พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1303 เซี่ยโห้วจัดงานเลี้ยง
รอจนกระทั่งหยางชิ่งออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นเดินไปที่สวนดอกไม้ เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเดินตามอยู่ข้างหลัง
ถึงแม้ทั้งสองจะมาพิภพใหญ่ได้ไม่นาน แต่กลับได้ยินความเคลื่อนไหวที่เหมียวอี้ก่อไว้ที่พิภพใหญ่มาแล้ว พวกเขาพบว่าช่างสมกับเป็นนายท่าน สร้างชื่อเสียงที่ใหญ่โตขนาดนี้ไว้ที่พิภพใหญ่แล้ว ไม่ว่าไปที่ไหนก็ไม่เคยกลัวใครจริงๆ ด้วย บุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านเชียวนะ!
โดยเฉพาะเหยียนซิว เขาได้เห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่เหมียวอี้ยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์กับตาตัวเองแล้ว นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าเด็กโง่เขลาไร้ความรู้ในปีนั้นจะเดินมาถึงจุดนี้ได้
เมื่อเดินช้าๆ ไปได้พักหนึ่ง จู่ๆ เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังเดินอยู่ข้างหน้าก็กล่าวขึ้นมาว่า “พวกเจ้าสองคนติดตามรับใช้ข้ามานานแล้ว จงรักภักดีไม่ทรยศ แต่ถ้าอยากก้าวให้ทันข้า อาศัยศักยภาพของพวกเจ้าก็เกรงว่าจะเหนื่อยพอสมควร ในมือข้ามีมหาเคล็ดวชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินกับเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของมู่ฝานจวิน สามารถช่วยพวกเจ้าได้อีกแรง ถ้าพวกเจ้าอยากจะฝึกก็บอกมาตรงๆ ได้เลย” เหมียวอี้หยุดฝีเท้าและหันมามองทั้งสอง
ทั้งสองดีใจเหนือความคาดหมาย เคยได้ยินเรื่องหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่มาแล้ว นึกไม่ถึงว่านายท่านจะประทานหกเคล็ดวิชาพิเศษเป็นรางวัลให้พวกเขาฝึก
หยางเจาชิงหันตัวไปมองเหยียนซิว อยากจะให้เหยียนซิวเลือกก่อน ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นคนเก่าคนแก่ที่ติดตามอย่างแท้จริง พูดถึงคุณสมบัติและประสบการณ์ก็เหนือกว่าตนด้วย นับว่าเป็นการให้เกียรติ
ทว่าเหยียนซิวกลับเงียบไปพักใหญ่ ทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
สุดท้ายก็ยังเป็นเหมียวอี้ที่ถามว่า “ทำไมล่ะ อยู่ต่อหน้าข้ายังมีอะไรต้องอึกอักอีก มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”
เหยียนซิวแข็งใจกุมหมัดคารวะ “นายท่าน ตอนที่ข้าน้อยไปนภาหยินหยาง เคยได้ยินศิษย์ของซือถูเซี่ยวเอ่ยถึง บอกว่าเคล็ดวิชาของหกปราชญ์ล้วนอยู่ในมือนายท่านแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ขอรับ?”
เหมียวอี้หรี่ตาเล็กน้อย “อย่าบอกนะว่าเจ้าอยากฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน? นี่คือทักษะยอดเยี่ยมที่เป็นสมบัติส่วนตัวของฮูหยิน ไม่สะดวกจะถ่ายทอดต่อภายนอก” เขานึกว่าเหยียนซิวอยากจะฝึกวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหกเคล็ดวิชาพิเศษ
เหยียนซิวตอบว่า “นายท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยไม่ได้โลภขนาดนั้น ข้าน้อยแค่ได้ยินศิษย์ของซือถูเซี่ยวพูดถึงเท่านั้นเอง เขาบอกว่าเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางนี้ ถ้าฝึกจนสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็สามารถอ่านชาติก่อนและชาตินี้ของคนอื่นได้ สามารถควบคุมวิญญาณที่ตายแล้วให้กลับมาเกิดใหม่ได้ ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่าขอรับ?”
หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าเคล็ดวชาของปราชญ์ผีจะมหัศจรรย์ขนาดนี้
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “บทน้ำของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็กล่าวไว้ยิ่งใหญ่แบบนั้น เพียงแต่ขนาดประมุขลัทธิผีของพิภพใหญ่ในปีนั้นยังฝึกไม่ถึงระดับนั้นเลย ใครจะไปรู้ว่าจริงหรือหลอก ต่อให้จริงแล้วยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าเจ้าอยากฝึกเคล็ดวิชาของนักพรตผี?”
เหยียนซิวโค้งตัวคำนับ พร้อมกล่าวอย่างจริงใจว่า ถ้าหากนายท่านยินดี ข้าน้อยก็อยากฝึกเคล็ดวิชานี้ของนักพรตผีขอรับ”
เหมียวอี้กล่าวอย่างแปลกใจทันทีว่า “คนเป็นๆ อย่างเจ้าไปฝึกวิชานั้น รู้รึเปล่าว่าผลที่ตามมาคืออะไร? ร่างกายที่มีเลือดเนื้อจะแปรสภาพจนหมด ปราณหยินจะกระจายทั้งตัว ตัดขาดพลังชีวิต ก้าวสู่สภาพความตาย ขั้นตอนของมันอาจจะเป็นแบบจะอยู่ก็ไม่ใช่จะตายก็ไม่เชิง ความทุกข์ทรมานของมันไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะรับไหว คนที่ผ่านด่านนี้ไปได้ถึงจะรักษาวรยุทธ์ไว้ได้และเปลี่ยนวิชาได้อย่างราบรื่น ส่วนคนที่ผ่านไปไม่ได้ก็จะดับสูญทั้งวิญญาณและร่างกาย นี่ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย เคล็ดวิชาของนักพรตผีเหมาะสำหรับผู้ที่วิญญาณหยินไม่สลายเท่านั้น วิญญาณหยินเหล่านั้นไม่มีทางเลือก จะมีคนเป็นสักกี่คนที่จะไปฝึก ต่อให้เจ้าจะฝึกสำเร็จแล้ว แต่ก็จะเปลี่ยนจากคนเป็นไปเป็นผีอยู่ดี เจ้าเคยคิดถึงผลลัพธ์นี้บ้างรึเปล่า?”
เหยียนซิวโค้งคำนับอีกครั้ง “นายท่านได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา”
หยางเจาชิงตกตะลึงอ้าปากค้าง
“เจ้า…” บนใบหน้าเหมียวอี้ฉายแววโกรธเคืองอยู่บางส่วน เขามอบหกเคล็ดวิชาพิเศษให้ก็เพราะอยากจะให้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองมีความสามารถยิ่งขึ้น ไม่ใช่ให้ลูกน้องตัวเองไปตาย จึงถามอย่างโมโหว่า “เป็นคนอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ทำไมดึงดันจะฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางให้ได้?”
บนใบหน้าเหยียนซิวค่อยๆ เผยให้เห็นความเศร้าโศก ในนั้นเจือด้วยความรู้สึกผิด กล่าวอย่างเสียดายว่า “เพราะข้าน้อยทำร้ายนาง ข้าน้อยทำให้นางแบกรับความอัปยศจนตาย หลังจากนางอยู่กับข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่เคยให้ชีวิตที่มีหน้ามีตากับนางเลยสักวัน ข้าน้อยแค่อยากจะบอกนางต่อหน้าสักคำ ขอโทษ! บอกสักคำว่า ข้าผิดไปแล้ว!”
“…” เหมียวอี้อึ้งทันที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาจึงอยากฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง จึงถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องราวผ่านไปหลายปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะคิดถึงอยู่ตลอดไม่เคยลืม นี่เจ้าต้องขมขื่นใจขนาดไหนกัน! เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าอยากฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางจริงๆ จะไม่เสียใจทีหลังนะ?”
เหยียนซิวโค้งกายอีกครั้ง “ถ้าไม่มีหวังก็จะปล่อยไป แต่ในเมื่อมีหวังแล้ว ข้าน้อยก็ไม่อยากพลาดเลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าน้อยอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านี้ ข้าน้อยก็จะยิ่งรู้สึกผิด นายท่านได้โปรดช่วยให้สมปรารถนาด้วย!”
เหมียวอี้นิ่งเงียบ ขมวดคิ้วจ้องเขา เหมือนกำลังลังเลตัดสินใจไม่ได้
ส่วนหยางเจาชิงก็ทำสีหน้างุนงง เหมือนฟังเข้าใจแล้วนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เข้าใจจริงๆ
“เอาไปเถอะ!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วโยนให้เหยียนซิว
“ขอบคุณนายท่าน!” ขณะมองดูสิ่งที่อยู่ในมือ เหยียนซิวก้มหน้าน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง
หยางเจาชิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างแน่วแน่ว่า “เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า!”
เหมียวอี้พลิกมือโยนแผ่นหยกให้เขา แล้วก็หันหน้าเดินจากไป ขณะที่หันหลังให้และเดินก้าวยาวจากไปก็พูดว่า “อย่าให้ของสิ่งนี้เล็ดรอดสู่ภายนอก พวกเจ้ารู้ดีถึงผลที่ตามมา”
“ขอรับ!” ทั้งสองเอ่ยรับพร้อมกัน
ดาวอวี้หลัว ตลาดสวรรค์ ตำหนักคุ้มเมือง ผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วหลงเฉิงจัดงานเลี้ยงต้อนรับผู้บัญชาการใหญ่อีกเจ็ดคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัวด้วยตัวเอง
สาเหตุที่มีเพียงเจ็ดคน ก็เพราะเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ไม่ได้ถูกรับเชิญ เหยียนซู่ เหยาสิ้ง ติงเจ๋อเฉวียน ซ่างหรูเยว่ เกาโย่ว เหลียนฟางอวี้ รุ่ยฝาน เซี่ยโห้วหลงเฉิง ทั้งแปดคนนั่งล้อมโต๊ะเดียวกันเพื่อดื่มสุราฉลอง เหยียนซู่ ซ่างหรูเยว่และเหลียนฟางอวี้เป็นผู้หญิง ถ้านับจ้านหรูอี้ไปด้วยอีก ในบรรดาผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สิบคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็มีผู้หญิงสี่คน แม่ทัพภาคก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน
งานเลี้ยงถูกจัดที่ตึกศาลาในสวน เพื่อเห็นแก่หน้าราชินีสวรรค์ ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งเจ็ดคนย่อมต้องประจบสอพลอเซี่ยโห้วหลงเฉิงอยู่แล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงร่าเริงอย่างหาที่สุดมิได้ บวกกับเพิ่งได้รับสินน้ำใจจากร้านค้าต่างๆ ในเมืองที่ทำตามธรรมเนียมทุกปี การได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ช่างสำราญใจจริงๆ!
พอดีใจขึ้นมา ก็ย่อมมีอารมณ์สุนทรีในการดื่มเหล้าเช่นกัน
“ดื่มไปไม่น้อยแล้ว เดี๋ยวกลับไปข้ายังมีธุระต้องทำอีกนิดหน่อย…”
ผู้บัญชาการใหญ่ซ่างหรูเยว่ที่ปฏิเสธสุรายังไม่ทันพูดจบ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ชี้ห้านางพร้อมพูดขัดว่า “วันนี้ไม่พูดถึงเรื่องอื่น พูดแต่เรื่องดื่มเท่านั้น!”
หยางชิ่งที่ทำงานเบ็ดเตล็ดชั่วคราวกำลังถือถาดอาหารรออยู่ที่ประตู ตอนนี้กำลังทำหน้าที่ส่งอาหาร ปรากฏว่ารออยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่เห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงเอ่ยเรื่องที่เป็นการเป็นงานเสียที กลับตะโกนสั่งให้เปลี่ยนอาหารเป็นชามใหญ่เพราะชามเล็กไม่สะใจ ดื่มจนอารมณ์คึกคักแล้วจริงๆ ถึงขั้นกล่าวออกมาว่าไม่คุยเรื่องอื่นแล้ว หยางชิ่งขมวดคิ้วเดินลงจากตึกศาลา สาวเท้าเดินไปที่ครัว พอเข้ามาในครัว ก็ถ่ายทอดเสียงสั่งทันทีว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ต้องการเพิ่มกับแกล้มอีกที่”
พวกพ่อครัวรีบร้อนทำงาน ผ่านไปไม่นานหยางชิ่งก็ถือถาดใบหนึ่งเดินออกมา พอเข้ามาในตึกศาลา ก็วางกับแกล้มที่ทำใหม่ลงบนโต๊ะ หลังจากวางอาหารเสร็จแล้ว หยางชิ่งก็จงใจเดินผ่านเซี่ยโห้วหลงเฉิง ถือถาดให้มุมถาดชนหลังเซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
ปั้ง! เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันตบโต๊ะยืนขึ้น หันกลับมาเอาน้ำสุราชามหนึ่งสาดหน้าหยางชิ่ง แล้วตะคอกว่า “เป็นหมาตาบอดรึไง เวลาเดินไม่ใช้ตาเหรอ?”
หยางชิ่งที่หน้าเปียกน้ำสุราพูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะมีปฏิกิริยาอย่างนี้ ทำให้เขารู้สึกหาทางลงไม่ได้ทันที
เหยียนซู่และคนอื่นๆ ที่บ้างก็กำลังถือตะเกียบ บ้างก็กำลังยกจอกสุราชะงักค้างทันที หันมองมาทางนี้พร้อมกัน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงเห็นเขา ก็ทำท่าอึ้งนิดหน่อย ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายชนหลังตัวเองทำไม จึงโบกมือไล่ว่า “ไสหัวไป!”
“ขอรับๆ!” หยางชิ่งรีบก้มหน้ารับผิด แล้วถอยออกไปด้านนอก
“พี่เซี่ยโห้ว ไม่จำเป็นต้องไปโมโหทหารเล็กๆ หรอก มาเถอะ พวกเรามาดื่มกันอีกจอก!” เกาโย่วกล่าวพร้อมยกจอกสุราขึ้น
ปั้ง! เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่น่ะงลงตบโต๊ะอีกครั้ง ครั้งนี้ออกแรงค่อนข้างมาก ตบจนอาหารบนโต๊ะกระโดดมั่วไปหมด แล้วโพล่งออกมาอย่างกระฟัดกระเฟียดว่า “ไม่ดื่มแล้ว คุยเรื่องสำคัญกันก่อน”
คนที่นั่งอยู่เต็มโต๊ะพูดไม่ออก เมื่อครู่นี้ยังบอกอยู่เลยว่าไม่คุยเรื่องอื่น ทำไมชั่วพริบตาเดียวก็กลับคำเสียแล้วล่ะ?
เกาโย่วทำได้เพียงเก็บจอกสุราที่ยกขึ้นมากลับไป แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าพี่เซี่ยโห้วต้องการจะคุยเรื่องสำคัญอะไรเหรอ?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงดื่มสุราย้อมใจก้อนชามหนึ่ง จากนั้นใช้หลังมือเช็ดปาก ถลึงดวงตาที่โตเหมือนลูกระฆัง กวาดมองทุกคนรอบวงแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ทุกคนไว้หน้าข้ามั้ย?”
ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไว้หน้าอะไรกัน? ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เหยียนซู่ถามว่า “พี่เซี่ยโห้วมีเรื่องอะไรก็บอกมาได้เลย”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าแค่ถามคำเดียวว่าพวกเจ้าไว้หน้าข้ารึเปล่า ยินดีจะช่วยอะไรข้าสักอย่างมั้ย”
เห็นได้ชัดว่าไม่คุยกันด้วยเหตุผล ถ้าเจ้าให้พวกเราก่อกบฏขึ้นมา พวกเราก็ยังต้องช่วยเจ้าใช่มั้ย? พวกเขามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา สุดท้ายรุ่ยฝานก็กัดฟันบอกว่า “พวกเราไว้หน้าพี่เซี่ยโห้วอยู่แล้ว ขอเพียงเป็นเรื่องที่เราสามารถทำได้ ก็ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เป็นเรื่องอะไรกันแน่?” เขาต้องเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองก่อนสักหน่อย
เซี่ยโห้วหลงเฉิงใช้สองมือจับขอบโต๊ะ “คืออย่างนี้นะ ทางครอบครัวข้ากลัวว่าข้างกายข้าจะไม่มีกำลังคนเอาไว้ใช้งาน จึงส่งคนจำนวนหนึ่งมาให้ข้า แต่ข้าไม่อยากถูกคนมากมายขนาดนี้จับตาดู ก็เลยอยากจะไล่ไปอยู่ที่อาณาเขตพวกเจ้าบางส่วน พวกเจ้าคิดว่าวิธีการนี้ของข้าเป็นยังไงบ้าง?”
วิธีการนี้ไม่ดีเลยสักนิด! คนที่เหลือพูดในใจเป็นเสียงเดียวกัน แต่ก็ไม่ดีที่จะปฏิเสธตรงๆ เหยียนซู่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามว่า “กี่คน?”
คนอื่นๆ ก็ถามแบบนี้เช่นกัน ถ้ามีไม่เยอะก็ยังดีหน่อย ขี้เกียจจะพัวพันอยู่กับเจ้าหมอนี่
เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ “ไม่เยอะหรอก ร้อยกว่าคนเองมั้ง พวกเจ้าแปดคนแบ่งไปคนละส่วน เอาไปฝ่ายละประมาณสิบกว่าคน”
ส่งมารวดเดียวสิบกว่าคนนี่ยังไม่เยอะอีกเหรอ? เบื้องบนจ่ายค่าจ้างตามระบบของตลาดสวรรค์ ถ้าเพิ่มมาคนเดียวยังพอถูไถไปได้ แต่ถ้าเพิ่มมารวดเดียวสิบกว่าคน จะไปเอาค่าจ้างของคนสิบกว่าคนมาเพิ่มจากไหน คงจะให้พวกเราควักกระเป๋าเองไม่ได้หรอกใช่มั้ย?
เหยาสิ้งถอนหายใจแล้วบอกว่า “พี่เซี่ยโห้ว ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วยนะ ถ้าเพิ่มมาคนเดียวก็ยังพอไหว กำลังคนในระบบของเราก็เต็มแล้ว ถ้าให้เพิ่มรวดเดียวสิบกว่าคนอาจจะดำเนินการยากหน่อย!”
“ฟังจากที่พี่เหยาพูดแล้ว จะไม่ไว้หน้าข้างั้นสิ ตั้งใจอยากจะให้ข้าลำบากใจใช่มั้ย?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหล่ตาถาม
“ฮะ!” เหยาสิ้งอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา ใครอยากทำให้ใครลำบากใจกันแน่? แต่ภายนอกก็ยังโบกมือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่เซี่ยโห้วเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้ ข้าหมายความว่า ทำไมถึงมีแค่พวกเราแปดคนล่ะ จ้านหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อก็สามารถแบ่งไปคนละส่วนได้นี่นา เออใช่ จากที่ข้ารู้มา ในปีนั้นที่ท่านแม่ทัพภาคพาลูกน้องออกจากดาวเทียนหยวนไป หนิวโหย่วเต๋อก็เหมือนจะขาดจำนวนมากคนมาตลอดนะ ทำไมไม่ให้เขาแบ่งไปมากๆ หน่อยล่ะ ไม่แน่นะ เขาคนเดียวอาจจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมดก็ได้”
“ใช่แล้ว!”
“ใช่มาก!”
ทุกคนพากันพยักหน้าสนับสนุน
“ใช่บ้าอะไรล่ะ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดตรงๆ ว่า “จ้านหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อน่ะ ข้าไม่กล้าไปล่วงเกินหรอก ข้าถามคำเดียวว่าพวกเจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย หาข้ออ้างมาจากไหนเยอะขนาดนี้?”
ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งเจ็ดคนสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย แต่ละคนด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง หมายความว่ายังไง? ล่วงเกินสองคนนั้นไม่ไหว แต่ล่วงเกินพวกเราได้ง่ายๆ งั้นเหรอ?
………………………