พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1299 ช่างตรงไปตรงมา
“โจรกบฏพวกนั้นหลบซ่อนตัวอยู่ทุกที่ ทำให้พวกเราค้นหาไปทั่วจนขาจะหักอยู่แล้ว”
“อย่าบ่นมากเลย ที่หุบเขานี้เหมือนจะเป็นที่ซ่อนตัวได้เลย ทุกคนค้นหาให้ละเอียด”
“เอ๋! ใต้หินก้อนนี้มีพื้นที่ว่างนะ”
“เข้าไปดูสักหน่อย!”
การแสดงช่างเรียบง่าย ทั้งสี่เดินบ่นอยู่ในหุบเขา ก็เลยบังเอิญเจอถ้ำแห่งหนึ่ง ค้นพบได้อย่างรวดเร็วฉับไว แล้วก็ไม่ต้องแสดงละครอะไรมาก เพราะคนที่หลบอยู่ในถ้ำมองไม่เห็น ต่อให้แสดงดีกว่านี้แต่ก็เหมือนแสดงให้คนตาบอดดู ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แค่แสดงให้ได้ยินก็พอ
โครม! หินที่อุดปากถ้ำถูกเตะออกไปแล้ว ชายสองคนถลันตัวเข้าไปทันที
บึ้ม! มีเสียงสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นอีก หุบเขาด้านหนึ่งระเบิดออกมาเป็นโพรง ดินหินพังปลิวราวกับจะย้ายภูเขาคว่ำทะเล ปี้เยว่ฮูหยินที่ยามปกติใช้ชีวิตที่มีเกียรติมั่งคั่งและร่ำรวย ในเวลานี้สวมเกราะรบโผล่ขึ้นมาจากผิวดินอย่างตื่นตระหนก ไม่มีความมุ่งมั่งในการต่อสู้รบใดๆ ทั้งนั้นพุ่งขึ้นฟ้าเตรียมจะหลบหนี
“จะหนีไปไหน!” สองคนที่นั่งเฝ้าอยู่ด้านนอกถลันตัวไล่ตามไปบนฟ้าทันที
ขณะดียวกันเงาคนคนหนึ่งก็แฉลบผ่านฟ้าเข้ามา ขวางทางไว้กลางอากาศ ตัดทางหนีของปี้เยว่ฮูหยิน ไม่ใช่ใครที่ไหน กงซุนลี่เต้านั่นเอง
ปี้เยว่ฮูหยินหยุดชะงักกลางท้องฟ้าอย่างวิตกกังวล นางเบิกตากว้าง ตอนแรกก่อนที่จะซ่อนตัว นางก็โดนกงซุนลี่เต้าทำให้ตกใจจนแทบขวัญกระเจิง อุตส่าห์ซ่อนตัวได้นานขนาดนี้แล้ว ทีแรกนึกว่าจะได้อยู่อย่างสงบปลอดภัย ใครจะคิดว่าพอโผล่ออกมาก็เจอกันเลย อารมณ์หวาดกลัวและเศร้าโศกนี้ยากจะบรรยายออกมาได้ ทำไมโชคร้ายขนาดนี้ รู้สึกอยากตายขึ้นมาแล้วจริงๆ
นางรู้อย่างแจ่มแจ้ง ว่ายามเผชิญกับยอดฝีมือที่น่ากลัวระดับกงซุนลี่เต้า เจ้าก็ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะต่อสู้ด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นกงซุนลี่เต้ายกมือขึ้นอย่างช้าๆ เตรียมจะโจมตี ปี้เยว่ฮูหยินที่หน้าซีดเผือดก็รีบวางอาวุธในมือ แล้วตะโกนเสียงดังว่า”ยอมแพ้! ข้ายอมแพ้!”
กงซุนลี่เต้าเลือดเย็นมาก ทำสีหน้าราวกับเห็นคนเป็นผักหญ้า จู่ๆ ก็ฟาดฝ่ามือโจมตีออกมาหนึ่งครั้ง พลังอิทธิฤทธิ์อันทรงพลังถล่มเข้าไปราวกับหินอุกกาบาตที่ตกจากฟ้า
ชีวิตของข้าจบเห่แล้ว! ปี้เยว่ฮูหยินทำสีหน้าหวาดกลัวสิ้นหวัง!
วึง! เกิดเสียงดังก้องดาราจักร
เงาคนคนหนึ่งแฉลบผ่านฟ้ามา แสงสะท้อนคมดาบวิบวับราวกับฟ้าผ่า มีรูปร่างราวกับอาวุธจริง ราวกับกระแสน้ำตก เหมือนกับสายรุ้งที่ตัดผ่านดวงอาทิตย์ โจมตีสกัดพลังอิทธิฤทธิ์อันทรงพลังของฝ่ามือนั้น
บึ้ม! พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดกระเพื่อมออกมา ม้วนไปที่ผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาล ทรายหินบนผิวดินปลิวว่อน ฝุ่นดินตลบอบอวลขึ้นมา
การโจมตีอันทรงพลังของกงซุนลี่เต้าสลายหายไป เงาดาบที่ดุร้ายก็ค่อยๆ สลายจนไร้รูปร่างเช่นกัน ปี้เยว่ฮูหยินหกคะมำคว่ำคะเมนอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ราวกับเป็นใบไม้ปลิวอยู่ท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่พัดม้วน ไม่มีทางควบคุมร่างกายตัวเองได้เลย
กงซุนลี่เต้าที่ยืนอยู่บนฟ้าพลันหันกลับมา แล้วตะคอกถามมอย่างเกรี้ยวกราด “ไห่ยวนเค่อ เจ้าคิดจะทำอะไร?”
จู่ๆ ปี้เยว่ฮูหยินที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองหยุดอยู่กับที่ นางรู้สึกตึงที่เอว ตกอยู่ในอ้อมแขนที่บึกบึนทรงพลัง นางอยากจะดิ้นรน ทว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงเกินไปจริงๆ ไม่ให้โอกาสนางขยับตัวเลย ตอนนี้นางมองเห็นใบหน้าด้านข้างที่มีหนวดเคราและจอนผมแล้ว
ตรงที่ไกลๆ ในซอกร่องของหน้าผาแห่งหนึ่ง ที่ด้านหลังซอกหน้าผา เหมียวอี้ยื่นศีรษะและร่างกายครึ่งหนึ่งออกมา ข้างหลังเขาเป็นอ๋าวเถี่ย สืออวิ๋นเปียน ซือถูกชิงหลันยื่นศีรษะออกมาตามลำดับ
พระเอกโผล่ออกมาแล้ว เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูในระยะไกล
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏตัวกลางท้องฟ้า การแต่งตัวเรียบง่ายธรรมดา สวมชุดที่ทำจากผ้าฝ้ายหยาบ ม้วนแขนเสื้อและขากางเกง สวมรองเท้าผ้าฝ้ายหยาบ เหมียวอี้ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป ขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยงผู้สง่าผ่าเผย ทำไมแต่งตัวเหมือนชาวนาไปได้ล่ะ
แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบจริงๆ ใบหน้าหล่อเหลาเด็ดเดี่ยว นับว่าเป็นชายรูปงามที่หาพบได้ยากในโลก เพียงแต่แต่งตัวไม่เรียบร้อย เกล้าผมอย่างลวกๆ ปักปิ่นไว้บนยอดศีรษะอย่างง่ายๆ แววตาเศร้าซึม ไว้หนวดหร็อมแหร็ม ข้างหลังสะพายฝักดาบและหมวกงอบใบหนึ่ง ทั้งตัวให้ความรู้สึกเหมือนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่กลับมีสง่าราศีอย่างบอกไม่ถูก
“คนนั้นคือ…จุจุ! ขุนพลใหญ่ไห่แต่งตัวแบบนี้ มีเสน่ห์ไปอีกแบบจริงๆ หล่อมากจริงๆ ด้วย” เหมียวอี้เอ่ยชม
“หล่อเหรอ? ทำให้เขาขาดเงิน แล้วยังทำให้เขาขาดคลนเสื้อผ้าอีกเหรอ? ถ้าเป็นคนโกโรโกโสจริงก็ว่าไปอย่าง ขุนพลใหญ่ผู้สง่าผ่าเผยอยากจะแต่งตัวยังก็ได้ ทำไมดันทำซะเหมือนคนตกอับที่นั่งยองๆ ขายตัวเพื่อฝังศพพ่ออยู่ที่หัวถนนล่ะ จะทำตัวให้หล่อๆ ไม่ใช่เหรอ? ให้คนแบบนี้โผล่ออกมาน่าอิดสะเอียนจะตาย ไม่ทำตัวเด่นกว่าพวกเราแล้วจะตายรึไง?” สืออวิ๋นเปียนที่อยู่ข้างหลังพูดดูถูก
“ขายตัวเพื่อฝังศพพ่อ? เอ่อ…” เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง คำพูดเหน็บแนมนี้ร้ายพอสมควร นี่นางกำลังหึงหรือว่ามีความแค้นต่อกันล่ะ!
“อุบ…” อ๋าวเถี่ยได้ยินแล้วหลุดหัวเราะออกมา
แม้แต่ซือถูกชิงหลันเอง เมื่อได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากเช่นกัน แล้วก็ถามทันทีว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันแน่”
“ไม่ทำอะไรหรอก” สืออวิ๋นเปียนตอบ
นี่ยังไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ? ขนาดคนโง่ยังมองออกว่ามีอะไรในกอไผ่ ซือถูกชิงหลันเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะฟันเขาแล้ว
ท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่พัดกระเพื่อม มือข้างหนึ่งของไห่ยวนเค่อกำลังโอบเอวของปี้เยว่ฮูหยิน ส่วนมืออีกข้างยกดาบหักเสียบลงในฝักที่สะพายอยู่ด้านหลัง ดาบเสียบลงฝักเสียงดังชวิ้ง! ขณะเดียวกันก็คลายมือปล่อยปี้เยว่ฮูหยินที่หยุดโซเซแล้ว ตอบกงซุนลี่เต้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นเยียบว่า “ก็ไม่คิดจะทำอะไร นางบอกว่ายอมแพ้แล้ว ทำไมยังจะฆ่านางอีก?”
ปี้เยว่ฮูหยินที่ยังขวัญผวาย่อมไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความ ‘หล่อ’ ของใครบางคน เพียงรู้สึกโชคดีหลังจากรอดชีวิต นึกไม่ถึงว่าจะได้พบคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วย เมื่อเห็นลายคลื่นสีครามที่เป็นสัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย นางก็ตกใจนิดหน่อย เป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์อีกแล้ว!
“ไห่ยวนเค่อ! เจ้ายุ่งมากเกินไปรึเปล่า?” กงซุนลี่เต้าตำหนิอย่างโมโห
ไห่ยวนเค่อ? ทันใดนั้น ปี้เยว่ฮูหยินก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ หันกลับมามองคนที่ช่วยชีวิตตัวเองอีกครั้ง พอเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่าย หนังตานางก็กระตุก อย่าบอกนะว่าท่านนี้คือไห่ยวนเค่อ ขุนพลใหญ่ของประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยงในตำนาน?
“จะจะปกป้องคนคนนี้” ไห่ยวนเค่อตอบ
กงซุนลี่เต้าแสยะยิ้มไม่หยุด “นี่คือโจรกบฏ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาปกป้องนาง?”
ในตอนนี้เอง ในที่สุดพวกเหมียวอี้ก็โผล่หน้าออกมาแล้ว เหาะออกมาจากที่ไกลๆ อย่างรวดเร็ว หลังจากหยุดอยู่แถวนั้น อ๋าวเถี่ยก็ถามว่า “เสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเมื่อครู่นี้ ใช่พวกเจ้าสองคนประมือกันรึเปล่า?”
กงซุนลี่เต้าชี้ไห่ยวนเค่อพร้อมบอกว่า “เจ้าถามเขาสิ ตรงนี้กำลังจะฆ่าโจรกบฏที่แฝงตัวอยู่ แต่เขากลับมาขัดขวาง ตอนนี้ข้าสงสัยแล้วว่าเขาเป็นพวกเดียวกับโจรกบฏรึเปล่า”
อ๋าวเถี่ยอยากรู้อยากเห็นทันที “ไห่ยวนเค่อ เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง? ทำไมต้องปกป้องโจรกบฏคนนี้?”
ไห่ยวนเค่อตอบด้วยสีหน้าดุร้ายเย็นชา “ก็ไม่ทำไมหรอก ข้าถูกใจนางไม่ได้รึไง?”
“…” ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังขวัญผวา พอได้ยินแล้วตกตะลึงอ้าปากค้างทันที
“…” เหมียวอี้และคนอื่นๆ งุนงง บทละครที่เตรียมไว้ไม่ควรจะตรงไปตรงมาขนาดนี้สิ ขนาดความสมเหตุสมผลยังไม่มี บทจะชอบก็ชอบเลยงั้นเหรอ แบบนี้ปลอมไปหน่อยรึเปล่า?
ซือถูกชิงหลันงงมากจริงๆ อ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้ เหมือนจินตนาการไม่ออกมาว่าไห่ยวนเค่อจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้
พอออกนอกบทแบบนี้ กงซุนลี่เต้ายืนเหม่อค้างอยู่ที่เดิม เห็นได้ชัดว่าพูดไม่ออกเพราะไห่ยวนเค่อแล้วเช่นกัน ถึงตาจ้องไห่ยวนเค่ออยู่อย่างนั้น
“แค่กๆ!” อ๋าวเถี่ยกำมือป้องปากไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “เอ่อคือ ไห่ยวนเค่อ พวกเจ้าเคยเจอกันมาก่อนเหรอ?” เขาอยากจะช่วยให้จบลงด้วยดี
“ไม่เคยเจอกันมาก่อน” ไห่ยวนเค่อตอบ
อ๋าวเถี่ยจึงถามว่า “ไม่เคยเจอกันมาก่อน แล้วเจ้าอาศัยอะไรไปถูกใจนาง?”
ไห่ยวนเค่อเอียงหน้ามองปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังเบิกตากว้างอ้าปากค้าง แล้วยื่นฝ่ามือออกไปให้นาง บอกใบ้ว่าจะจูงมือนาง
ปี้เยว่ฮูหยินงงนิดหน่อย แต่นางก็รู้เช่นกันว่าในตอนนี้ผู้ชายคนนี้คือความหวังเดียวในการปกป้องชีวิต จึงยื่นมือไปวางในฝ่ามือของอีกฝ่ายทันที
แต่ใครจะคาดคิด จู่ๆ ไห่ยวนเค่อก็ดึงปี้เยว่เข้ามาในอ้อมอกของตัวเอง กอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมอกโดยตรง นางยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ไห่ยวนเค่อที่ไม่ปรึกษาอะไรกับใครเลยสักนิดก็ประกบจูบบนริมฝีปากนางอย่างเผด็จการแล้ว นางเบิกตากว้างมองดูผู้ชายที่กำลังจูบตัวเองอยู่ ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ไม่สนใจว่ากำลังถูกหนวดเคราสั้นทิ่มแทงบนใบหน้าตัวเอง
ในชั่วพริบตาเดียว ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าพากันอ้าปากค้างแล้ว คางแทบจะหลุดร่วงลงพื้น เหม่อค้างไปตามๆ กัน
เมื่อจูบที่เนิ่นนานคลายออก ปี้เยว่ฮูหยินก็ยังคงจ้องเขาอย่างตกตะลึง บอกไม่ถูกว่าสายตาสื่ออารมณ์ไหน
ไห่ยวนเค่อกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “ไม่อาศัยอะไรหรอก อาศัยที่ตอนนี้นางเป็นผู้หญิงของข้าแล้วไง ข้าอยากจะปกป้องนางไม่ได้เหรอ?”
มารดาเจ้าเถอะ! ตรงไปตรงมาเกิน โหดนัก! เหมียวอี้พูดไม่ออกสุดๆ เขามองไปหาปี้เยว่ฮูหยินที่ไม่รู้ว่ากำลังตกตะลึงหรืองุนงงอีกครั้ง ทำให้แทบจะหลุดขำออกมา คาดว่าปี้เยว่ฮูหยินคงนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบบนี้
อ๋าวเถี่ยอดไม่ได้ที่จะใช้สองมือถูใบหน้าตัวเอง รู้สึกโง่เขลาเพราะไห่ยวนเค่อแล้วจริงๆ เขาเอามือถูหน้าปลุกตัวเองให้ได้สติ เรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ไห่ยวนเค่อ แบบนี้ไม่สอดคล้องกับธรรมเนียม นางเป็นโจรกบฏ ถ้านางเปิดเผยความลับทางฝั่งนี้ของพวกเรา ถึงตอนนั้นแม้แต่เจ้าเองก็จะเอาตัวไม่รอด ต่อให้เจ้าจะอยากได้นางไปเป็นผู้หญิงของเจ้าจริงๆ อย่างน้อยก็จะขาดใบรับรองสมาชิกไม่ได้”
ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะดึงบทละครกลับมาได้ โชคดีที่ไห่ยวนเค่อไม่ได้เล่นนอกบทอีก “ซือถู ทางเจ้ามีคนติดกับดักมั้ย?”
“หา! อ้อ!” ในที่สุดซือถูกชิงหลันก็ได้สติกลับมาแล้ว พยักหน้าตอบว่า “ทางนี้จับได้ไม่กี่คน เจ้าจะให้ข้าเหลือคนไว้ให้เจ้าเหรอ”
ไห่ยวนเค่อพยักหน้าแสดงความขอบคุณ
อ๋าวเถี่ยบอกอีกว่า “ไห่ยวนเค่อ เจ้าจะปกป้องนางก็ย่อมได้ แต่ตามธรรมเนียมแล้ว นางต้องส่งของบนตัวออกมาให้หมด”
ไห่ยวนเค่อเอียงหน้ามองปี้เยว่ พร้อมกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ถ้าอยากรักษาชีวิตไว้ ก็ส่งของบนตัวเจ้าออกมาให้หมด ส่งมาให้พวกเขา มีปัญหาอะไรมั้ย?”
ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้า แล้วก็รีบพยักหน้าอีก นางถอดเกราะรบบนตัวออก นำสิ่งของประเภทกำไลเก็บสมบัติส่งอกมาทั้งหมด ของที่อยู่นอกกาย ต่อให้สำคัญขนาดไหนก็ไม่สำคัญกว่าชีวิต ในจุดนี้นางยังสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน
ผ่านไปครู่เดียวคนกลุ่มหนึ่งก็เหาะลงมา ไห่ยวนเค่อยืนเงียบๆ อยู่ไม่ไกล ส่วนปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังกังวลก็ยืนอยู่ข้างเขา
ซือถูชิงหลันหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อลูกน้องตัวเอง ให้พานักโทษที่จับได้มาที่นี่
เหมียวอี้ อ๋าวเถี่ย สืออวิ๋นเปียนและกงซุนลี่เต้าถ่ายทอดเสียงคุยกันอยู่อีกด้าน
“ไห่ยวนเค่อกินยาผิดมารึเปล่า ย้อนดูตอนที่เขาดุดันกับผู้หญิงคนนี้สิ ไม่ใช่ว่าถูกใจนางจริงๆ หรอกใช่มั้ย?” สืออวิ๋นเปียนถาม
อ๋าวเถี่ยบอกว่า “เจ้ายังไม่รู้จักนิสัยของเขาอีกเหรอ ตอนแรกจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ยอมตอบตกลง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราอ้างเรื่องที่ประมุขปราชญ์ดูแลเขาดีในปีนั้น เขาก็คงไม่ตอบตกลงหรอก ตอนนี้ถ้าจะให้เขาพูดหยอดคำหวานชวนขนลุกกับผู้หญิงคนนี้ เขาต้องพูดไม่ออกแน่นอน การที่เขาทำแบบนี้ได้ก็ต้องขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้ว ช่างเถอะ จะอ้อมค้อมหรือจะตรงไปตรงมาก็ได้ ขอแค่ทำสำเร็จก็พอแล้ว…ประมุขปราชญ์ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?” เขาหันมาถามความเห็นของเหมียวอี้
“ข้าไม่มีความเห็นอะไรหรอก พวกเจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ!” เหมียวอี้กล่าวอย่างร่าเริง แต่ในใจกลับพึมพำว่า เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย เจ้าคนพวกนี้ช่างทำได้ทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการจริงๆ เมื่อเปรียบเทียบสิ่งที่ตัวเองเคยทำกับสิ่งที่คนพวกนี้ทำ ตัวเองก็เหมือนรุ่นเล็กมาเจอรุ่นใหญ่จริงๆ
…………………………