พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1292 เวทีหลักของสวีถังหราน
ในบรรดาผู้หญิงที่ทำความสะอาด มีบางคนเคยเป็นคู่แข่งที่ช่วงชิงมงกุฎเสวี่ยหลิงหลง แต่ตอนนี้ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ต่อให้จะยังอิจฉาริษยาอยู่ แต่เสวี่ยหลิงหลงในวันนี้ควรได้รับคำอวยพรจากเพื่อนร่วมอาชีพทุกคนเป็นธรรมดา เป็นเพราะเสวี่ยหลิงหลงนำพาความหวังมาสู่พวกนางทุกคน
กลีบดอกไม้ไหลลงคลองสองข้างทางตามแรงฉีดล้างของกระแสน้ำ ลอยไปไกลตามกระแสน้ำ ทุกอย่างลอยไปไกล ถนนกลับกลายเป็นสะอาดเหมือนเดิม
ท่านแม่สวีปาดน้ำตาด้วยความประทับใจ ประสานมือแสดงความเคารพให้พวกนางอยู่ตรงประตูหอกลิ่นสวรรค์ แสดงความขอบคุณ!
เป็นไปไม่ได้ที่มู่หรงซิงหัวและคนอื่นๆ จะตามขบวนของสวีถังหรานวนไปจนทั่วทั้งเมือง ไปถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายก็พอแล้ว ตอนหยุดพักอยู่กับที่ครู่เดียว ใครจะคิดว่าจะได้เห็นฉากนี้ พวกเขาเข้าใจการกระทำของท่านแม่สวีในทันที ฝูชิงถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ว่ากันว่าโสเภณีไร้ความรู้สึก นางคณิกาไร้คุณธรรม แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป!”
ฉากนี้ทำให้ด้านหลังขบวนรับเกี้ยวเจ้าสาวมีเสียงดังเกรียวกราวเล็กน้อย จิตใต้สำนึกทำให้เสวี่ยหลิงหลงอยากจะหันกลับไปมอง แต่สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ รีบเตือนว่า “ฮูหยิน หันกลับไปไม่ได้เจ้าค่ะ อย่าหันกลับไปเด็ดขาด!”
เสวี่ยหลิงหลงนึกถึงคำที่ท่านแม่สวีย้ำเตือนทันที เมื่อแต่งงานออกจากประตูบานนี้ไปแล้วก็ห้ามหันกลับมา ‘เมื่อขึ้นเกี้ยวที่ใช้รับเจ้าสาว ต่อให้ฟ้าถล่มก็หันกลับมาไม่ได้เด็ดขาด จะกลับมาเดินเส้นทางเดิมอีกไม่ได้’
ดังนั้นนางจึงข่มอารมณ์ชั่ววูบที่จะหันกลับไปมองข้างหลัง
สวีถังหรานกลับหันไปมองแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกสงสัยว่าใครจัดคนมากวาดถนน ถือว่าเอาใจใส่มากทีเดียว จึงถ่ายทอดเสียงสั่งลูกน้องที่เดินตามอยู่ข้างเกี้ยว “ไปถามหน่อยว่าเรื่องอะไรกันแน่?”
ลูกน้องวิ่งไปไม่นานแล้วก็กลับมาอีก ถ่ายทอดเสียงอธิบายเหตุผลให้รู้ สวีถังหรานงงงัน เอียงหน้ามองเสวี่ยหลิงหลงที่เมื่อครู่นี้เพิ่งถูกสั่งว่าไม่ให้หันกลับไป
ขบวนรับเกี้ยวเจ้าสาวเลี้ยวเข้ามาที่ถนนใหญ่แล้วเริ่มวนรอบเมือง ส่วนผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่เดินตามอยู่ไกลๆ ก็คอยเก็บกวาดตามหลังตลอด ไม่มีใครสร้างภาพตบตา นอกจากเวลาตักน้ำแล้ว ตอนเก็บกวาดก็ไม่มีใครร่ายอิทธิฤทธิ์ ล้วนใช้พลังกายของตัวเองทำอย่างจริงจัง
ยังดีที่มีคนเยอะ มีประมาณพันกว่าคน ระดับความกว้างของถนนมีจำกัด ทุกคนสามารถผลัดกันทำได้ ทว่าขอบเขตของตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่เล็กๆ ร้านค้าที่ค่อนข้างใหญ่ก็จะครองพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำหนักคุ้มเมืองและจวนผู้บัญชาการสี่เขต สรุปก็คือถ้ารวมขอบเขตให้ครอบคลุมทั้งตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่เล็กๆ เลย แค่คิดก็รู้แล้วว่าการเดินเท้ารอบเมืองจะเป็นอย่างไร
ตอนเช้ายังมีคนมากมายมาดูเอาสนุก ตอนเที่ยงเรื่องปาฏิหาริย์นี้ก็แพร่ไปทั่วทั้งตลาดสวรรค์ พอตกบ่าย คนที่อยู่สองข้างทางล้วนอยู่ในความสงบเงียบขณะที่มองดูกลุ่มผู้หญิงที่เก็บกวาดถนนตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย ต่างก็ดูออกว่าไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์เก็บกวาด ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยกายเนื้อเก็บกวาดถนนที่ไกลขนาดนี้ได้ เสียงหัวเราะเย้ยหยันจึงค่อยๆ เงียบลง
เมื่อใกล้จะถึงตอนค่ำ ขบวนรับเกี้ยวเจ้าสาวก็ถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกที่ประดับประดาผ้าหลากสีและโคมไฟสวยงามแล้ว ตอนที่ลงจากเกี้ยว สุดท้ายสายตาของเสวี่ยหลิงหลงที่อยู่หลังม่านไข่มุกก็ไปหยุดอยู่ที่กลุ่มผู้หญิงแต่งตัวธรรมดาที่กำลังขยันขันแข็งเก็บกวาดอยู่ตรงจุดไกลๆ นางยืนค้างอยู่ตรงประตูทันที สุดท้ายก็เข้าใจแล้วว่าเสียงความเคลื่อนไหวที่ตามหลังอยู่ก่อนหน้านี้คืออะไร
สวีถังหรานที่กำลังจูงนางอึ้งไปชั่วขณะ มองตามนางไป
สาวใช้ทั้งสองของเสวี่ยหลิงหลงร้อนใจทันที กระซิบเรียกเบาๆ “ฮูหยิน…”
ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติทางด้านนี้สะเทือนถึงกลุ่มผู้หญิงที่ออกแรงเก็บกวาดอยู่ข้างหลังแล้วเช่นกัน มีบางคนดึงให้คนอื่นมาทำงานด้วยกัน
ผ่านไปไม่นาน กลุ่มที่ผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนชาวบ้านก็ทยอยกันยืนขึ้น มีบางคนเหนื่อยจนเหงื่อไหล มีบางคนเหนื่อยจนหน้าซีด บางคนเหนื่อยจนลุกขึ้นยืนแล้วโซเซ มีคนไม่น้อยที่มือเสียดสีกันจนมีเลือดออก ใบหน้างามของแต่ละคนถอดสี สะบักสะบอมเกินทน
น้ำตาในดวงตาของเสวี่ยหลิงหลงเอ่อล้นออกมาทันที สาวใช้ทั้งสองรีบเตือนอีกครั้ง “ฮูหยิน วันมงคลแบบนี้ร้องไห้ไม่ได้เจ้าค่ะ ร้องไห้ไม่ได้!”
“ฮือๆ” เสวี่ยหลิงหลงเอามือปิดปาก พยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
ทุกคนที่อยู่ตรงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกพูดไม่ออกแล้ว เรื่องนี้วุ่นวาย ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวที่รออยู่ที่นี่ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
กลุ่มผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนชาวบ้านกลับทำสีหน้าหวาดกลัว นึกไม่ถึงว่าความหวังดีของทุกคนกลับทำลายวันมงคลของเสวี่ยหลิงหลงแล้ว
“ฮูหยิน…” สาวใช้ทั้งสองร้อนใจจะตายอยู่แล้ว อยากจะจับตัวเสวี่ยหลิงหลงเข้าไปในประตูเสียเลย
ปรากฎว่ากลับเป็นสวีถังหรานที่ยกมือห้ามสาวใช้สองคนที่กำลังเร่งเร้า คนที่ประจบประแจงเก่งจะไม่เข้าใจเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ได้อย่างไร เขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของเสวี่ยหลิงหลงในตอนนี้ได้ เขาเข้ามาใกล้ตรงหน้าเสวี่ยหลิงหลง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยิน ไปคารวะขอบคุณด้วยกันกับข้าเถอะ!”
ม่านไข่มุกสั่นไหว เสวี่ยหลิงหลงหันมามองเขา น้ำตาไหลพรากทันที ราวกับทำใจเชื่อได้ยากนิดหน่อย
ผลก็คือสวีถังหรานเป็นฝ่ายจูงมือนาง แทนที่จะเข้าประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการ เขากลับจูงนางเดินไปหากลุ่มผู้หญิงเก็บกวาดถนนที่กำลังหวาดกลัว
ความคิดของเขาไม่ซับซ้อนเลย เรื่องที่ควรเสียหน้าก็เสียไปแล้ว จะไปอุดปากคนอื่นก็ไม่ได้เหมือนกัน ไม่สู้ข้าทำตัวเป็นคนฉลาดใจกว้างหน่อยดีกว่า ต้องเปลืองแรงสักหน่อยก็แล้วกัน อย่างน้อยก็ต้องโอ๋คนที่อยู่ข้างกายตัวเองให้มีความสุข จะปล่อยให้แย่ทั้งสองฝั่งไม่ได้
ทั้งสองเดินไปตรงหน้าผู้หญิงกลุ่มนั้นที่กำลังลังเลว่าจะเข้ามาหรือจะถอยไปดี สวีถังหรานบอกว่า “ทุกท่านคอยส่งมาตลอดทางจนถึงตรงนี้ สวีไม่รู้จะขอบคุณยังไง โปรดรับการคำนับจากพวกเราสองสามีภรรยาด้วย!” พูดจบก็โค้งกายก่อน
เสวี่ยหลิงหลงตกตะลึงแล้วจริงๆ นึกไม่ถึงว่าสวีถังหรานจะทำแบบนี้ได้ ในใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็โค้งกายคำนับตาม สองสามีภรรยาโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง
“มิบังอาจ มิบังอาจ”
“นายท่านผู้บัญชาการอย่าทำแบบนี้”
“นายท่านผู้บัญชาการรีบยืนขึ้นเถอะ”
กลุ่มผู้หญิงจากสถานบันเทิงที่ลบเครื่องประทินโฉมออกหมดรีบร้อนผายมือขึ้นทันที หลายปากแย่งกันพูดให้ยืนตรง จะบอกว่าผู้หญิงเป็นเพศที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกก็ไม่ผิด มีคนไม่น้อยเอามือปิดปากร้องไห้แล้ว อิจฉาเสวี่ยหลิงหลงจะตายอยู่แล้ว
กลุ่มคนที่ดูอยู่สองข้างทางงุนงง ถูกบรรยากาศในตอนนี้ย้อมความรู้สึกไปด้วย รู้สึกเคารพสวีถังหรานขึ้นมาอย่างประหลาด พบว่าการที่อีกฝ่ายสามารถเป็นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกผู้สง่าผ่าเผย ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถค้อมกายคารวะผู้หญิงจากสถานบันเทิงต่อหน้าฝูงชนได้ ความใจกว้างนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบติด
“สวีถังหรานคนนี้ ข้าดูไม่ออกจริงๆ” มู่หรงซิงหัวที่อยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการพึมพำอย่างแปลกใจ ในดวงตาฉายแววทึ่ง มองสวีถังหรานด้วยมุมมองใหม่แล้วจริงๆ
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มองหน้ากันเลิกลั่ก นี่ใช่เจ้าคนขี้ประจบจริงเหรอ? สงสัยการประจบประแจงคงจะเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทุกที่
“น่ารำคาญ!” แม้แต่หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ตรงประตูก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวเหยียดหยาม แต่พอมองไปที่สายตาของสวีถังหราน สุดท้ายท่าทีของนางก็ดีขึ้นไม่น้อย รู้สึกดีใจแทนเสวี่ยหลิงหลง สงสัยสวีถังหรานจะชอบเสวี่ยหลิงหลงจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก คาดว่าต่อไปนี้คงจะปฏิบัติกับเสวี่ยหลิงหลงไม่แย่เท่าไรนัก
ข้างกายนางยังมีสตรีที่รูปร่างสูงสง่าอีกคนหนึ่ง ใบหน้างดงามดุจภาพวาด ลักษณะองอาจกล้าหาญ สวมชุดกระโปรงสีขาวทั้งตัว ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือจ้านหรูอี้ ศัตรูคู่แค้นของเหมียวอี้นั่นเอง เหตุผลเดียวที่นางมาปรากฏตัวที่นี่ในตอนนี้ได้ ก็เป็นเพราะนางคือสหายของหวงฝู่จวินโหรว แต่ตอนนี้ยังไม่เปิดเผยตัวตนของตัวเองให้คนรอบข้างรู้
ตอนนี้พอได้เห็นการกระทำแบบนี้ของสวีถังหราน จ้านหรูอี้ที่เงียบมาตลอดก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “คนนี้คือสวีถังหราน ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกเหรอ?”
หวงฝู่จวินโหรวพยักหน้า จ้านหรูอี้กล่าวอย่างทึ่งเล็กน้อยว่า “นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมีลูกน้องเป็นผู้ชายที่หายากขนาดนี้! คนไม่ธรรมดามักจะมีลูกน้องไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย” คำพูดของนางเท่ากับเป็นการยอมรับว่าเหมียวอี้ไม่ธรรมดา ขณะที่พูดก็อดไม่ได้ที่จะมองมู่หรงซิงหัว ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการสามคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากค่อนข้างใช้ได้ ถ้ามีโอกาสนางก็จะดึงตัวสวีถังหรานรวมทั้งคนพวกนี้มาเป็นลูกน้องตัวเองพร้อมกันเลย
หวงฝู่จวินโหรวอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน นางขี้เกียจประเมินค่าหนิวโหย่วเต๋อ แต่ยามปกติสวีถังหรานผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกคนนี้มีนิสัยเป็นอย่างไร นางรู้ดีที่สุดแล้ว เป็นแค่คนต่ำทรามไร้ยางอายคนหนึ่ง สาเหตุที่วันนี้รักบ้านและอีกาที่อยู่บนหลังคาบ้าน[1] ก็คงจะเป็นเพราะเสวี่ยหลิงหลงกระมัง จะเรียกว่าไม่ธรรมดาได้อย่างไรกัน ธรรมดาจะตายไป ธรรมดาจนถึงขั้นที่คนทั่วไปรับไม่ได้
ปฏิกิริยาของคนที่อยู่รอบข้างก็ไม่เลว สวีถังหรานได้ทำแล้วก็ต้องทำให้สุด พูดกับกลุ่มผู้หญิงของสถานบันเทิงอีกว่า “ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก ในเมื่อให้เกียรติมาเยือนงานของสวี ก็ได้โปรดไว้หน้าดื่มสุรามงคลสักจอก ทหาร!”
“นายท่าน!” ลูกน้องคนหนึ่งถลันตัวเข้ามากุมหมัดคารวะ
สวีถังหรานกล่าวว่า “สั่งให้ทางสวนหยกเพิ่มโต๊ะ พวกนางล้วนเป็นแขกของสวี อย่าต้อนรับไม่ดี”
ลูกน้องทำสีหน้าลำบากใจทันที ในใจแอบร้องทุกข์ ตรงนี้เกรงว่าจะมีคนเป็นพัน ถ่ายทอดเสียงตอบทันทีว่า “นายท่าน มากันรวดเดียวเยอะขนาดนี้ ถ้าอยากจะต้อนรับย่างดีก็เกรงว่าจะไม่ทันแล้วขอรับ”
กลุ่มผู้หญิงที่เหนื่อยล้าอ่อนแรงซาบซึ้งมากแล้ว สังเกตจากสีหน้าและคำพูดก็พอจะเดาสาเหตุคร่าวๆ ได้ จู่ๆ ก็เพิ่มคนจำนวนมากขนาดนี้ จะเตรียมการทันได้อย่างไร กอปรกับพวกนางมีฐานะสกปรก ยามปกติจะได้ไปนั่งโต๊ะดื่มสุรามงคลที่บ้านคนอื่นเสียที่ไหนกัน นั่นไม่ใช่การไปพังงานคนอื่นหรอกเหรอ คงไม่ต่างอะไรกับการดื่มสุราในหอนางโล่ม ย่อมอยากจะหลีกเลี่ยงอยู่แล้ว พากันกล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวลทันที “น้ำใจของนายท่านผู้บัญชาการ พวกเราซาบซึ้งแล้ว”
แต่ใครจะคิดว่าสวีถังหรานก็กล่าวเสียงดังว่า “จะไม่ทันได้ยังไง? ก็แค่เพิ่มอีกพันคนเองไม่ใช่เหรอ?” เขาหันกลับมาตะโกนถาม “พี่ฝู พี่อิง น้องมู่หรง ดึงคนจากเขตเมืองพวกเจ้าออกมาได้รึเปล่า?”
“ไม่มีปัญหา!” มู่หรงซิงหัวยิ้มตอบ
“เรื่องนี้สวีไม่ต้องเป็นห่วง” ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กล่าวรับประกันพร้อมกัน
ทั้งสามหันไปสั่งให้ลูกน้องเตรียมการทันที
“พวกเจ้าได้ยินแล้วนะ” สวีถังหรานหันกลับมาบอกผู้หญิงกลุ่มนั้นอีกครั้ง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ “ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก อย่าให้ขาดไปแม้แต่คนเดียว สุรามงคลจอกนี้เราสองสามีภรรยาจะต้องดื่มคารวะให้ได้ ถ้าไม่มาแสดงว่าไม่ไว้หน้าพวกเราสองสามีภรรยา”
เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้แล้ว อีกฝ่ายลดเกียรติของตัวเอง แสดงความจริงใจซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้ายังปฏิเสธอีกก็จะฟังไม่ขึ้นแล้ว ผู้หญิงกลุ่มนั้นพากันตอบตกลง ต่างก็แสดงออกว่าจะไปดื่มสุรามงคลจอกนี้ หลังจากก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงอบายมุข นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกนางได้ไปดื่มสุรามงคลบ้านคนอื่น มีคนไม่น้อยซาบซึ้งในจนร้องไห้ เอามือปิดปากร้องไห้สะอึกสะอื้น
เสวี่ยหลิงหลงซาบซึ้งใจสุดๆ แล้ว นางน้ำตาไหลเงียบๆ ร้องไห้ด้วยความรู้สึกสุขใจ คำพูดที่คับแค้นใจทุกอย่างหายไปในชั่วพริบตาเดียว รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนคุ้มค่า ทำให้นางสงบใจมากกว่าเดิม อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลอีกว่าสวีถังหรานจะดูถูกพื้นเพอาชีพของนาง
ทักษะทางการแสดงของสวีถังหรานย่อมไม่ใช่เล่นๆ นึกถึงตอนแรกที่เข้าร่วมการทดสอบ เขาเป็นคนที่สามารถแสดงบทเศร้าจนโค่วเหวินหลานหลั่งน้ำตาได้ ตอนนี้พอเขาได้แสดงในเวทีหลักของตัวเองขึ้นมาก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
จ้านหรูอี้ส่ายหน้าถอนหาใจอีกครั้ง “โหรวโหรว เดี๋ยวเจ้าแนะนำผู้บัญชาการสวีคนนี้ให้ข้ารู้จักสักหน่อยนะ”
หวงฝู่จวินโหรวหันกลับมามองอย่างพูดไม่ออก ราวกับกำลังถามว่า พูดจริงหรือพูดเล่น?
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และมู่หรงซิงหัวกลับกำลังอึดอัดใจ วันนี้สวีถังหรานดวงขึ้นเรื่องการประจบเหรอ? เล่นบ้าอะไรของเจ้า?
สมกับเป็นคนที่คลุกคลีอยู่ด้วยกันบ่อยๆ สวีถังหรานมีการใคร่ครวญคิดการวางแผนจริงๆ ตรงนี้มีคนอยู่อย่างน้อยพันกว่าคน จะมาร่วมดื่มสุรามงคลโดยไม่มอบอั่งเปาให้ได้อย่างไร? วันนี้เป็นวันมหามงคล คาดว่าการดึงกำลังคนจากพวกฝูชิงมาช่วยงานเลี้ยงก็ไม่ต้องออกเงินเองด้วย หรือพูดได้อีกอย่างว่า อั่งเปาของคนพันกว่าคนนี้คือกำไรเน้นๆ ถึงอย่างไรก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว เรื่องที่ควรเสียหน้าก็เสียหน้าไปแล้ว แล้วทำไมไม่ตักตวงเงินสักหน่อยล่ะ?
เขาเองก็อาจจะคาดคิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าการกระทำในวันนี้ได้ทำให้เขามีชื่อเสียงไปทั่วหล้า ผู้หญิงในสถานบันเทิงพากันเอ่ยถึงสวีถังหรานอย่างเคารพเลื่อมใส พวกนางต่างก็เรียกเขาว่า ‘ผู้มีพระคุณ’ หวังจะให้เหตุการณ์ในครั้งนี้ปลุกเร้าให้ในใต้หล้ามีผู้ชายแบบสวีถังหรานเยอะๆ
…………………………
[1] รักบ้านและอีกาที่อยู่บนหลังคาบ้าน 爱屋及乌 หมายถึง รักใครก็รักคนหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วย