พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1302 เปลี่ยนคน
ส่วนประตูดวงดาวแห่งที่สี่มีสถานการณ์เป็นอย่างไร ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่มีอารมณ์ไปสนใจ โดนขังมานานขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะออกมาได้ จะให้อ้อมทางตั้งไกลเพื่อกลับไปนรกอีกไม่ได้อยู่แล้ว คราวหลังค่อยว่ากัน เขาเองก็ไม่สะดวกจะออกจากดาวเทียนหยวนนานเกินไป หลังจากแยกแยะทิศทางได้แล้วก็รีบกลับดาวเทียนหยวนทันที
ทว่าขระที่ตัวกำลังอยู่ระหว่างทาง จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากมู่หรงซิงหัว
เหมียวอี้ถาม: มีเรื่องอะไร?
มู่หรงซิงหัว : นายท่าน มีแขกจะมาพบนายท่านค่ะ
เหมียวอี้ : ใคร?
มู่หรงซิงหัว : ท่านโหวเทียนหยวน
เหมียวอี้พูดไม่ออก ถามว่า : ตั้งใจมาหาข้าเลยเหรอ?
มู่หรงซิงหัว : ใช่ค่ะ นายท่านจะกลับมาเมื่อไร?
เหมียวอี้คำนวณเวลาครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : ยังอยู่ระหว่างทาง ต้องใช้เวลาอีกสามวันกว่าจะถึง
มู่หรงซิงหัว : นายท่านกรุณาเร็วๆ หน่อย ท่านโหวบอกว่ารอท่านอยู่!
พอเก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็พึมพำในใจว่า มาหาข้าทำไม? คงไม่ได้มาเพราะปี้เยว่ฮูหยินหรอกใช่มั้ย ปี้เยว่ฮูหยินหายไปแล้วจะมาหาข้าทำไม คงไม่ได้แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับข้าหรอกใช่มั้ย?
ฐานะของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่เหมาะจะให้รอนานจริงๆ เหมียวอี้เองก็ไม่สนใจจะปิดบังตัวตนแล้ว ถอดหนังปลอมบนใบหน้าเสียเลย ปล่อยเฮยทั่นออกมา แล้วควบคุมให้มันเหาะกลับด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
ใช้เวลาไม่ถึงสองวัน เหมียวอี้ก็มาถึงก่อนเวลาแล้ว เหาะลงมาเหยียบนอกประตูทิศเหนือ ทหารยามไม่มีใครกล้าขัดขวาง เขาเหาะเข้าเมืองไปเหยียบลงนอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือโดยตรง
มู่หรงซิงหัวได้ข่าวแล้วออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง แล้วพาเหมียวอี้เข้ามาในลานบ้านด้านใน
ในลานบ้าน ภายใต้แสงจันทร์ ท่านโหวเทียนหยวนเอามือไขว้หลังยืนอยู่ริมแปลงดอกไม้ ข้างหลังเขามีผู้ชายหุ่นเตี้ยล่ำยืนอยู่คนหนึ่ง เขาคือเฉาว่านเสียง สามีของมู่หรงซิงหัวนั่นเอง
ดูจากท่าทางแล้ว สงสัยเฉาว่านเสียงมาคอยติดตามรับใช้ด้วยตัวเอง
เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “คำนับท่านโหว คำนับหัวหน้าภาคเฉา”
เฉาว่านเสียงตอบ “อืม” แล้วรีบส่งสายตาให้มู่หรงซิงหัว จากนั้นสองสามีภรรยาก็ออกไปด้วยกัน หลบเลี่ยงไปแล้ว
เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว ท่านโหวเทียนหยวนก็หันตัวมาช้าๆ แล้วถามด้วยสายตาเย็นเยียบว่า “ช่วงไม่กี่ปีมานี้เจ้าได้ติดต่อกับท่านแม่ทัพภาคของพวกเจ้าบ้างรึเปล่า?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เปล่าขอรับ ท่านแม่ทัพภาคสั่งมาแล้ว ว่าให้ผู้การสองดูแลจวนแม่ทัพภาคตงหัวชั่วคราว ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรก็อย่าไปรบกวนการทดสอบของนาง”
“ติดต่อนางเดียวนี้ บอกว่าข้ามีเรื่องจะถามนาง” ท่านโหวเทียนหยวนตอบ
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาอย่างว่าง่าย เขย่าติดต่ออยู่พักใหญ่ หลังจากทำซ้ำอยู่นานถึงได้กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ท่านโหว ก็ติดต่อได้นะขอรับ แต่ท่านแม่ทัพภาคไม่ตอบกลับเลย”
หารู้ไม่ว่านี่คือสิ่งที่ท่านโหวเทียนหยวนกังวลที่สุด ถ้าติดต่อไม่ได้ไปเลยจะได้แน่ใจว่าปี้เยว่ฮูหยินตายแล้ว แบบนั้นกลับจะดีเสียอีก กลัวก็แต่ว่าปี้เยว่ฮูหยินจะตกอยู่ในมือของโจรกบฏแล้วโดนโจรกบฏใช้ประโยชน์ เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด หากปี้เยว่ฮูหยินไปขอพึ่งพาโจรกบฏแล้วทำเรื่องอะไรที่ดูหมิ่นตำหนักสวรรค์ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็เหมือนโดนดินเหลืองปาใส่กางเกงแล้วจริงๆ ต่อให้ไม่ได้อุจจาระคนก็นึกว่าอุจจาระ
อิงจากที่เขารู้จักปี้เยว่ฮูหยินมา ผู้หญิงของตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์อะไร แต่ไม่ใช่คนหัวแข็งอะไรเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าตกอยู่ในมือโจรกบฏแล้วหัวแข็งไปก็ไม่มีประโยชน์
แต่กับเรื่องแบบนี้ ถ้ายังไม่มีผลลัพธ์ที่แน่นอน ก็คงไม่ดีที่จะประกาศต่อทุกคน เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย ถ้าปี้เยว่ฮูหยินกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ทางนี้ก็กลับจะวิจารณ์กันวุ่นวาย สงสัยปี้เยว่ฮูหยินว่าอาจจะโดนโจรกบฏจับเป็นเชลยศึกมาแล้ว แบบนี้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ
ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง เขาถึงได้แอบออกหน้าด้วยตัวเอง แทบจะไปหาลูกน้องคนสำคัญของปี้เยว่ฮูหยินจนทั่วมาแล้วรอบหนึ่ง กอดความหวังสุดท้ายเอาไว้ ดูว่าจะมีใครสามารถติดต่อปี้เยว่ฮูหยินได้หรือไม่ ถ้าแน่ใจว่าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เขาจะได้เตรียมตัวล่วงหน้าได้สะดวก
เมื่อมาหาเหมียวอี้ก็เป็นเหมือนเดิม ยังคงคว้าน้ำเหลว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ท่านโหวเทียนหยวนก็ถามเสียงต่ำว่า “ใครใช้ให้เจ้าละทิ้งหน้าที่ไปโดยพลการ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าน้อยเพียงไปเยี่ยมสหาย ไม่ได้ทำให้เสียการเสียงานขอรับ”
ท่านโหวเทียนหยวนอารมณ์ไม่ดี สีหน้าก็แย่มาก ตำหนิตรงๆ เลยว่า “ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวก็มีเจ้านี่แหละที่เรื่องเยอะ โหวผู้นี้ขอเตือนเจ้านะ อย่านึกว่าท่านแม่ทัพภาคของพวกเจ้าไม่อยู่แล้วข้าจะจัดการเจ้าไม่ได้นะ ทำตัวดีๆ หน่อย ถ้าก่อเรื่องอะไรอีกเจ้าได้เห็นดีแน่!”
ท่าทีที่เขามีต่อเหมียวอี้กลับไปกลับมาอยู่เสมอ มีบางครั้งถึงขั้นประสาทแดกเล็กน้อยด้วยซ้ำ
“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับด้วยท่าทางเคารพ
“แล้วอีกอย่าง เรื่องที่ข้ามาในวันนี้เจ้าห้ามเปิดเผยให้ใครรู้ ไม่อย่างนั้นข้าไม่ให้อภัยแน่ ได้ยินรึยัง?”
“ขอรับ!”
“ถ้ามีเวลาว่างก็ติดต่อกับท่านแม่ทัพภาคเฃของเจ้าเยอะๆ หน่อย ถ้าได้ข่าวอะไรก็ติดต่อผู้การสองหลันเซียงทันที”
“ขอรับ!”
“ไสหัวไปได้แล้ว!”
“ขอรับ!” เหมียวอี้ที่โดนตำหนิยกหนึ่งถอยออกไปอย่างว่าง่าย
ตอนที่เดินออกจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวก็ทำสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ โดนดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อยแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างน้อยก็ดีกว่าใครบางคนตั้งเยอะแล้ว
เนื่องจากสิ่งที่ปี้เยว่ฮูหยินประสบ เหมียวอี้ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองมีสภาพจิตใจเป็นอย่างไร ตอนนั้นจึงไปร้านค้าของฉินเวยเวยผ่านทางใต้ดิน ฉินเวยเวยไม่อยู่แล้ว เหลือฝ่าอินอยู่แค่คนเดียว
การมาถึงอย่างกะทันหันของเหมียวอี้ทำให้ฝ่าอินแปลกใจมาก หลายปีขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรก!
พอทั้งสองเจอกันในห้อง ฝ่าอินก็มองประเมินเหมียวอี้อย่างแปลกใจ เดินวนรอบเหมียวอี้หลายรอบ แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “วันนี้เจ้ามาได้ยังไง?”
“ไม่ต้องเดินวนแล้ว!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็คว้ามือฝ่าอินไว้ แล้วดึงฝ่าอินเข้ามาในอ้อมอกที่แข็งแรงบึกบึน
ฝ่าอินเบิกตากว้างมองเขา รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์ป่า ได้แต่มองดูเหมียวอี้อุ้มตัวเองขึ้นมา อุ้มเข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ คืนนี้เหมือนจะเป็นจะตายแล้วจริงๆ ไม่มีทางอธิบายได้ ในที่สุดนางก็เข้าใจรสชาติของการเข้าห้องหอแล้ว…
เช้าตรู่วันต่อมา ฝ่าอินมองดูหมอนว่างเปล่าที่อยู่ข้างกายตัวเอง ผมเผ้ายุ่งสยายประบนร่างกายที่นั่งเหม่อลอยอยู่ในผ้าห่ม งดงามดุจหยกสลัก ยอดสีแดงบนภูเขาหิมะที่อวบอัดกลมกลึงไม่มีท่าทีว่าจะลู่ลง ส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่างท่อนบนงดงามที่สุด ผิวขาวหมดจดเหมือนผิวเด็กทารก
จนกระทั่งตอนเที่ยง ร้านโฉมเมฆาก็ส่งคนมาเตรียมของให้นางแล้ว ฉินเวยเวยไม่อยู่แล้ว ฝ่าอินไร้เดียงสาเกินไป ทิ้งร้านนี้ไว้ให้นางก็สิ้นเปลืองเปล่าๆ อวิ๋นจือชิวจึงย้ายนางไปอยู่จีเหม่ยลี่ ร้านค้าร้านนี้ก็ต้องขายทิ้งแล้ว
ในตอนค่ำของสามวันหลังจากนั้น จู่ๆ เหมียวอี้ก็ไปที่ร้านค้าของอวี้หนูเจียว เขาทำเหมือนกับในปีก่อนๆ อวี้หนูเจียวถูกถอดเสื้อฟ้าจนหมดอีกแล้ว
นางนึกว่าเหมียวอี้จะล้อนางเล่นเหมือนในปีที่ผ่านๆ มา แต่รอจนกระทั่งแขนขาทั้งสี่รับมือไม่ไหว แขกตัวร้ายบุกเข้ามาในประตูที่รกร้าง ถึงได้รู้ว่าครั้งนี้โดนจัดการแล้วจริงๆ…
หลังจากนั้นอีกสามวัน เจ้าสำนักลมปราณอวี้หลิงเจินเหรินก็มาที่ตำหนักคุ้มเมือง ผู้ที่มาด้วยกันยังมีชีอู้เจินเหริน ปรมาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักลมปราณ ตอนนี้เป็นขุนนางพิธีการให้จวนเทพประจำดาวคนฉลู
ตำแหน่งเดิมของชีอู้เจินเหรินค่อนข้างว่างกว่าตำแหน่งในตอนนี้ เนื่องจากร้านขายของชำซื่อตรงรุ่งเรืองขึ้น ตอนนี้ก็นับว่าได้เป็นคนที่พบหน้าพูดคุยกับเทพประจำดาวคนฉลูบ่อยๆ แล้ว เพียงแต่ไม่ถนัดเรื่องประจบสอพลอ เลยไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจอิทธิพลสักที
พอเห็นสองคนนี้ เป่าเหลียนที่ออกมารับแขกก็ทั้งดีใจทั้งตกใจ รีบพาแขกเข้ามาข้างใจ
“อวี้หลิงเจินเหริน” ในสวนดอกไม้ เหมียวอี้ที่ออกมายืนต้อนรับกุมหมัดคารวะ “ท่านนี้คงจะเป็นนายท่านฝ่ายพิธีการของจวนเทพประจำดาวแน่ๆ หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนทักทายขอรับ”
ชีอู้เจินเหรินโบกมือ “เป็นตำแหน่งว่างๆ เท่านั้น แต่ก็สงบดีเหมือนกัน ถ้าอึกทึกครึกโครมเหมือนผู้บัญชาการใหญ่ ก็เกรงว่าจะยุ่งยากเหมือนกัน นิสัยข้าไม่เหมาะที่จะอยู่ตำหนักสวรรค์หรอก ถ้าหลบมาอยู่อย่างสงบได้ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้”
เพิ่งพบหน้ากันก็พูดจาตรงไปตรงมาขนาดนี้ สงสัยไม่เหมาะจะอยู่ที่ตำหนักสวรรค์จริงๆ เหมียวอี้หรี่ตายิ้ม รู้ว่าการที่เขาถูเรียกเข้าตำหนักสวรรค์ก็เป็นเรื่องที่เลือกเองไม่ได้เหมือนกัน นักพรตของสำนักต่างๆ ในใต้หล้า ถ้าวรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงชกรุ้งแล้ว ก็จะต้องถูกให้เข้ารับตำแหน่งที่ตำหนักสวรรค์
“ขุนนางพิธีการก็ยังคิดได้!” เหมียวอี้กล่าวตามมารยาท แล้วหันตัวยื่นมือเชิญ “เชิญข้างในขอรับ!”
แขกและเจ้าบ้านเข้ามานั่งด้านใน หลังจากเป่าเหลียนนำน้ำชามาวางแล้ว ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศในห้องแปลกนิดหน่อย
สุดท้ายก็ยังเป็นอวี้หลิงเจินเหรินที่วางถ้วยน้ำชาลงแล้วเอ่ยว่า “เป่าเหลียน ที่ข้ากับปรมาจารย์มาในครั้งนี้ ก็เพราะปรมาจารย์ช่วยเจ้าหาตำแหน่งข้างบนที่เหมาะสมกว่านี้ให้แล้ว อยากจะย้ายเจ้าออกจากผู้บัญชาการใหญ่ จะได้ดูแลสะดวกหน่อย”
เป่าเหลียนอึ้งทันที ค่อยๆ เคลื่อนสายตาไปบนหน้าเหมียวอี้ พบว่าเหมียวอี้ไม่สะทกสะท้านเลย จึงตระหนักได้ทันทีว่าเหมียวอี้รู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว นางส่ายหน้าบอกว่า “ศิษย์ซาบซึ้งในเจตนาดีของปรมาจารย์แล้ว แต่ศิษย์ไม่อยากไป อยู่ที่นี่ก็ดีมากอยู่แล้ว”
ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกออกมา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เป่าเหลียน เจ้าไปเถอะ อยู่ข้างกายขุนนางพิธีการเหมาะสมกว่าอยู่ที่นี่กับข้า ข้าเขียนหนังสือปล่อยคนไว้เรียบร้อยแล้ว”
ที่จริงเขาเป็นฝ่ายเสนอเรื่องนี้ต่ออวี้หลิงเจินเหรินเอง ระหว่างทางที่กลับมาดาวเทียนหยวนก็ติดต่อกันแล้ว ข้างกายตัวเองกำลังจะมีลูกน้องคนสนิทมาเพิ่ม ให้เป่าเหลียนอยู่ที่นี่จะไม่เหมาะสม ถ้าพูดจากอีกมุมมองหนึ่ง นี่ก็ถือเป็นเจตนาดีเช่นกัน อนาคตของเขาไม่แน่นอน ไม่อยากให้นางพลอยลำบากไปด้วย
เป่าเหลียนสีหน้าเปลี่ยนแล้ว “นายท่าน เป่าเหลียนทำผิดตรงไหนหรือเปล่า? เป็นเพราะเป่าเหลียนชอบไปแทรกแซงเรื่องที่ไม่ควรแทรกแซงของผู้บัญชาสวีใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าไม่ได้ทำผิดตรงไหนหรอก แต่ชายหญิงอยู่กันตามลำพังนั้นไม่เหมาะสม เมื่อเวลานานไปอาจจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเจ้า ที่ทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับเจ้า ไม่มีอะไรน่าเถียงแล้ว เอาตามนี้แล้วกัน!” เขาหยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมาวางไว้บนแผ่นหยก แล้วผลักไปที่โต๊ะข้างหน้าพร้อมกัน “เจ้าติดตามข้ามาหลายปีขนาดนี้ นับว่าไม่ยุติธรรมต่อเจ้าแล้ว ไม่รู้จะตอบแทนยังไง หวังว่าจะไม่รังเกียจน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นี้”
เป่าเหลียนที่กัดฟันแน่นหันหน้าหนี หันตัววิ่งหนีออกไปแล้ว
สามคนในห้องยืนขึ้นพร้อมกัน เหมียวอี้หยิบของบนโต๊ะ ส่งให้ที่มืออวี้หลิงเจินเหริน แล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจ
ชีอู้เจินเหรินก็นำคำสั่งย้ายที่ขอจากเบื้องบนมาตลอดทางมาเช่นกัน เบื้องบนจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็อนุญาตแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงอะไร แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างกายเทพประจำดาว ยังมีหน้ามีตาอยู่บ้างนิดหน่อย
เมื่อนำของให้เหมียวอี้แล้ว ก็นับว่าทำการส่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองฝ่ายกล่าวอำลากันตรงนี้ เป่าเหลียนเองก็ไม่ได้โผล่หน้ามาอีก เหมียวอี้ได้แต่หลับตานั่งเงียบๆ อยู่ในโถง…
ผ่านไปไม่กี่วัน หยางชิ่ง เหยียนซิวและพวกหยางเจาชิงก็ย้ายกลับมาจากฝั่งโค่วเหวินหลานแล้ว เป็นลูกน้องฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋อยู่หนึ่งเดือน ทำความคุ้นเคยกับตลาดสวรรค์ฝั่งนี้มาบ้างแล้วนิดหน่อย แล้วก็ให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋แนะนำเข้าตำหนักคุ้มเมือง โดยให้เหตุผลว่าข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ขาดคนดูแล
วรยุทธ์และรดับของทั้งสามก็เห็นๆ กันอยู่ ภายนอกทำได้เพียงวิ่งเต้นทำงานอยู่ในและนอกตำหนักคุ้มเมืองไปก่อนชั่วคราว
ในวันที่เข้ามาในตำหนัก เหมียวอี้ก็มาหาหยางชิ่งโดยตรง ขณะที่อยู่ใต้ร่มเงาของเพิงเถาวัลย์ก็ถามว่า “ข้าบอกกับทางเซี่ยโห้วหลงเฉิงไว้แล้ว เจ้าจะออกเดินทางเมื่อไร?”
“ออกเดินทางได้ทุกเมื่อ เพียงรอให้นายท่านสั่งขอรับ” หยางชิ่งตอบ
เหมียวอี้จึงบอกว่า “งั้นก็ไม่ต้องชักช้าแล้ว ข้าบอกฝูชิงไว้แล้วเหมือนกัน ให้ชิงเฟิงช่วยวิ่งเต้นเรื่องนี้ให้เจ้า”
“เซี่ยโห้วหลงเฉิงโลภสมบัติ ยังต้องใช้สมบัติอีกจำนวนหนึ่ง” หยางชิ่งกล่าว
“ไปเบิกค่าใช้จ่ายกับฮูหยินแล้วกัน” เหมียวอี้กล่าว
“ขอรับ! ข้าน้อยจะไปเตรียมดำเนินการเดี๋ยวนี้”
…………………………