พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1316 สามีคือผู้นำ ภรรยาคือผู้ตาม
ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานเท่าไร ดวงอาทิตย์เคลื่อนไปทางทิศตะวันตก เงาต้นไม้ลาดเอียง แต่ประตูบานนั้นกลับไม่เปิดออกเลย
ในที่สุดปี้เยว่ฮูหยินก็ยอมแพ้อย่างจนใจ ใบหน้ามีแต่ความผิดหวังสุดทน เดินกลับมาช้าๆ อย่างเลื่อนลอย
เหมียวอี้เดินเข้าไปใกล้ แล้วกล่าวว่า “เอาแบบนี้มั้ยล่ะ ต่อไปนี้ให้นางอยู่กับข้าที่นี่ก็ได้ ข้าจะหาทางมอบสถานะขุนนางของตำหนักสวรรค์ให้นาง ให้งานอะไรสักอย่างให้นางทำที่ตำหนักคุ้มเมือง ไม่ทำให้นางได้รับความไม่ยุติธรรมหรอก รอให้นางคิดได้ก่อน แล้วฮูหยินค่อยพานางไปก็ยังไม่สาย ถ้าทำแบบนี้ต่อไปอาจจะทำให้คนนอกสงสัย”
ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากจะทำแบบนี้ คิดเพียงว่าถ้าส่งไห่ผิงซินให้ถึงมือปี้เยว่ เขาก็จะควบคุมอะไรไม่ได้แล้ว แต่ดูจากท่าทางในตอนนี้ ไห่ผิงซินไม่อยากแม้แต่จะพบหน้าปี้เยว่ด้วยซ้ำ มีหรือที่จะยอมไปกับปี้เยว่ ต่อให้ฝืนพาไปด้วยก็ลำบาก เขานึกถึงคำฝากฝังของจินม่าน และการที่เด็กผู้หญิงคนนั้นสับสนแบบนี้ ก็เป็นเพราะตัวเขาด้วย คงไม่ดีหากจะไม่สนใจ
ปี้เยว่เงยหน้า ถามว่า “เจ้าไม่กลัวว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นแล้วเจ้าจะลำบากไปด้วยเหรอ?”
ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แล้วติดร่างแหซวยไปกับลูกสาวโจรกบฏแล้วจะเป็นไรไป เพราะข้านี่แหละหัวหน้าโจรกบฏ! เหมียวอี้ยิ้มแห้งในใจ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ การที่ข้าปิดบังเรื่องนี้ไว้ก็ทำให้ข้าหนีข้อหาไม่พ้นแล้ว จะสนใจเรื่องนี้ทำไม? ถึงอย่างไรข้าก็มีเรื่องกับขุนนางมาทั้งราชสำนักแล้ว หวังเพียงฮูหยินจะจดจำความดีของข้าน้อยบ้าง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ให้อภัยมากๆ หน่อยก็พอแล้ว”
ปี้เยว่ครุ่นคิด ที่จริงนางไม่วางใจที่จะปล่อยไห่ผิงซินไว้ข้างกายเหมียวอี้ ที่สำคัญเป็นเพราะเหมียวอี้ขยันก่อเรื่องเกินไปแล้ว แต่ก็ไม่สะดวกจะให้บุคคลที่สามรู้เรื่องนี้อีก ไม่ว่านางจะฝากฝังไห่ผิงซินไว้ที่ใคร ก็ทำให้คนแปลกใจทั้งนั้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นชาติกำเนิดของไห่ผิงซิน
นางพิจารณาครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ต่อไปนี้ไม่ต้องมอบสินน้ำใจในแต่ละปีให้ข้าแล้ว”
คำพูดนี้เท่ากับตอบตกลงรับคำชี้แนะของเหมียวอี้แล้ว เท่ากับทิ้งผลประโยชน์ส่วนนั้นไว้ให้เหมียวอี้ ให้เขาช่วยดูแลลูกสาวให้
เหมียวอี้โบกมือ “ฮูหยินเองก็ต้องมอบให้เบื้องบนเหมือนกัน ตราบใดที่ฮูหยินอยู่ในตำแหน่งอย่างมั่นคง แบบนั้นถึงจะยิ่งบังลมบังฝนให้ข้าได้สะดวก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าตัดสินน้ำใจส่วนนี้ออกไป ก็เกรงว่าจะทำให้คนข้างกายฮูหยินสงสัยได้ ฮูหยินไม่ต้องห่วง ทรัพยากรฝึกตนเล็กน้อยของไห่ผิงซินข้ารับผิดชอบไหว ข้าดูแลได้อย่างเพียงพอ ไม่ทำให้นางเสียเปรียบแน่นอน หรือพูดให้แย่หน่อยก็คือ ถ้าในมือข้าขัดสนขาดเงินจริงๆ ก็ค่อยไปเอ่ยปากขอจากฮูหยินก็ยังไม่สาย”
ปี้เยว่ฮูหยินแปลกใจกับปฏิกิริยาของเหมียวอี้อยู่บ้าง นางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “งั้นก็ตกลงตามนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็บอกข้าให้ทันเวลา อันนี้มอบให้เจ้า” นางพลิกมือนำระฆังดาราอันหนึ่งออกมา เป็นอันเดียวกับที่เหมียวอี้ใช้ขู่นางก่อนหน้านี้ เป็นระฆังดาราที่นางกับไห่ผิงซินใช้เพื่อติดต่อกัน
เหมียวอี้เพิ่งจะรับมาเก็บไว้ จู่ๆ เสียงฝีเท้าที่รีบร้อนของผู้การสองหลันเซียงก็ดังมา นางแจ้งอย่างร้อนใจว่า “ฮูหยิน ท่านโหวมาแล้วค่ะ”
ปี้เยว่ฮูหยินกับเหมียวอี้อึ้งพร้อมกัน ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย เงาร่างของท่านโหวเทียนหยวนก็มาปรากฏอยู่ในประตูพระจันทร์ของสวนดอกไม้แล้ว เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาอย่างองอาจห้าวหาญ ข้างหลังทางด้านซ้ายและขวายังมีลูกน้องติดตามมาด้วยสองคน ยิ้มทักทายมาตั้งแต่ไกลๆ “ฮูหยินทำให้ข้าหาตั้งนานจริงๆ นะ”
ท่านโหวเทียนหยวนปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ทำให้ปี้เยว่เริ่มวิตกกังวลทันที ถึงอย่างไรลูกสาวก็อยู่ข้างกาย ถ้าให้ลูกสาวเห็นอีก จะให้นางทนรับความรู้สึกได้อย่างไร นางหันขวับไปมองหลันเซียง แล้วถามเสียงต่ำว่า “เจ้าใช่มั้ยที่บอกว่าข้าอยู่ที่นี่?”
หลันเซียงก้มหน้าเล็กน้อย “ฮูหยิน สามีภรรยาทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทะเลาะกันที่หัวเตียง ไปคืนดีกันที่ปลายเตียง…”
“หุบปาก!” ปี้เยว่โมโหแล้ว
“ฮูหยินอย่าโทษหลันเซียงเลย ข้ากดดันนางเอง” ท่านโหวเทียนหยวนเดินเข้ามาใกล้พลางหัวเราะแห้งๆ เพียงแต่แววตาที่มองเหมียวอี้แฝงความหมายลึกซึ้ง เขาหันกลับมาถามหลันเซียงว่า “ฮูหยินพักที่ไหน?”
“ที่ห้องหลักที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้ค่ะ” หลันเซียงตอบ
ท่านโหวเทียนหยวนยื่นมือมาจูงมือปี้เยว่ฮูหยินทันที “ฮูหยิน อย่าโมโหเลย ไปกันเถอะ ข้าจะไปขอโทษฮูหยิน”
“อย่ามาแตะต้องข้า!” ปี้เยว่สะบัดมือเขาออก ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วถามเสียงต่ำว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ซวบ! ท่านโหวเทียนหยวนถลันตัวเข้าไป ชั่วพริบตาเดียวก็อุ้มปี้เยว่ฮูหยินขึ้นมาแล้ว กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ก่อนหน้านี้กล่าวเกินไปแล้ว ข้าก็ต้องมากล่าวขอโทษฮูหยินสิ” พูดจบก็เดินไปเลย แล้วหันกลับมาบอกลูกน้องว่า “วันนี้ข้าไม่ไปไหนแล้ว จะค้างที่นี่”
“รับทราบ!” ลูกน้องสองคนกุมหมัดรับคำสั่ง
หลันเซียงก้มหน้าโค้งคำนับ
สายตาเหมียวอี้เหลือบไปมองห้องเล็กในสวนดอกไม้โดยจิตใต้สำนึก ผลก็คือพบว่าไห่ผิงซินโผล่ศีรษะมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ กำลังมองดูตรงนี้จากด้านหลังหน้าต่างอย่างเงียบๆ เหมียวอี้เหลือบมองปี้เยว่ฮูหยินที่โดนอุ้มไปอีกครั้ง แล้วก็แอบถอนหายใจเบาๆ เขาเองก็ห้ามไม่ไหวเหมือนกัน
แต่ปี้เยว่ฮูหยินกลับดิ้นรนอย่างรุนแรง ตะคอกอย่างโมโหว่า “ปล่อยข้า! ถ้ายังไม่ปล่อยก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
อาศัยวรยุทธ์อย่างนาง มีหรือที่จะสลัดท่านโหวเทียนหยวนหลุด ตอนแรกท่านโหวเทียนหยวนก็ไม่ได้สนใจนัก สามีภรรยาอยู่ด้วยกันมานานจนรู้จักกันดี ถ้าฮูหยินโมโหอีก แค่นอนด้วยสักครั้งแล้วปรนนิบัติอย่างสุดกำลัง เดี๋ยวเรื่องก็ผ่านไปแล้ว ทั้งสองอยู่ด้วยกันมาหลายปี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทะเลาะกัน
ใครจะคิดว่าปี้เยว่กลับดิ้นรนสุดชีวิต สุดท้ายก็ถึงขั้นร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “ที่ตำหนักคุ้มเมืองนี้ไม่ว่าใครก็บุกเข้ามาได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นเหรอ? ทหาร เอาตัวพวกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”
ซวบๆ! รอบด้านมีกลุ่มทหารยามของตำหนักคุ้มเมืองเหาะมาทันที แม้แต่หยางชิ่งก็รวมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะขัดขวางหรือไม่ขัดขวางดี ต่างก็มองไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน
เหมียวอี้ก็ปวดหัวเช่นกัน เขาเองก็อยากจะขัดขวาง แต่ขัดขวางไหวเหรอ? ถ้าเบื้องล่างรังแกเบื้องบนจนท่านโหวเทียนหยวนเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ โดนท่านโหวเทียนหยวนตบฉาดเดียวก็ตายไปเปล่าๆ ถึงอย่างไรท่านโหวเทียนหยวนก็เป็นสามีของปี้เยว่ ยามปกติท่านโหวเทียนหยวนอาจจะไม่สะดวกจะแตะต้องเหมียวอี้ แต่การเข้าไปสอดแทรกเวลาสามีภรรยาทะเลาะกัน ถ้าอีกฝ่ายพลั้งมือขึ้นมา เจ้าก็จะไม่มีแม้แต่ที่ให้ทวงความยุติธรมด้วยซ้ำ ภายใต้สถานการณ์แบบน้ คนหนึ่งคือผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ คนหนึ่งคือท่านโหวที่มีตำแหน่งเป็นท่านเซียน ตำหนักสวรรค์จะจัดการอย่างไรก็ไม่ต้องคิดเยอะเลย
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ต้องให้เขาขัดขวาง ได้ปล่อยไก่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ท่านโหวเทียนหยวนที่กำลังอุ้มปี้เยว่ฮูหยินหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที ถูกทำให้หาทางลงไม่ได้นิดหน่อย ท่านโหวผู้สง่าผ่าเผยควบคุมไม่ได้แม้กระทั่งเมียตัวเอง อับอายขายหน้าต่อหน้าคนมากมายแล้ว
เขาไม่ฝืนบังคับอีก ปล่อยให้ปี้เยว่ที่ดิ้นรนหลุดไป ทว่าเขาถือโอกาสฟาดไปหนึ่งฝ่ามือ
เพี้ยะ! เสียงดังชัดเจน ปี้เยว่ฮูหยินที่เพิ่งหลุดจากอ้อมกอดเขากำลังยืนอย่างมั่นคง แต่ก็โดนฝ่ามือนี้ของเขาเขาตบจนล้มลงอีก มุมปากมีเลือดไหลพลางหอบหายใจ ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่ลุกขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าโดนตบจนเบลอนิดหน่อย พิสูจน์แล้วว่าเทียนหยวนลงมือไม่เบา
หลันเซียง และลูกน้องอีกสองคนของเทียนหยวน รวมทั้งทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ต่างก็พากันตกตะลึงกับกับการตบฉาดนี้
เหมียวอี้กลับเริ่มอกสั่นขวัญแขวน รีบมองไปยังห้องเล็กในสวน กลัวว่าไห่ผิงซินจะวิ่งออกมาภายใต้ความร้อนใจ ต้องทราบไว้ว่าก่อนหน้านี้ไห่ผิงซินเคยยอมแลกทุกอย่างเพื่อจู่โจมเขาเมื่อรู้ว่ามารดาตกอยู่ในอันตราย ถ้าตอนนี้นางวิ่งออกมาตะโกนเรียก ‘ท่านแม่’ โลกนี้ก็จะวุ่นวายใหญ่โตแน่นอน คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนี้ไม่มีใครช่วยชีวิตสองแม่ลูกนี้ได้เลย
เขาเองก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านโหวเทียนหยวนจะโผล่มาในเวลานี้
ยังโชคดี ไห่ผิงซินเพียงใช้สองมือจับหน้าต่างลายฉลุ กำลังกัดฟันน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่ได้วู่วามวิ่งออกมา
เหตุการณ์ตรงนั้นเงียบกริบลงแล้ว
ท่านโหวเทียนหยวนสีหน้าเย็นเยียบ การที่เขามาแล้วบอกว่าขอโทษ เขาคิดว่าเขาก็ลดศักดิ์ศรีจนต่ำมากพอแล้ว ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเหลวไหลถึงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เขาปล่อยไก่ต่อหน้าพวกลูกน้อง
บางทีในสายตาคนนอกอาจจะมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้น
เขาเดินอ้อมปี้เยว่ฮูหยินที่ล้มอยู๋บนพื้นอย่างช้าๆ ก้มหน้าเล็กน้อยจ้องนาง ลักษณะท่าทางของท่านโหวที่อยู่เหนือคนอื่นมานานแสดงออกมาจนหมด บนตัวถึงขั้นเผยกลิ่นอายสังหารเล็กน้อย ปี้เยว่ฮูหยินมีลูกน้องมากมายขนาดนี้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่กลับไม่มีใครกล้าก้าวขึ้นมา
มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้อยากจะให้ไห่ยวนเค่ออยู่ในเหตุการณ์ด้วยจริงๆ ดูว่าเทียนหยวนจะกล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าไห่ยวนเค่อรึเปล่า ทว่านั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ต่อให้เป็นไปได้แต่น้ำที่อยู่ไกลก็ช่วยดับไฟที่อยู่ใกล้ไม่ได้ จึงรีบเอียงหน้าถ่ายทอดเสียงถามหยางชิ่งทันที “ทำยังไงดี? เจ้าหลานนี่อยากจะฆ่าคนแล้ว รีบคิดหาทางเถอะ”
เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่วรยุทธ์ระดับท่านโหวเทียนหยวน ในเหตุการณ์ที่ฉุกละหุกแบบนี้ไม่มีไม้คานอะไรที่งัดได้เลย หยางชิ่งจะมีวิธีการอะไรได้ ทำได้เพียงรีบตอบกลับว่า “รีบติดต่อเซี่ยโห้วหลงเฉิง ให้เขาติดต่อราชินีสวรรค์อาหญิงของเขา”
เหมียวอี้พูดไม่ออก คาดว่าหยางชิ่งคงจะยังไม่รู้ เขาเคยถามเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่มีทางติดต่ออาหญิงของตัวเองได้โดยตรง เพราะไม่มีสิทธิ์นั้น
แต่คำพูดของหยางชิ่งกลับเตือนเขาแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงรักษาม้าตายประดุจม้าเป็น ต้องปกป้องปี้เยว่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางอธิบายต่อจินม่านและไห่ยวนเค่อได้
เรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถึงแม้ทางแดนอเวจีจะวางแผนควบคุมปี้เยว่ แต่กลับเป็นการยกตำแหน่งของปี้เยว่ให้สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ใครใช้ให้ปี้เยว่คลอดลูกสาวให้ไห่ยวนเค่อล่ะ
เขารีบถลันตัวจากไป เข้าไปในห้องเล็กของสวนดอกไม้ ลงมือจี้สกัดจุดไห่ผิงซินที่น้ำตานองหน้าและอยู่ในอารมณ์เลื่อนลอย จากนั้นวางนางลงบนพื้น กลัวว่าเด็กสาวคนนี้จะวู่วาม ปกป้องนางให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
จากนั้นก็รีบหยิบระฆังดาราติดต่อเกาก้วน ทูตตรวจการฝ่ายขวาตำหนักสวรรค์
โชคดีที่ครั้งนี้เกาก้วนรับการติดต่อต่อจากเขา ถามว่า : มีเรื่องอะไร?
เหมียวอี้รีบเล่าสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ ขอความช่วยเหลือ!
ผ่านไปพักใหญ่ ปี้เยว่ฮูหยินที่ล้มอยู่บนพื้นถึงได้อาการบรรเทาจากการตบฉาดนั้น นางพยามออกแรงส่ายหน้า มุมปากมีรอยเลือด ลุกขึ้นมาอย่างโซเซ พอเงยหน้าขึ้นมาก็สบตากับสายตาเย็นเยียบน่ากลัวของท่านโหวเทียนหยวน
ท่านโหวเทียนหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทว่าเป็นธรรมชาติ “นางตัวดี! ข้าไม่หน้าแต่เจ้ากลับไม่รับไว้ ไม่คิดเสียบ้างว่ามีทุกวันนี้ได้เพราะใคร พอได้ออกไปรอบหนึ่งก็ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่มั้ย? หรือคิดว่าแยกระบบตลาดสวรรค์ออกมาจากอำนาจท้องถิ่นแล้วข้าจะควบคุมเจ้าไม่ได้?”
ปี้เยว่ฮูหยินก้มหน้าเบี่ยงมองไปทางห้องเล็ก พอเห็นเหมียวอี้เดินออกมาจากห้องเล็ก ก็รู้ว่าเหมียวอี้จัดการได้แล้ว ตอนนี้ถึงได้สงบใจลงเสียที นางกลัวว่าลูกสาวจะวิ่งออกมาด้วยอารมณ์วู่วาม
“ตบได้ดี!” ปี้เยว่ฮูหยินเงยหน้ายิ้มอย่างเศร้าโศก แล้วยื่นมือออกมา “เอาหนังสือหย่ามา!”
ท่านโหวเทียนหยวนลงมืออีกครั้ง บีบคอที่ขาวหมดจดของนาง “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ สามีคือผู้นำ ภรรยาคือผู้ตาม เมื่อไรที่ข้าควบคุมเจ้าล้วนเป็นหลักการของฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เรื่องนี้แม้แต่ฝ่าบาทกับราชินีสวรรค์ก็ไม่ปฏิเสธ ต่อให้ราชินีสวรรค์จะควบคุมตลาดสวรรค์ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธจุดนี้ได้ เจ้าเชื่อมั้ยว่าต่อให้ข้าฆ่าเจ้า ราชินีสวรรค์ก็ไม่ว่าอะไรอยู่ดี!”
ปี้เยว่ฮูหยินส่งเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ โดนบีบคอจนหน้าแดงก่ำ รู้สึกได้ว่าคอกำลังจะขาดแล้ว พยายามใช้สองมือแกะมือเทียนหยวนออก แต่ก็แกะออกไม่ได้เลย
“ท่านโหว ฮูหยินจะทนไม่ไหวแล้วค่ะ!” จู่ๆ หลันเซียงก็วิ่งเข้ามาขอร้อง
เพี้ย! ท่านโหวเทียนหยวนไม่แม้แต่จะมอง ฟาดฝ่ามือไปข้างหลังหนึ่งฉาด หลันเซียงล้มลงบนพื้นเช่นกัน
ทันใดนั้น เทียนหยวนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลิกฝ่ามือหยิบระฆังดาราออกมา แล้วถามว่า : ทูตขวาเกา มีอะไรจะกำชับหรือ?
เป็นเกาก้วนที่ส่งข้อความมา เกาก้วนถามว่า : เทียนหยวน เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั้ย?
เทียนหยวนอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถามว่า : หมายความว่ายังไง?
จนใจที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่ว่าเขาจะถามอย่างไร ฝั่งเกาก้วนก็ไม่ตอบอะไรอีก ยิ่งเป็นแบบนี้ เทียนหยวนก็ยิ่งรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก ในหัวปรากฏภาพเงาร่างอันเย็นชาเหี้ยมโหดของเกาก้วน บวกกับประโยคของเกาก้วนเมื่อครู่นี้ยังดังก้องอยู่ในหู…
ขณะมองดูปี้เยว่ที่กำลังโดนบีบคอ เขาก็คลายมือออกโดยจิตใต้สำนึก
…………………………