พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1297 โดนเฮยทั่นวางกับดักแล้ว
หลังจากมองส่งพวกหยางชิ่งจากไปแล้ว เหมียวอี้และคนอื่นๆ ก็กลับไปที่ตลาดสวรรค์
พักอยู่ที่ตลาดสวรรค์เพียงหนึ่งวันเท่านั้น เหมียวอี้ก็พาเฮยทั่นออกไปข้างนอกตามลำพังอีก หลังจากปลอมตัวแล้วก็เหาะไปยังจุดลึกของทะเลดาวอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
เหาะระยะไกลเป็นเวลาหลายเดือน ข้ามผ่านประตูดวงดาวหลายสิบแห่ง ในที่สุดเหมียวอี้ก็มาถึงน่านฟ้าเกิงกุ่ยแล้ว
น่านฟ้าเกิงกุ่ยก็คืออาณาเขตของตระกูลโค่ว เหมียวอี้มาที่นี่ก็เพื่อเยี่ยมคารวะคนของตระกูลโค่วอยู่แล้ว และพุ่งเป้ามาที่ประตูดวงดาวแห่งที่สองจากแผนที่ดาวสี่ฉบับด้วย ประตูดวงดาวแห่งแรกคือทางเข้าแดนอเวจี ส่วนประตูดวงดาวแห่งที่สองก็ไม่รู้ว่าจะพาไปทางไหน
ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างใจกว้าง แต่ตอนนี้เขารู้สึกขาดความปลอดภัยนิดหน่อย ไม่กล้าตัดสินว่าเทพพยากรณ์จะรักษาความลับเรื่องเส้นทางเข้าออกพิภพเล็กหรือไม่ ดังนั้นแม้แต่พิภพเล็กเขาก็ยังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยแล้ว จึงคิดจะหาทางหนีทีไล่อื่นๆ ถ้าเกิดสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากลขึ้นมา จะได้หาที่หลบซ่อนตัวได้สะดวก กันไว้ดีกว่าแก้คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
เมื่อเจอจุดเริ่มต้นที่อยู่มุมบนซ้ายบนแผนที่ดาวฉบับที่สองที่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ทำเครื่องหมายไว้แล้ว เหมียวอี้ก็เรียกเฮยทั่นออกมา แล้วขี่เฮยทั่นเหาะสำรวจตามแผนที่อย่างรวดเร็ว เมื่อค่อยๆ ออกห่างจากน่านฟ้าเกิงกุ่ย แผนที่ดาวก็ค่อยๆ หมดประโยชน์ไปทีละนิด เหมียวอี้ค้นหาโดยอิงตามแผนที่ตลอดทาง ขณะเดียวกันก็ถือแผ่นหยกสำรวจดาวรอบๆ และทำเครื่องหมายลงในเส้นทางเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน หากแผนที่ในมือผิดพลาดขึ้นมา ตัวเองจะได้อาศัยเส้นทางที่ตัวเองทำเครื่องหมายไว้เพื่อกลับน่านฟ้าเกิงกุ่ยได้ ไม่อย่างนั้นจะอันตรายเกินไปแล้ว
ไม่ว่าวรยุทธ์ของจ้าจะสูงเท่าไร แต่ในจักรวาลก็ไม่มีแบ่งแยกบนล่างซ้ายขวา ตัวอยู่ในอาณาเขตดาวที่ไม่รู้จัก ถ้าจำพิกัดที่แบ่งแยกทิศทางไม่ได้ก็จะหลงทางได้ง่ายมาก โดยเฉพาะเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่สภาพแวดล้อมโดยรอบมีระดับการแยกแยะต่ำ บางทีถ้าร่างกายลาดเอียงไปแค่นิดหน่อย เจ้าก็จะหลงทางแล้ว
อย่าไปคิดว่าวรยุทธ์สูงแล้วจะหาแหล่งดำรงชีวิตที่เหมาะสมในอาณาเขตดาวที่ไม่รู้จักเจอได้ง่ายๆ ดาราจักรกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ความสามารถในการค้นหาของตัวเองมีจำกัด บางทีดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การดำรงชีพอาจจะอยู่ห่างโดยใช้เวลาเหาะเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่เจ้าก็สามารถคลาดผ่านมันไปได้ง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้น ต่อให้วรยุทธ์จะสูงกว่านี้ แต่เมื่อหลงทางในดาราจักรขึ้นมา ผลลัพธ์สุดท้ายก็คืออาจจะล่องลอยหายไปในดาราจักรอันเวิ้งว้างไร้ขอบเขตตลอดไปเลยก็ได้
เหมียวอี้ย่อมไม่อยากมีจุดจบแบบนั้น มาเสี่ยงอันตรายเพียงลำพังก็ต้องระวังตัวสักหน่อย
หลังจากขี่เฮยทั่นเหาะอยู่ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ด้วยความเร็วปกติเกือบหนึ่งเดือน เหมียวอี้ที่ถือแผนที่ดูเปรียบเทียบเป็นระยะก็พลันลุกขึ้นยืน บนใบหน้าฉายแววตื่นเต้นดีใจ ประตูดวงดาวบานหนึ่งที่กำลังหมุนวนพลันปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
เฮยทั่นเองก็ตื่นเต้นดีใจจนเร่งความเร็วพุ่งไปข้างหน้าเช่นกัน เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ รอจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงแรงดึงมหาศาลที่มาจากประตูดวงดาวแล้ว เขาก็กลัวขึ้นมาทันที รีบตะโกนบอกว่า “เจ้าโจรอ้วน ทำอะไรของเจ้า? หยุดก่อน! เร็วเข้า! อย่าเข้าไป รีบกลับ!”
ตอนนี้ยังไม่รู้ชัดว่าด้านหลังประตูดวงดาวนั่นจะพาไปที่ไหน ต้องคิดหาทางทดสอบก่อนสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน ถ้าเป็นทางไปนรกขึ้นมา จะไม่เกิดปัญหาใหญ่หรอกเหรอ
เฮยทั่นรีบหมุตัวเลี้ยวเหาะกลับไป เหมียวอี้นอนหมอบอยู่บนหลังของมันแล้ว กำลังจับเขาสองข้างของมัน ทั้งร่างกายถูกแรงดึงมหาศาลของประตูดวงดาวดึงให้ลอยขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะคว้าเขาสองข้างของเฮยทั่นเอาไว้ ก็คงโดนแรงดึงมหาศาลดึงหลุดไปแล้ว
“เจ้าอ้วน! เร็วเข้า! เร็วสิ! เร็วๆ!” เหมียวอี้คำรามอย่างเกรี้ยวกราดร้อนใจ
“อ๋าว…” เฮยทั่นก็กลัวแล้วเช่นกัน มันร้องคำรามไม่หยุด กำลังสั่นหัวส่ายหางพยายามเหาะไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต แต่ผลปรากฏว่าก็ยังเหาะกลับไปข้างหลัง
เฮยทั่นยังพอต้านทานไหว แต่เหมียวอี้กลับรู้สึกว่าแขนของตัวเองกำลังจะหักแล้ว จึงคำรามสั่งอย่างจนใจว่า “กลับ! ไม่ต้องหนีแล้ว กลับ!”
เฮยทั่นบิดตัวทันที เลี้ยวเปลี่ยนทิศทางและเลิกต้านทาน ปล่อยให้แรงดึงมหาศาลดูดมันกับเหมียวอี้เข้าไปด้วยกัน
วินาทีที่ชนเข้าไปในประตูดวงดาว บึ้ม! เหมียวอี้ใช้งานกระสวยทองอันหนึ่งทันที ปล่อยลำแสงที่หมุนวนมาครอบทั้งสองเอาไว้แล้วแวบจมเข้าไป หายไปในจุดลึกของประตูดวงดาวแล้ว
ความดำมืดไร้ขอบเขตแวบผ่านไป มองเห็นดาราจักรอีกครั้ง ทั้งสองถูกพ่นออกมากลางอากาศแล้ว
ทั้งสองหยุดพร้อมกัน ตรงหน้าคือดาราจักรแพรวพราวหลากสีสัน แปลกประหลาดลี้ลับ เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย ทำไมดาราจักรผืนนี้ถึงดูคุ้นๆ ล่ะ
เขาแข็งใจหยิบแผนที่ดาวออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ตอนไม่เห็นก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอได้เห็นแล้วพูดไม่ออก ยังกลัวอยู่เลยว่าตัวเองจะมาที่ไหน แผนที่ดาวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนไม่ผิดพลาด พวกเขากำลังอยู่ที่แดนอเวจี
แดนอเวจีที่แสดงอยู่ในแผนที่ดาวค่อนข้างแตกต่างจากอาณาเขตอื่น เนื่องจากแผนที่ดาวของแดนอเวจีไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนั้นจึงระบุไว้เพียงจุดที่เป็นเส้นทางเข้าออกเท่านั้น แล้วก็มีตำแหน่งดาวหลักอีกไม่กี่ดวง ถ้าต้องการจะไปที่ไหนเจ้าก็ทำได้เพียงวินิจฉัยทิศทางและคิดหาทางไปเอาเอง ไม่สามารถนำทางให้เจ้าได้อีก
และจุดที่เขาอยู่ในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นจุดที่อยู่ระหว่างทางเข้าออกแดนอเวจี
แต่สิ่งนี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเขาได้เข้ามาในนรกแล้วจิรงๆ! เหมียวอี้คว้าทวนเกล็ดย้อนออกมากลางอากาศ แล้วตีไปบนหัวที่มีกระดองนูนของเฮยทั่นครั้งแล้วครั้งเล่า ตีจนเสียงดังตุ้งๆๆ ตีไปพลางด่าไปพลาง “เจ้าจะวิ่งหาพระแสงอะไร? ใครใช้ให้เจ้าวิ่ง? ข้าให้เจ้าวิ่งเหรอ? เจ้าจะหุนหันพลันแล่นทำไม…”
“อ๋าว…อ๋าว…” เฮยทั่นหดหัวพลางร้องครางสองครั้ง เหมือนรู้สึกน้อยใจมาก การเหาะอยู่ในดาราจักรเป็นเรื่องที่เหงามาก โดยเฉพาะการเหาะเป็นเวลานานขนาดนั้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะเห็นประตูดวงดาวโผล่มา มันก็เลยตื่นเต้นนิดหน่อย อดไม่ได้ที่จะหุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะ ผลที่ได้ก็คืออับอายนิดหน่อย…
ต่อให้ตีเจ้านอกคอกตัวนี้ให้ตายก็ไม่มีประโยชน์! เหมียวอี้ที่ระบายอารมณ์ไปยกหนึ่งแบกทวนเหลียวซ้ายแลขวา ในใจร่ำร้องด้วยความเศร้า ตอนนี้โดนเฮยทั่นวางกับดักตายแล้วจริงๆ แบบนี้ไม่ได้นะ! คนอื่นหลบหลีกไม่อยากมาที่นี่ แต่ตัวเองกลับเป็นฝ่ายพุ่งชนเข้ามา ตอนนี้เป็นปัญหาใหญ่แล้วว่าจะออกไปได้อย่างไร ทางออกโดนตำหนักสวรรค์ปิดไว้แล้ว
รอให้การทดสอบรอบนี้จบแล้วตามออกไปด้วยกันดีมั้ย? ท่านนั้นจะต้องถามแน่นอน ว่าเจ้าถ่อเข้ามาในนี้ได้อย่างไร? เจ้าก็จะไม่มีทางอธิบายแล้ว
แล้วอีกอย่าง การรออยู่ในนี้ร้อยสองร้อยปีแล้วค่อยออกไปก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ตัวเองเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ คอยเฝ้าคุมอาณาเขต ถ้าไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมก็จะละทิ้งหน้าที่นานเกินไปไม่ได้ ถ้ากลับไปอีกครั้งก็คงจะเปลี่ยนคนมาเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ส่วนตัวเองก็รอถูกสืบสวนได้เลย!
ส่วนความปลอดภัยในแดนอเวจี เขากลับไม่ต้องกังวล จะดีจะร้ายอย่างไรก็เป็นหนึ่งในประมุขปราชญ์หกลัทธิ แต่ปัญหาคือถ้าอีกฝ่ายถามว่าเจ้ามาได้อย่างไร เจ้าเองจะอธิบายอย่างไรล่ะ?
จะซ้ายหรือขวาก็ลำบาก! ผู้บัญชาการใหญ่หนิวคิดวนเวียนไปมา ก็เลยถือทวนเกล็ดย้อนมาทำเป็นไม้กระบอง ฟาดเฮยทั่นอีกยกหนึ่ง เฮยทั่นโดนตีแต่ไม่โต้ตอบ ได้แต่ร้องครางอย่างคับแค้นใจ
หลังจากใช้ทวนเกล็ดย้อนระบายอารมณ์ไปพักหนึ่ง จู่ๆ เหมียวอี้ก็ชะงักไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ เขาเก็บทวนเกล็ดย้อนแล้ว จากนั้นหยิบแผนที่ประตูดวงดาวสองฉบับที่ทำสำเนาไว้ออกมาตรวจดู
จุดเริ่มต้นของประตูดวงดาวสองแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในแผนที่ดาว งั้นเป็นไปได้หรือเปล่าว่าจะอยู่ที่แดนอเวจี? นี่คือเรื่องที่มีความเป็นไปได้ ของออกมาจากแดนอเวจี ทั้งยังทำให้หาประตูดวงดาวของแดนอเวจีสองแห่งพบอย่างต่อเนื่องกัน เช่นนั้นประตูดวงดาวอีกสองแห่งอาจจะเป็นประตูดวงดาวสำหรับออกจากแดนอเวจีหรือเปล่า?
ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าอีกสองแห่งจะเป็นประตูดวงดาวทางเข้าแดนอเวจี หรือไม่ตัวเองก็คิดมากไป หรือที่จริงแล้วจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนรกเลย
สรุปก็คือ มีความเป็นไปได้ที่ประตูดวงดาวสองแห่งนั้นจะเป็นทางออกของแดนอเวจี หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตัวเองยังมีโอกาสออกไปจากที่นี่
เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้ว เขาก็เริ่มมองเห็นความหวังนิดหน่อย หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็ขี่เฮยทั่นไปเหยียบลงบนดาวเคราะห์รกร้างดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ตอนอยู่ที่นี่เขาเองก็ไม่กล้าเพ่นพ่านไปทั่วเหมือนกัน เขาไม่ได้กลัวโจรกบฏ แต่เคยได้รับบทเรียนมาแล้วว่าสภาพแวดล้อมในนี้อันตรายขนาดไหน ต้องหาคนมาช่วยนำทาง จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับคนอื่น
หลังจากนั้นครึ่งวัน เงาคนคนหนึ่งก็ถลันวูบเข้าจากจุดลึกของดาราจักร ลอยอยู่เหนือดวงดาวรกร้างพร้อมทั้งใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจด้านล่าง ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน กงซุนลี่เต้านั่นเอง
ในที่กำบังบนภูเขาหินลูกหนึ่งของดวงดาวรกร้าง เหมียวอี้โผล่ออกมา ถลันตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม “นึกไม่ถึงว่าจะรบกวนให้ขุนพลใหญ่กงซุนมาด้วยตัวเองแล้ว”
เขาปลอมตัวมาแล้ว ทีแรกกงซุนลี่เต้าก็สงสัย จนกระทั่งได้ยินเสียงของเหมียวอี้ เขาถึงได้กุมหมัดคารวะ “ประมุขปราชญ์ เอ่อคือ…”
เหมียวอี้รู้ว่าเขากำลังสงสัยอะไร จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ถ้ามีอะไรจะถาม ไว้เจอประมุขขุนพลแล้วค่อยถามก็ยังไม่สาย อีกห้าปราชญ์ไม่รู้ใช่มั้ยว่าข้ามา?”
เขาไม่อยากให้มู่ฝานจินและตาแก่อีกสี่คนรู้ว่าเขามา
“ในเมื่อประมุขปราชญ์สั่งไว้แล้ว ก็ย่อมไม่มีการเปิดเผยข่าวขอรับ” กงซุนลี่เต้าตอบ
จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินทาง กงซุนลี่เต้าคล้องแขนเหมียวอี้ แล้วเหาะไปยังจุดลึกของดาราจักรที่ประหลาดพิศวงอย่างรวดเร็ว
อีกเกือบครึ่งวันหลังจากนั้น ทั้งสองก็แฉลบลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงนอกตำหนักเก่าแก่โบราณ
เมื่อเห็นจินม่านที่สวมชุดกระโปรงสีทองยืนสง่าอยู่บนบันไดนอกตำหนัก เหมียวอี้ก็ฉีกหนังปลอมบนใบหน้าตัวเองเพื่อเผยโฉมหน้าที่แท้จริง
ตอนนี้จินม่านที่ในดวงตาฉายแววสงสัยเล็กน้อยถึงได้ถลันตัวมาข้างหน้า นำเหลียงหรงกับหมี่หลิงมาทำความเคารพ”ประมุขปราชญ์”
เหมียวอี้ยังไม่ชินกับการวางมาดเป็นประมุขปราชญ์ จึงกุมหมัดคารวะตอบ “ประมุขขุนพล!”
จินม่านขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยื่นมือเชิญ แล้วรีบเดินเข้าไปในลานบ้านหลังตำหนักที่เหมียวอี้เคยพักอาศัยอยู่
พอเข้ามาในโถงหลักก็นั่งลงแบบแบ่งชนชั้น หลังจากวางน้ำชาแล้ว จินม่านก็ถามด้วยสีหน้าสงสัยประหลาดใจ “ประมุขปราชญ์ ตัวท่านอยู่ข้างนอกแล้วเข้ามาในนี้ได้อย่างไร?”
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ในบรรดาขุนพลที่เฝ้าทางเข้าออกที่นี่อยู่ ข้าเพิ่งรู้จักกับคนคนหนึ่ง ก็เลยคิดหาทางติดสินบนเขา ฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาเข้ามาทำงานตรงทางเข้าออกที่ปิดล้อมไว้ เข้าในกระเป๋าสัตว์ของเขาเพื่อปะปนเข้ามา รอตอนที่เขาออกไปข้าค่อยปะปนออกไปกับเขา”
ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่อยากเปิดเผยความลับเรื่องที่ตัวเองเข้ามาที่นี่ให้พวกเขารู้ ต้องกุมช่องทางแบบนี้ไว้ในมือตัวเองถึงจะมีแต้มต่อ ในภายหลังถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วโลกภายนอกไม่มีทางหนีทีไล่จริงๆ ก็ทำได้เพียงพาครอบครัวหนีมาที่นี่
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! จินม่านและกงซุนลี่เต้าสบตากันแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนแอบทึ่ง ดูท่าแล้วประมุขปราชญ์ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ตำหนักสวรรค์ขนาดเฝ้าป้องกันแน่นหนาขนาดนี้ยังเล็ดรอดเข้ามาได้
กงซุนลี่เต้ากลับถามหยั่งเชิงว่า “ประมุขปราชญ์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พอจะมีทางพาพวกเราออกไปด้วยได้มั้ย?”
สงสัยจะคิดอยากออกไปจากที่นี่ตลอด! เหมียวอี้แอบพึมพำในใจ แล้วโบกมือบอกว่า “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าได้หรือไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะออกไป”
“แล้วครั้งนี้ประมุขปราชญ์เข้ามาในนี้เพราะมีจุดประสงค์อะไร?” จินม่านถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “มาทดลองด้วยตัวเองก่อนว่าการเข้าออกยากลำบากขนาดไหน จะได้เตรียมตัวพาพวกเจ้าออกไป สาเหตุรองก็เพื่อจะมาพิสูจน์เรื่องบางอย่าง สุดท้ายก็มาเยี่ยมผู้บังคับบัญชาคนนั้นของข้าสักหน่อย พวกเราต้องคิดหาทางว่าจะควบคุมนางไว้ได้หรือเปล่า ข้าจะได้ทำงานที่ตำหนักสวรรค์ได้สะดวก”
ไม่น่าเชื่อว่ามารอบเดี๋ยวก็คิดจะจัดการตั้งหลายเรื่อง นี่สิคือทัศนคติในการทำงานที่ประมุขปราชญ์ควรจะมี จินม่านพยักหน้าเบาๆ แล้วกุมหมัดถามว่า “ต้องการให้พวกเราให้ความร่วมมืออะไรหรือเปล่า ประมุขปราชญ์กำชับมาได้เลยค่ะ”
เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้นาง “พวกเจ้าตรวจดูสถานที่สองแห่งนี้หน่อย ดูว่าแดนอเวจีมีสองที่นี้หรือเปล่า” ก่อนที่กงซุนลี่เต้าจะมารับเขา เขาก็วาดแผนที่ดาวตรงมุมบนขวาของแผนที่ประตูดวงดาวอีกสองฉบับแยกเอาไว้แล้ว เกรงว่าโจรกบฏกลุ่มนี้คงจะรู้จักนรกดีที่สุด
…………………………