พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1295 หาหลักฐานพิสูจน์
อวิ๋นจือชิวอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงโยงมาพูดเรื่องนี้ จึงถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าสงสัยเหล่าไป๋ทำไม?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า เหมือนจะไม่อยากพูดถึงเรื่องเหล่าไป๋มาก จึงพูดสิ่งเดิมต่อ “ในตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่าหมายความว่ายังไง ตอนหลังถึงได้เริ่มเข้าใจทีละนิด สิ่งที่เขาพูดกำลังถูกพิสูจน์ทีละอย่าง ถ้าวันไหนข้ารู้สึกโดดเดี่ยวจริงๆ อวิ๋นจือชิว เจ้าจะยังอยู่เคียงข้างข้ามั้ย?”
อวิ๋นจือชิวยื่นขาสองข้างออกมาพันเอวเขา จูบหัวไล่ของเขาเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เป็นสามีภรรยาที่ผูกชีวิตไว้ร่วมกัน ไม่แยกจากกัน จนกระทั่งตายก็ไม่เปลี่ยนแปลง”
เหมียวอี้ใช้มือลูบไล้ขาที่เกลี้ยงเกลาของนาง พลางกล่าวเสียงต่ำอย่างช้าๆ ว่า “ตั้งแต่ข้าเริ่มเข้าวงการนี้ ก็ผ่านการเข่นฆ่าทั้งสนามเล็กสนามใหญ่ สู้ศึกเลือดมาตลอดทาง ไม่รู้ว่าเอาชีวิตรอดจากความตายมากี่ครั้งแล้ว มาถึงที่นี่เดิมทีคิดว่าจะได้เป็นเศรษฐี ที่พิภพเล็กเอาไว้เป็นสวนหลังบ้านอย่างรู้จักพอเพียง และไม่เคยคิดว่าจะมีภรรยาหลายคน โอบซ้ายที่กอดขวาที ใครจะคิดว่ากิจการแรกที่สร้างไว้ที่ตลาดสวรรค์จะต้องส่งมอบให้ผู้อื่นด้วยความเต็มใจ ตอนหลังนอกจากจะได้รับความอัปยศต่างๆ นาๆ แล้ว กลุ่มคนที่แดนอเวจีก็รวมหัวกันรังแกข้าคนเดียว เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด ก็เลยต้องบุกเดี่ยวทำศึกเลือดเข้าไปในทัพใหญ่หนึ่งล้าน โดนขังอยู่ท่ามกลางโจรกบฏหกลัทธิ ต้องยอมทำตัวต่ำต้อยเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ใครจะคิดว่าบ้านของอนุภรรยาอีกห้าบ้านจะไม่สนใจแม้แต่เส้นตายพื้นฐาน ต้องการจะร่วมมือกันเล่นงานให้ข้าถึงตาย ไม่มีใครช่วยข้าพูดสักคน ขนาดปู่เจ้ายังเป็นไปกับเขาด้วยเลย ข้าผิดหวังท้อใจ สิ้นหวังท้อแท้อยู่ในสภาพที่อับจน จะมีใครบ้างที่รู้? ตอนนั้นข้าไม่มีหนทางรอดอะไรเหลืออยู่เลย ที่รอดมาได้เพราโชคช่วยล้วนๆ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ชัดเลยว่าตัวเองรอดมาได้ยังไง พออออกจากแดนอเวจีได้ ยังไม่ทันได้ดีใจที่ได้รอดชีวิตก็ต้องโดนลงโทษอีกแล้ว การลงโทษจะหนักหรือเบาก็ขึ้นอยู่กับบัญชาสวรรค์ ตอนนั้นข้ากังวลมากขนาดไหนใครจะรู้? ถ้าโดนหนักก็หัวร่วงลงพื้น ใครจะกล้ามาช่วยชีวิตข้าล่ะ? พอกลับมาทีตลาดสวรรค์พวกเจ้าก็เอาแต่เกลี้ยกล่อมให้ข้าทนรับความอัปยศ ข้าจะไม่รู้เชียวเหรอว่าการฆ่าพวกเขาเป็นการเก็บเกาลัดจากกองไฟ[1]? แต่ใครจะไปรู้ว่าฟ้าสูงขนาดไหน ผู้มีอำนาจที่ใช้อิทธิพลกดดันข้ายังมีอีกเท่าไร ทำผิดไปแล้วจะทนถึงตอนสุดท้ายได้ยังไง ข้ามีอยู่เส้นทางเดียวเท่านั้น ก็คือต้องสู้กับพวกเขาให้ถึงที่สุด มีเพียงการยืนอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิมเท่านั้นถึงจะปลอดภัยยิ่งขึ้น ตอนนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ว่าจะกลับไปกลับมาไม่ได้ ต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น!”
“กลับเถอะ!” อวิ๋นจือชิวฟังจนน้ำตานองหน้าแล้ว กอดเขาพลางส่ายหน้าสะอึกสะอื้น “หนิวเอ้อร์ ข้าผิดไปแล้ว กลับเถอะ พวกเรากลับพิภพเล็กกัน ไม่ต้องช่วงชิงสิ่งเหล่านั้นแล้ว”
“กลับไปเหรอ? ยังกลับไปได้ด้วยเหรอ? ที่พิภพเล็กมีคนที่สามารถไปมาพิภพใหญ่อย่างอิสระได้ตั้งนานแล้ว ขนาดปู่เจ้ายังไว้ใจไม่ได้เลย ใครจะกล้ารับประกันว่าเทพพยากรณ์จะปิดปากเงียบไปตลอด ถ้าถูกคนของพิภพใหญ่พบขึ้นมา พวกเราจะสามารถร้องขอชีวิตได้เหรอ? ตำหนักสวรรค์สามารถตัดสินความเป็นความตายของข้าได้ทุกเมื่อ โจรกบฏที่แดนอเวจีก็บีบจุดอ่อนของข้าอยู่ สามารถทำให้ข้าตายได้ทุกเมื่อ
เจ้าว่าข้าไปที่ไหนถึงจะรับรองได้จริงๆ ว่าจะไม่พลาดเลย? บนตัวข้าแบกบุญคุณความแค้นและหนี้เลือดไว้เยอะเกินไป หันกลับไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น! ถ้าแม้แต่คนข้างกายตัวเองข้ายังดึงไว้ไม่ได้ แล้วข้าจะก้าวไปข้างหน้าได้ยังไงล่ะ? สวีถังหรานสร้างผลงานครั้งแล้วครั้งเล่า ตำแหน่งขุนนางก็อยู่ใต้บังคับบัญชาข้าเท่านั้น ข้าไม่มีทางเลื่อนตำแหน่งให้เขาสูงขึ้นได้เลย เขายังห่างจากระดับบงกชรุ้งอีกไกล…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว!” อวิ๋นจือชิวพลันหันตัวมาจูบปากเขา กดเขาลงบนเตียงด้วยน้ำตานองหน้า บ้าระห่ำ เป็นฝ่ายรุก…
หลังจากนั้นหลายเดือน เมื่อเห็นว่าทั้งข้างบนทั้งข้างล่างไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร คลื่นลมสงบชั่วคราว สองสามีภรรยาจึงปลอมตัวออกจากตลาดสวรรค์ พาฉินเวยเวย หงเหมียนและลู่หลิ่วกลับพิภพเล็กด้วยกัน
“ฮูหยิน นายท่านล่ะคะ?”
ที่น่านฟ้านอกพิภพเล็ก อวิ๋นจือชิวปล่อยพวกฉินเวยเวยออกมา ฉินเวยเวยที่เหลียวซ้ายแลขวาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
อวิ๋นจือชิวโบกมือชี้ไปด้านล่าง เป็นท้องฟ้าเหนือแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เหมียวอี้ลอยหยุดยืนอยู่ตรงนั้น
หลังจากคำนวณทิศทางด้านล่างคร่าวๆ แล้ว ลายนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้ก็พลันเปิดออก เสาแสงสีรุ้งสายหนึ่งพลันถูกยิงออกมา ฉินเวยเวย หงเหมียนและลู่หลิ่วเพิ่งได้เห็นฉากนี้เป็นครั้งแรก เรียกได้ว่าตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมีพลังอภินิหารมากขนาดนี้
อวิ๋นจือชิวเองก็ตกตะลึงเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมาหยุดอยู่ที่นี่ชั่วคราวเพราะต้องการจะใช้ตาทิพย์สำรวจแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง
พอเปิดตาทิพย์ เขาก็รีบกวาดมองหมอกสีเลือดลึกลับที่อยู่ด้านล่าง สายตาทะลุฝ่าหมอกหนาลงไป แนวเทือกเขาสีดำทึบที่สูงต่ำสลับกันอยู่ในสายตาทั้งหมด โลกสีขี้เถาที่คุ้นเคยอยู่ด้านล่างนี้เอง
จากปรากฏการณ์ที่เลือนรางในปีนั้น ไม่นานสายตาของเขาก็ไปหยุดที่แอ่งกระทะแห่งหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ตกใจมากก็คือ เขาพบว่าในแอ่งกระทะมีตั๊กแตนทมิฬดุร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กคลานอยู่นับไม่ถ้วน มากมายจนเหมือนภูเขาเล็กๆ
ตาทิพย์ทำให้สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์เร็วเกินไป อาศัยวรยุทธ์ของเขายังไม่สามารถใช้ต่อเนื่องได้นาน เขาย้ายสายตาไปรวมอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งกลางแอ่งกระทะ ที่ตีนเขามีบันไดกินที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ บันไดทอดยาวขึ้นไปบนยอดเขา
ความคิดของเหมียวอี้ย้อนกลับไปในปีนั้นทันที ย้อนกลับไปตอนที่ได้ยินเสียงฉินในปีนั้น ภาพที่เขาถือมีดเชือดหมูเดินขึ้นบันไดไป เหยียบขึ้นไปทีละก้าวอย่างช้าๆ พอขึ้นไปถึงยอดเขา เขาก็ถูกหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งดึงดูดความสนใจทันที บนหินใหญ่ก้อนนั้นสลักรูปสตรีคนหนึ่งที่กำลังกางแขนทะยานฟ้าอย่างอ่อนช้อยนิ่มนวล…
ในตอนนี้ตาทิพย์กำลังสำรวจค้นหาไปที่จุดนั้น ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว หินก้อนใหญ่ที่สลักภาพภาพสตรีที่กางแขนทะยานฟ้าอย่างอ่อนช้อยยังคงอยู่เหมือนเดิม ภาพของสตรีคนนี้ในรูปแบบต่างๆ เขาได้เห็นที่พิภพใหญ่มาหลายครั้งแล้ว
ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด’ ตัวอักษรเหล่านี้ยังคงอยู่บนหินขนาดใหญ่ก้อนนั้น บนแผนที่ซ่อนสมบัติที่พิภพใหญ่ เหมียวอี้ก็เคยเห็นมันมาหลายครั้งแล้วเช่นกัน
สุดท้ายสิ่งที่เขาอยากหาก็ปรากฏออกมาแล้ว บนโต๊ะหินตัวหนึ่ง บนนั้นมีกู่ฉินขนาดใหญ่ที่ยาวประมาณหนึ่งจั้งวางนอนอยู่ตัวหนึ่ง
บนตัวฉินที่เก่าแก่มีภาพสลักดาราจักร ผืนน้ำและแผ่นดิน แต่น่าเสียดายที่บนนั้นเหลือสายฉินอยู่เพียงสามสาย ดูออกเลยว่าเดิมทีมีอยู่แปดสาย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงขาดไปห้าสาย เหลือเพียงสายฉินสามสายมีมีลักษณะเหมือนมังกรย่อส่วน ประณีตงดงามมากราวกับมีชีวิต
อาศัยสายตาของเหมียวอี้ในตอนนี้ ถึงแม้จะแยกไม่ออกว่าของสิ่งนี้คืออะไร แต่ก็รู้ว่าต้องไม่ใช่ของวิเศษธรรมดาแน่นอน เขาอยากจะลงไปหยิบมาไว้ ทว่าพอกวาดตาทิพย์มองดูตั๊กแตนทมิฬที่ยั้วเยี้ยหนาแน่นอยู่ในแอ่งกระทะรอบๆ แล้ว เขาก็ต้องยอมแพ้ไป อาศัยศักยภาพของเขาในตอนนี้ถือว่ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกตั๊กแตนทมิฬ เขาเคยได้รับบทเรียนมาก่อน ตอนนั้นแทบจะรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้
เมื่อกวาดสายตามองไปรอบข้างอย่างคร่าวๆ เสาแสงที่สวยสดงดงามในตาทิพย์ก็พลันหดเก็บเข้ามาและปิดลง เหมียวอี้ใช้สมาธิครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วยกมือคลำเข้ามาในคอเสื้อ คลำลูกประคำสีเขียวเข้มเสน้ที่ห้อยอยู่บนคอตัวเอง พร้อมทั้งร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู
เป็นเหมือนอย่างเคย พลังอิทธิฤทธิ์ไม่สามารถทะลุเข้าไปตรวจสอบได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเชือกที่ใช้ห้อยลูกประคำคืออะไรกันแน่ ขนาดใช้เครื่องมือผลึกแดงบริสุทธิ์แล้วก็ยังตัดไม่ขาด
เขาหัวเราะเจื่อนพลางส่ายหน้า จากนั้นถลันตัวออกไปที่ท้องฟ้าด้านนอก แล้วพูดกับบรรดาผู้หญิงทีอยู่ตรงนั้นว่า “พวกเจ้ากลับตำหนักอู๋เลี่ยงไปก่อนเถอะ”
“ไม่กลับไปด้วยกันเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าต้องหาหลักฐานพิสูจน์เรื่องบางอย่าง ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“งั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน” อวิ๋นจือชิวบอกเขา และไม่ได้กังวลอะไรมาก ตอนนี้ที่พิภพเล็กไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเหมียวอี้แล้ว จึงพาพวกฉินเวยเวยเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
พอมองคล้อยหลังพวกนางจากไปแล้ว เหมียวอี้ก็พลิกตัวเหาะออกจากเขตน่านฟ้าที่ครอบคลุมแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เหาะจากฟ้าลงมาโดยตรง มาเหยียบลงบนกำแพงเมืองโบราณของเมืองฉางเฟิงที่ถูกปรับปรุงใหม่ซ้ำหลายครั้ง เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิบนกำแพงเมือง
รอจนกระทั่งฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ที่เสียไปเพราะใช้ตาทิพย์เสร็จแล้ว เขาก็ถลันตัวเข้าไป ไปเหยียบลงในถนนสายเล็กของเมืองฉางเฟิงโดยตรง อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ถ้ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปอยากจะค้นพบที่อยู่ของเขาก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
เดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่เดินขวักไขว่ ดมกลิ่นหอมของอาหารมนุษย์ที่โชยมาจากหัวถนน ตามหาตำแหน่ง ‘บ้าน’ ในปีนั้นตามความทรงจำที่มี หลังจากหาเจอก็พบว่าตรงนั้นกลายเป็นถนนสี่แยกไปแล้ว บ้านเรือนแถวนั้นถูกรื้อถอนทิ้งไปหมดแล้ว เมืองฉางเฟิงเปลี่ยนไปจนเขาจำไม่ได้แล้ว ตอนนี้แม้แต่ความทรงจำสุดท้ายอันน้อยนิดของเขาก็ถูกกลบไปแล้วเช่นกัน เหมียวอี้ยืนเงียบอยู่ตรงกลางถนนนานมาก เจ้ารองก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว แล้วเจ้าสามจะยืนอยู่ฝ่ายไหน?
เขาหันตัวเดินเข้ามาในถนนสายเล็ก อาศัยโอกาสตอนที่ไม่มีคนพุ่งขึ้นฟ้าไป เหาะข้ามแผ่นดินอันกว้างขวาง แล้วก็ผ่านมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ สุดท้ายก็ไปเหยียบลงบนเกาะแห่งหนึ่ง
เป็นเกาะที่เขากับเหล่าไป๋ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในปีนั้น บนเกาะรกร้างไร้ถนน เต็มไปด้วยหญ้าหวายสูงกว่าหัวคน เขาหาตำแหน่งถ้ำแห่งนั้นตามความทรงจำที่มี ปรากฏว่าถ้ำหลังนั้นถล่มลงมาตั้งนานแล้วด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ได้ ตรงจุดที่ถ้ำถล่มถูกปกคลุมด้วยพืชนานาชนิด
เขาเดินวนสำรวจรอบกาะรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้อะไรทั้งนั้น จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเทพพยากรณ์ ทว่าไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย…
ตอนที่กลับมาที่ตำหนักอู๋เลี่ยง ก็เป็นตอนเที่ยงของวันถัดมาแล้ว หลังจากเจออวิ๋นจือชิวเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เรียกรวมคนที่เกี่ยวข้องให้ไปที่ตำหนักหลังทันที เตรียมจัดการกิจธุระต่างๆ
หลังจากนั่งลงในโถง เหมียวอี้ก็มองไปเบื้องล่างพร้อมถามว่า “พี่ใหญ่ พี่สี่ เตรียมคนไว้พร้อมหรือยัง?”
“ไม่ต้องห่วง เตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”
ประมุขถิ่นทิศตะวันออกสงเวยและประมุขถิ่นทิศเหนือหงเทียนเอ่ยรับอย่างฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า ทั้งสองได้รับแจ้งล่วงหน้าแล้ว ว่าครั้งนี้เหมียวอี้จะพาพวกเขาไปที่พิภพใหญ่ ทั้งสองตื่นเต้นดีใจมานานแล้ว
ครั้งนี้ต้องการพาคนไปด้วยไม่น้อยเลย เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็จะไปเช่นกัน หยางชิ่งก็จะต้องไปด้วย ส่วนฉินเวยเวยกลับถูกอวิ๋นจือชิวอ้างเหตุผลให้อยู่ที่นี่ โดยอ้างว่าต้องหาคนที่ไว้ใจได้คอยคุมรักษาการณ์ที่นี่ หยางชิ่งก็ตอบตกลงแล้วเช่นกัน ส่วนเหมียวอี้ก็เงียบไว้ตลอด
ด้วยเหตุนี้ สงเวยจึงย้ายอดีตสองวีรบุรุษแห่งทะเลทรายม่านเมฆาหวงฉิงเทียนและอู๋ตัวมาเฝ้ารักษาการณ์ที่นภาอู๋เลี่ยง
ทางนี้เพิ่งจะกำหนดเรื่องออกเดินทางเสร็จ ทุกคนเพิ่งจะแยกย้ายกันออกไป ข้างนอกก็มีคนมารายงานว่า “ไต้ซือศีลเจ็ดขอพบขอรับ”
เหมียวอี้ย่อมไม่หลีกเลี่ยงที่จะพบ นอกจากเชิญให้เข้ามาแล้ว ยังออกไปต้อนรับที่ประตูตำหนักหลังด้วยตัวเองด้วย
หลังจากพบกันและทักทายกันตามมารยาท ทั้งสองก็เดินกลับเข้ามาด้วยกัน ไต้ซือศีลเจ็ดถามว่า “ท่านปราชญ์ได้ข่าวศีลแปดหรือไม่?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ขาดการติดต่อไปหลายปีแล้ว แต่ก็แน่ใจได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ระฆังดารายังติดต่อไป เพียงแต่เจ้าเวรนั่นไม่ยอมตอบกลับ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปหลบใช้ชีวิตหรรษาอยู่ที่ไหน”
ไต้ซือศีลเจ็ดถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “บนร่างกายศีลแปดถูกอาตมาระงับทวารไว้แล้ว ครั้งก่อนจู่ๆ ก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างเลือนราง สัมผัสได้ว่าสิ่งที่ระงับนั้นคลายออกไปบ้าง อาตมาสงสัยว่าเขาค้นพบวิธีการทำลายระงับนั้นแล้วหรือเปล่า หรือไม่ก็บรรลุอย่างถ่องแท้แล้วจริงๆ? ไม่กี่วันก่อนอาตมาถึงได้ใช้ระฆังดาราติดต่อเทพพยากรณ์ อยากจะขอให้เขาพาอาตมาไปที่พิภพใหญ่สักรอบ บางทีอาตมาอาจจะมีวิธีหาศีลแปดพบก็ได้ อยากจะไปดูว่าเป็นอย่างไรกันแน่ เทพพยากรณ์บอกว่าตัวอยู่ที่พิภพใหญ่ไม่สะดวกจะมาที่นี่ บอกว่าอีกไม่กี่วันท่านปราชญ์จะกลับมาที่พิภพเล็ก ให้อาตมามาหาท่านปราชญ์เพื่อให้พาไปด้วยกัน เพียงแต่ไม่ทราบว่าท่านปราชญ์จะสะดวกหรือเปล่า?”
เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย รู้สึกชาวาบหนังศีรษะนิดหน่อย ถามด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อเหมือนโดนตะคริวกินว่า “ไต้ซือบอกว่าไม่กี่วันก่อนเทพพยากรณ์ก็รู้แล้วเหรอว่าข้าจะกลับมาที่พิภพเล็ก?”
ไต้ซือศีลเจ็ดพยักหน้ายิ้มบางๆ รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เหมียวอี้เริ่มด่าในใจอีกแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้างที่เทพพยากรณ์นั่นทำนายไม่ได้?
…………………………
[1] เก็บเกาลัดจากกองไฟ 火中取栗 อุปมาว่าเสี่ยงอันตรายโดยที่อาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย