พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1311 จุดอ่อนที่ใหญ่มาก
ต่อให้เขาจะกำเริบเสิบสาน แต่ก็ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน
จ้านหรูอี้ก็ทำสีหน้างุนงงเช่นกัน คนอื่นๆ มองอย่างตะลึงค้าง
ปี้เยว่ฮูหยินนิ่งอึ้งไปแล้ว นางเองก็ไม่เคยเห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนเช่นกัน
เหยียนซู่เตรียมพร้อมป้องกันไม่ทันจริงๆ เรียกได้ว่าบาดเจ็บไม่เบา เอามือกุมท้องลุกขึ้นมา กระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง ใบหน้างามเปลี่ยนสี สีหน้าตกตะลึงขณะมองเหมียวอี้เข้ามาประชิด นางถอยหลังอย่างช้าๆ
“บังอาจ!” พอผู้การสองหลันเซียงตะคอก ปี้เยว่ฮูหยินถึงได้สติกลับมา พลันยืนขึ้นพร้อมถามอย่างเดือดดาลว่า “หนิวโหย่วเต๋อ! เจ้าคิดจะก่อกบฏใช่มั้ย?”
เหมียวอี้หยุดฝีเท้า หันกลับไปมองปี้เยว่ฮูหยินที่ยืนอยู่เบื้องสูง พลางถ่ายทอดเสียงว่า “ไห่ผิงซิน!”
เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนอะไรเยอะอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องที่ตลาดสวรรค์ขึ้น ตอนนี้ในมือมีจุดอ่อนที่สามารถใช้บีบปี้เยว่ฮูหยินได้ จะให้เขาแสร้งทำตัวเหมือนหลานชายอีกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว ใช้ความพยายามที่แดนอเวจีไปมากมายกว่าเขาจะได้ยันต์ป้องกันตัวนี้มา สิ่งนี้ไม่ได้มีไว้ประดับเฉยๆ!
และเขาก็ไม่พอใจพวกเหยียนซู่มาตั้งนานแล้ว บัญชีแค้นที่คนพวกนี้สร้างความอัปยศแก่เขาในปีนั้น เขายังไม่ทันได้ชำระเลย ตอนนี้เหยียนซู่ยังกล้าเข้ามาปะทะอีก ถ้าไม่ใช่เพราะการฆ่าเพื่อนร่วมงานที่นี่จะทำให้ต้านทานปี้เยว่ฮูหยินไม่ไหว เกรงว่าคงจะไม่ได้ขยับแค่เท้าหรอก แต่จะใช้ทวนแทงให้ตายไปเลย แต่การใช้เท้าเมื่อครู่นี้ก็โหดพอสมควร ไม่ได้ปรานีเลยจริงๆ!
ไห่ผิงซิน! สำหรับปี้เยว่ฮูหยิน สามคำนี้ราวกับอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงกลางหัวจริงๆ นางพลันเบิกตากว้าง เม้มริมฝีปากแน่น ไม่สนใจปฏิกิริยาของคนอื่น กล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าตามข้ามา!” พูดจบก็เดินลงบันไดไปทันที ผู้การสองหลันเซียงอยากจะตามไป แต่ก็ถูกนางโบกมือห้ามไว้
“นางตัวดี! พ่อคนนี้ล่วงเกินบุคคลระดับสูงมาหมดแล้ว ไม่สนใจความเป็นความตายตั้งนานแล้ว ผู้ชายของเจ้าก็เป็นแค่หัวหน้าภาคตกอับคนหนึ่ง ถ้าเทียบกับผู้มีอำนาจในราชสำนัก ถ้าคิดจะมาสู้กับข้า ก็เทียบไม่ติดแม้แต่หางแถวด้วยซ้ำ ถ้าเจ้าคิดจะอาศัยเรื่องส่วนรวมมาล้างแค้นส่วนตัว ก็หัดดูตัวเองซะบ้างว่าอยู่ระดับไหน ถ้าไม่อยากตายก็เข้ามาได้เลย!”
เหมียวอี้ตะคอกด่าพร้อมชี้เหยียนซู่ที่หน้าถอดสี มาอยู่ที่ตลาดสวรรค์นานขนาดนี้แล้ว เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอดทนอดกลั้น อยู่ใต้ชายคาคนอื่นจะไม่ก้มหัวก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวเดียวก็มีความมั่นใจแบบนี้แล้ว คำพูดที่กล่าวออกไปเมื่อครู่นี้ มีลักษณะไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเหมือนตอนที่เขาเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์
เหยียนซู่ถูกเขาทำให้ตกใจแล้วจริงๆ ไม่กล้าแม้แต่จะลงมือกับเหมียวอี้ ที่ท้าทายก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะมั่นใจว่าเหมียวอี้จะไม่กล้าลงมือที่นี่ ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายยังไม่สิ้นเปลืองคำพูดด้วยซ้ำ ก็โจมตีให้นางบาดเจ็บสาหัสแล้ว พอทำตัวเผด็จการแบบนี้ มีหรือที่นางจะกล้าพูดอะไรอีก แววตาที่หวาดกลัวกำลังมองขอความช่วยเหลือจากจ้านหรูอี้
จ้านหรูอี้กำลังจะเอ่ยปาก แต่ผู้การสองหลันเซียงก็ตะคอกสั่งด้วยใบหน้าคร่ำเครียดแล้วว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าไม่ได้ยินสิ่งที่ฮูหยินพูดเหรอ?”
“เฮอะ!” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัดใส่พวกจ้านหรูอี้ แล้วสะบัดแขนเสื้อสองข้าง เดินตรงไปที่ตำหนักหลังทันที เรียกได้ว่ากำเริบเสิบสานมาก
ต้นแบบของข้าเลย! เซี่ยโห้วหลงเฉิงมองเงาหลังของเหมียวอี้ที่เดินออกไปอย่างกำเริบเสิบสาน เรียกได้ว่าทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ แววตาเป็นประกายลุกวาว เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าประชุมงานพร้อมเหมียวอี้ ผลปราฏว่าได้เห็นน้องหนิวระเบิดอารมณ์แล้ว เด็กดีเอ๋ย! เผด็จการแทบบ้า คนโหดนี่มันช่างโหดจริงๆ จะไม่ให้นับถือคงไม่ได้แล้ว
แต่พอลองคิดดูใหม่ น้องหนิวก็เหมือนจะเจ้าอารมณ์แบบนี้มาตลอด นึกถึงในปีนั้นที่ยังตัวเปล่า ก็ยังกล้าซ้อมผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกอย่างเขาที่ร้านขายของชำซื่อตรงเพื่อระบายอารมณ์ ตอนนี้ยิ่งมีนิสัยเจ้าอารมณ์ยิ่งกว่าเดิมแล้ว!
มีเรื่องราวมากมาย ที่จริงในใจเขาอยากทำมาตลอดแต่ก็ไม่กล้าทำ ยกตัวอย่างเช่นทำร้ายเพื่อนร่วมงานต่อหน้าผู้บังคับบัญชา
พวกเหยาสิ้งสีหน้าย่ำแย่มาก เรียกได้ว่าถูกเหมียวอี้ปลุกให้ได้สติในรวดเดียว ในใจเริ่มรู้สึกกลัวนิดหน่อยแล้ว
เป็นเพราะเหมียวอี้พูเอาไว้ไม่ผิด เจ้าเวรนั่นล่วงเกินขุนนางทั้งราชสำนักแล้ว เหมือนเป็นคนเท้าเปล่าที่ไม่กลัวการใส่รองเท้า มีหรือที่จะมองเห็นคนที่หนุนหลังพวกเขาอยู่ในสายตา ถ้าไปยั่วโมโหเจ้าเวรนี่ก็เท่ากับเอาชีวิตไปล้อเล่นจริงๆ ที่สำคัญเป็นเพราะทุกคนได้รับรู้ถึงความห้าวหาญของเขาแล้ว ต่อให้ทุกคนร่วมมือกันก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
วันนี้หวังเหพียงให้ปี้เยว่ฮูหยินลงโทษเขาให้หนัก แต่การที่ฮูหยินเรียกเขาไปข้างหลังแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?
จ้านหรูอี้ทำสีหน้าบึ้งตึงเช่นกัน นางขมวดคิ้วมุ่น นางพิจารณาตัวเองเพราะคำพูดเหมียวอี้ นางพบว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวยอมแลกทุกอย่างแล้ว ภูมิหลังของตนกดดันอีกฝ่ายไม่ได้เลย ถ้าไม่มีความได้เปรียบนี้ เมื่อใช้กำลังปะทะกันตรงๆ ตนก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายก็ได้ อานุภาพของทวนเดียวที่ทำให้นางบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้นางยังจดจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น
ผู้การสองหลันเซียงขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่นี้นางอยู่ข้างกายปี้เยว่ฮูหยิน เห็นได้ชัดว่านางสัมผัสได้ หลังจากเหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงมา ฮูหยินก็ตัวสั่นเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ในศาลตรงจุดลึกของตำหนักหลัง ปี้เยว่ฮูหยินไม่สามารถปิดบังสีหน้าของตัวเองได้อีก สีหน้าย่ำแย่มาก จ้องมองเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาอย่างไม่กังวลหวาดกลัว
เหมียวอี้เข้ามาเองโดยไม่ได้เชิญ พอเข้ามาในศาลาก็กุมหมัดคารวะ “ไม่ทราบว่าฮูหยินมีอะไรจะกำชับ!”
ปี้เยว่ฮูหยินถามเน้นย้ำทีละคำว่า “ในตำหนักเมื่อครู่นี้ ที่เจ้าพูดแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”
ถ้ายังไม่ทำความเข้าใจเรื่องราวให้ชัดเจน นางก็ไม่มีทางเปิดโปงเรื่องของตัวเองง่ายๆ เพียงเพราะเหมียวอี้เอ่ยชื่อลูกสาวของ
เหมียวอี้ย่อมรู้ว่านางแกล้งโง่ รู้ถึงความคิดของนาง จึงพลิกมือหยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง แกว่งไปแกว่งมาอยู่ตรงหน้าปี้เยว่ฮูหยิน “ฮูหยินเห็นสิ่งนี้แล้วก็จะเข้าใจเอง”
ปี้เยว่ฮูหยินโบกกวาดแขนเสื้อ แย่งระฆังดารามาตรวจดูในมือโดยตรง เห็นตราอิทธิฤทธิ์สองอันที่ค่อนข้างคุ้นตาอยู่ในนั้น จึงรีบหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาเทียบ ไม่ผิดหรอก ตราอิทธิฤทธิ์อีกอันที่อยู่ในระฆังดาราเป็นของไห่ผิงซินลูกสาวตัวเองจริงๆ ด้วย นางตัวสั่นเทิ้มอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย เงยหน้ากัดฟันถามว่า “เจ้าเอาของสิ่งนี้มาจากไหน”
นางยังกอดความหวังอันน้อยนิด หวังว่าเหมียวอี้จะเป็นคนนั้นที่มารับลูกสาวตัวเอง หวังว่าเหมียวอี้จะเป็นคนที่ไห่ยวนเค่อเตรียมไว้ แต่ในใจนางก็รู้ดี ว่าถ้าเหมียวอี้เป็นคนที่ไห่ยวนเค่อส่งมาจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ไห่ยวนเค่อจะไม่บอกนาง ทำให้นางอกสั่นขวัญแขวนกังวลความปลอดภัยของลูกสาวอยู่ตลอด
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังกอดความหวังเอาไว้ หวังว่าเหมียวอี้จะเป็น ‘พวกเดียวกัน’ กับฝั่งแดนอเวจี ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้จะได้ของนี้มาได้อย่างไร จะรู้ชื่อลูกสาวของนางได้อย่างไร ดูจากท่าทางของเหมียวอี้แล้ว ก็เหมือนจะมองออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับไห่ผิงซิน
เหมียวอี้หัวเราะอย่างเริงร่า “เรื่องบางอย่างก็บังเอิญมากเลยนะ ฮูหยินยังจำตอนที่ถามข้าน้อยเรื่องจุดซ่อนผลงานการทดสอบครั้งก่อนได้มั้ย ข้าน้อยเคยบอกแล้วว่าจะไปรับฮูหยิน ถึงแม้ฮูหยินจะปฏิเสธ แต่ข้าน้อยก็ล่วงเยอะคนไว้เยอะเกินไป ก็เลยอยากจะประจบฮูหยินสักหน่อย ตอนที่ไปรอตรงนอกทางเข้าออกแดนอเวจี ก็บังเอิญเจอนักโทษหลบหนีที่อยู่บนรายชื่อประกาศจับของการทดสอบครั้งแรก ก็เลยฆ่าอีกฝ่ายเสียเลย เสร็จแล้วพอค้นตัวเขา ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบกับคนอีกคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนแรกข้านึกว่าเป็นคนที่นักโทษหลบหนีคนนั้นจับมา แต่ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะคิดถึงมารดาของนางมาก ตอนสลบก็ละเมอเรียกมารดาตลอด ข้าเลยถามไปส่งเดชว่ามารดาเจ้าเป็นใคร ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะละเมอตอบแล้ว ตอนยังไม่ได้ยินก็ไม่รู้หรอก แต่พอได้ยินก็ตกใจทันที เหมือนข้าจะรู้จักมารดาของนางนะ! ข้าก็เลยถามอีกว่าพ่อนางเป็นใคร คำตอบก็ยิ่งทำให้ข้าตกใจ ถ้ามารดานางคือคนที่ข้ารู้จักจริงๆ แล้วทำไมถึงไปมีลูกสาวกับไห่ยวนเค่อ หัวโจกโจรกบฏผู้มีชื่อเสียงอันโด่งดังได้ล่ะไห่ยวนเค่อ? ข้าก็เลยค้นตัวนาง เจอระฆังดาราในมือฮูหยินแล้วเอามาเทียบกัน ไม่น่าเชื่อว่าตราอิทธิฤทธิ์จะสอดคล้องกันจริงๆ ตอนนี้จะไม่ใช่ข้าเชื่อก็คงไม่ได้แล้ว ฮูหยิน ท่านว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า?”
ปี้เยว่ฮูหยินยิ่งฟังยิ่งสีหน้าย่ำแย่ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว สั่นเทิ้มไปทั้งร่างกาย ต่อให้นอนฝันนางก็นึกไม่ถึงว่าลูกสาวจะตกอยู่ในมือเหมียวอี้ด้วยวิธีการแบบนี้ มิน่าล่ะไห่ยวนเค่อถึงติดต่อคนรับตัวไม่ได้ สงสัยจะตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ไปแล้ว ช่างเป็นสัตว์ที่สมควรโดนฆ่า!
และการที่อีกฝ่ายเปิดโปงออกมาอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าจะใช้สิ่งนี้มาบีบนาง และเห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาแล้วด้วย มิน่าล่ะเมื่อครู่นี้ถึงกล้าทำร้ายคนต่อหน้านางในตำหนักใหญ่ ไม่หวาดกลัวเพราะมีที่พึ่งนี่เอง!
แต่นางจะรู้ได้อย่างไร นี่คือกับดักหลายชั้นที่พุ่งเป้าไปที่นาง กับดักที่ใช้อิทธิพลอำนาจมากขนาดนั้น ใช้ความพยายามมากขนาดนั้นเพื่อวางใส่นางคนเดียว วางกับดักได้อย่างรอบคอบครอบคลุม ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย แล้วนางจะหนีไปไหนได้ล่ะ? ในสนามต่อสู้ของอิทธิพลอำนาจขนาดใหญ่ ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ไม่มีความยุติธรรมหรือศีลธรรมใดๆ มาข้องเกี่ยว เรื่องนี้เกี่ยวโย่งกับความเป็นความตายของคนจำนวนมาก นางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น เมื่อกำหนดแล้วว่าจะให้นางเป็นหมาก นางก็ทำได้เพียงถูกวางอยู่บนกระดานตามคนลงหมาก ไม่มีอำนาจในการปฏิเสธเลย
ปี้เยว่ฮูหยินที่หน้าอกอวบอัดกระเพื่อมขึ้นลงถอยหลังช้าๆ ราวกับหายใจไม่ทันนิดหน่อย ร่างกายโอนเอนไร้เรี่ยวแรง ใช้มือจับประคองโต๊ะหิน นั่งลงบนม้านั่งหินอย่างอ่อนปวกเปียก จ้องเหมียวอี้พร้อมถามอย่างแค้นใจว่า “นางอยู่ที่ไหน?”
“นางก็อยู่ในมือข้าอยู่แล้ว” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่นางหนูนั่นก็น่าจะสนใจมากทีเดียว ข้าอุตส่าห์หวังดีปลุกนางขึ้นมา แต่พอได้ยินว่าข้ารู้ความลับของนางแล้ว ก็เหมือนจะอยากรักษาความลับให้มารดา นางถึงขั้นหลอกใช้อุบายลอจู่โจมข้า เพิ่งวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นหนึ่ง แต่คิดจะจู่โจมนักพรตบงกชทองเสียแล้ว ดูออกเลยว่าไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ ยอมสละทุกอย่างเพื่อปกป้องมารดาตัวเองจริงๆ。”
ปี้เยว่ฮูหยินได้ยินแล้วมีแรงลุกขึ้นยืนทันที ถามอย่างตกใจกลัวเล็กน้อยว่า “เจ้าทำอะไรนาง?”
เหมียวอี้โบกมือ “ฮูหยินไม่ต้องกังวลหรอก นางคือยันต์ป้องกันตัวของข้า ข้าไม่ทำร้ายนางหรอก ตอนนี้นางสบายดี แม้แต่ขนสักเส้นก็ไม่หายไป ทีแรกข้าอยากจะพานางมาพบฮูหยิน แต่นางไม่ยอมมาเอง ข้าบอกว่าข้าจะส่งนางไปเจอมารดาตัวเอง ถามว่าทำไมนางไม่ไป แต่นางไม่ยอมบอก ถามยังไงก็ไม่ยอมบอก สรุปก็คือจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ยอมมาพบฮูหยิน”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเพราะอะไร ข้ารู้ถึงญานะตัวตนของเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะซ้ายจะขวาก็เป็นแบบนี้ แต่ทำไมเจ้าไม่ยอมมาพบมารดาล่ะ?
ในดวงตาปี้เยว่ฮูหยินฉายแววโศกเศร้าล้ำลึก เหมียวอี้ไม่เข้าใจ แต่นางกลับเข้าใจดีว่าทำไมลูกสาวจึงไม่อยากพบตน ลูกที่อุ้มท้องมานานขนาดนั้น อีกทั้งนางยังมองดูลูกตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบโต นางรู้จักลูกสาวตัวเองดีที่สุด แค่ลูกสาวขมวดคิ้วนิดเดียวนางก็รู้แล้วว่าลูกคิดกำลังคิดอะไร
ในใจนางเจ็บปวดรวดร้าวมากจริงๆ สิ่งที่กังวลที่สุดก็ยังเกิดขึ้น นางรู้ว่าถ้าไห่ยวนเค่อไม่บังคับส่งลูกสาวออกมา ก็เกรงว่าลูกสาวคงจะไม่ยอมออกมาหรอก เพราะลูกสาวรู้ความจริงแล้วจึงไม่อยากเจอนาง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลังจากรู้ว่ามารดาตกอยู่ในวิกฤต เพื่อที่จะปกป้องมารดา ไม่น่าเชื่อว่าลูกสาวจะคิดจู่โจมเพื่อสู้ตายกับเหมียวอี้ ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงยิ่งเจ็บปวดเหมือนเหมือนมีมีดบิดหมุนอยู่ในหัวใจ รู้สึกผิดต่อลูกสาวตัวเองมาก
…………………………