั้งนี้ก็อาจจะตรวจเจอปัญหาใหญ่ก็ได้
การตรวจสอบครั้งนี้ใช้เวลาครึ่งเดือนเต็มๆ พวกเหมียวอี้ถูกจับแยกไปกักบริเวณแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งเดือน พวกเขาก็ถูกปล่อยตัวออกมา หัวหอกฝ่ายเกาก้วนชี้ไปยังบรรดาร้านค้าขนาดใหญ่แทน ร้านค้าทุกร้านที่ถูกเหมียวอี้ค้นยึดสิ่งของและลงโทษประหารล้วนอยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ หลังจากได้ข้อมูลจำนวนคนที่ถูกเหมียวอี้ประหารแล้ว เกาก้วนก็กดดันให้เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าใหญ่ๆ เหล่านั้นส่งรายชื่อสมาชิกของร้านค้าทางนี้มาตรวจสอบ
จำนวนคนไม่สอดคล้องกัน มีมือสังหารเพิ่มมาอีกคน! เกาก้วนขยายขอบเขตการตรวจสอบให้กว้างขึ้นอีก ต้องการให้เจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังส่งมอบรายชื่อของทุกคนในตระกูลตัวเองออกมา ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะนำกำลังคนไปตรวจสอบทีละตระกูล
หลังจากเหมียวอี้ได้ยินข่าว ก็นึกไม่ถึงว่าเกาก้วนจะทำแบบนี้ ทำได้เพียงขอให้เทพประจำดาวฟ้าเถาะภาวนาให้ตัวเอง หวังว่าทางตระกูลจาจะไม่มีช่องโหว่อย่างอื่นแล้ว หวังว่าเทพประจำดาวฟ้าเถาะจะจัดการให้เรียบร้อยได้ อย่าให้ตอนสุดท้ายต้องเปิดโปงสิ่งที่เขาปิดบังเอาไว้ไม่ยอมรายงานขึ้นไปออกมา
ที่จริงเหมียวอี้ก็รู้ดี ว่าการที่ตนช่วยเทพประจำดาวฟ้าเถาะครั้งนี้ ก็เท่ากับตนหลอกลวงตำหนักสวรรค์ ถึงแม้ในมือจะบีบจุดอ่อนของเทพประจำดาวฟ้าเถาะเอาไว้ แต่ถ้าไม่ถึงยามจนตรอก เขาก็ไม่กล้าทำออกมาใช้
แต่มีบางอย่างที่เหมียวอี้ยังไม่รู้ ว่าที่จริงเกาก้วนเสนอแนะราชันสวรรค์ ว่าให้ซือหม่าเวิ่นเทียนขอรายชื่อทุกคนในตระกูลของผู้มีอำนาจเอาไว้ฉบับหนึ่ง รายชื่อฉบับนี้ละเอียดกว่าฉบับที่ขอให้ตระกูลผู้มีอำนาจส่งมาให้เอง มีคนมากมายที่ไม่ปรากฏรายชื่ออยู่ในฉบับที่ตระกูลผู้มีอำนาจส่งมาให้ เกาก้วนไม่อยากทำให้เรื่องนี้ใหญ่โต จึงเน้นตรวจสอบเฉพาะนักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่งที่ขาดหายไป แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังทำให้ตระกูลผู้มีอำนาจมากมายตกใจเหมือนไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่านอยู่ดี เบื้องล่างของใครไม่มีตัวละครลับซ่อนอยู่บ้าง ถ้าจะฟื้นฝอยขึ้นมาจริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะสืบเรื่องอะไรออกมาได้อีก
พูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ มีตระกูลไหนบ้างที่ไม่ทำเรื่องน่าอับอายลับหลังราชันสวรรค์
กลุ่มขุนนางใหญ่นั่งไม่ติดที่แล้ว รวมตัวกันคัดค้านในที่ประชุมราชสำนัก ดังนั้นเกาก้วนจึงถูกราชันสวรรค์เรียกตัวกลับมา ราชันสวรรค์เองก็เข้าใจเช่นกัน ดูจากแนวโน้มสถานการณ์แบบนี้ ถ้าสืบต่อไปใต้หล้าจะต้องวุ่นวายมาก เรื่องนี้ก็จะเท่ากับว่าจบแบบไม่มีบทสรุปแล้ว เพียงแต่ในวังสวรรค์หลังจากประชุมราชสำนึก ราชันสวรรค์โมโหเดือดดาลมาก ทุบทำลายข้าวของไปมากมาย นางสนมหลายคนที่ทำอะไรไม่เหมาะสมแม้เพียงนิดเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนราชันสวรรค์ประทานความตายให้แล้ว ทำให้คนในวังตกใจเหมือนเงียบกริบเหมือนจั๊กจั่นในฤดูหนาว
เมื่อข่าวแพร่ออกไป กลุ่มผู้มีอำนาจในราชสำนักก็ทำตัวว่าง่ายแล้วเช่นกัน ขณะเดียวกันก็สั่งให้ช่วงนี้ลูกน้องใต้สังกัดตัวเองทำตัวดีๆ หน่อย ในใจล้วนรู้ดี ว่านี่คือการร่วมมือกันกดดันราชันสวรรค์! ถ้าทำตัวไม่ดีนิดเดียวแล้วถูกจับได้ นั่นก็เท่ากับรนหาที่ตาย ดีไม่ดีท่านนั้นอาจจะประหารทั้งโคตรก็ได้ แต่การพุ่งเป้าไปที่ลูกน้องของคนอื่นก็ยังไม่มีปัญหา
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เอาไว้พูดตอนหลัง คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาตำหนักสวรรค์ไปแล้ว พวกเหมียวอี้ก็ถูกปล่อยออกมาแล้วเช่นกัน เพียงแต่ของที่กลับมาอยู่ในมือทุกคนหดหายไปไม่น้อย ของที่มีที่มาไม่ชัดเจนล้วนกลายเป็นวัตถุพยานไว้เตรียมตรวจสอบ ที่สำคัญคือของในที่เก็บสมบัติมีมากมายขนาดนั้น ใครจะไปจำที่มาที่ไปได้หมดทุกชิ้น?
สิ่งที่ยิ่งทำให้คนพวกนี้ข่มไฟโกรธไว้ก็คือ ของมากมายที่ได้จากการค้นยึดร้านค้า ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวานำไปเป็นวัตถุพยานไว้เตรียมตรวจสอบหมดแล้ว หลังจากตรวจนับเสร็จก็ม้วนเก็บกลับไปด้วยเลย เจ้าโมโหแต่ก็โวยวายไม่ได้!
“เฮ้อ! ยังนึกว่าหน่วยตรวจการฝ่ายขวาเป็นหน่วยงานที่รายได้น้อย ตอนนี้เพิ่งจะได้รู้ ว่านั่นที่เรียกว่าทรัพย์สินอุดมสมบูรณ์ของจริง!”
พวกเหมียวอี้ออกมาน้อมส่งพวกเกาก้วนที่นอกกำแพงเมือง ขณะมองตาม ‘แขกผู้มีเกียรติ’ จากไป สวีถังหรานที่อยู่ข้างกันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
…………………………