พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1318 ทัศนคติของสวีถังหราน
“นางหนู ในนี้คือประวัติส่วนตัวของเจ้า เจ้าอ่านให้เข้าใจชัดเจน ต่อไปถ้ามีใครถาม เจ้าก็พูดแบบนี้ เตรียมไว้ให้เจ้าหมดแล้ว”
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ในสวนดอกไม้ของตำหนักหลัง เหมียวอี้ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ไห่ผิงซิน ให้นางอ่านทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาข้างใน
หลังจากไห่ผิงซินหยิบมาอ่าน ก็ถามด้วยสีหน้าระแวงว่า “ทำไมต้องจำอันนี้?”
“เพราะกำลังจะช่วยเตรียมสถานะขุนนางตำหนักสวรรค์ให้เจ้าน่ะสิ” เหมียวอี้ตอบ
“ข้าเกลียดคนของตำหนักสวรรค์ ข้าไม่ต้องการ” ไห่ผิงซินกล่าว
เหมียวอี้จึงบอกว่า “นางหนู ข้าไม่ได้ให้เจ้าเป็นจริงๆ สักหน่อย แกล้งเป็นไม่ได้รึไง? นี่คือเจตนาของแม่เจ้า ถ้าเจ้าไม่อยากให้นางเกิดปัญหา ก็อยู่ที่นี่อย่างว่านอนสอนง่ายและอย่าเพ่นพ่านไปทั่ว แล้วก็…” เขาชี้ที่สวนดอกไม้ “ต้นไม้ใบหญ้าของที่นี่ล้วนเป็นสิ่งที่แม่เจ้าปลูกไว้ในปีนั้น ต่อไปเจ้าก็รับผิดชอบดูแลดอกไม้ในสวนนี่แล้วกัน”
“ไม่เอา!” ไห่ผิงซินปฏิเสธโดยจิตใต้สำนึก
“งั้นเจ้าจะทำอะไร? เจ้าต้องหาสถานะมาอำพรางตัวตนไม่ใช่เหรอ? ที่นี่ไม่ใช่แดนอเวจีนะ ถ้าไม่มีสถานะของตำหนักสวรรค์ปกป้อง ชีวิตก็จะไม่ปลอดภัย เจ้าบอกมาซิ เจ้าทำอะไรได้บ้าง?” เหมียวอี้ถาม
ไห่ผิงซินงุนงง ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำอะไรเป็นบ้าง
เหมียวอี้จึงบอกว่า “งั้นเอางี้แล้วกัน! ในเมื่อเจ้าไม่อยากทำสวน ข้างกายข้าขาดคนรินน้ำชาพอดี ไปชงชาให้ข้าก่อนแล้วกัน”
ผ่านไปไม่นาน น้ำชาก็มาแล้ว พอเหมียวอี้เปิดฝาของถ้วยน้ำชาออก ก็พูดอะไรไม่ออกทันที ใบชาเยอะเกินไปแล้ว หลังจากชงชาเสร็จก็ไม่เห็นแม้แต่น้ำ
ติงๆๆ! เหมียวอี้ใช้ฝาถ้วยน้ำชาเคาะถ้วยน้ำชา ให้ไห่ผิงซินมาดูเอาเอง
ในที่สุดไห่ผิงซินก็พบว่าตัวเองไร้ความสามารถขนาดไหน อับอายจนหน้าแดงแล้ว
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าว่านะนางหนู น้ำชาเขาไม่ได้ชงกันแบบนี้หรอก”
เขาหันไปมองเด็กสาวที่ทำสีหน้าอับอายเก้อเขิน อดไม่ได้ที่จะแอบส่ายหน้า ไม่ต้องบอกเลย ตอนอยู่ที่แดนอเวจีนางต้องไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อนแน่นอน จึงหันกลับมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเรียก “เจาชิง เจ้ามานี่สักประเดี๋ยว”
“นายท่าน!” หยางเจาชิงมาถึงอย่างเร็วไว
เหมียวอี้ชี้สิ่งที่อยู่ในถ้วยน้ำชา “งานบางอย่างนางไม่เคยทำมาก่อน พานางไปสอนหน่อยว่าต้องทำยังไง จะให้แขกที่มากินหญ้าแทนไม่ได้หรอกใช่มั้ย?”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงหันตัวมาบอกไห่ผิงซิน “ตามข้ามาเถอะ”
ไห่ผิงซินเพิ่งจะหันตัวไป แล้วหันกลับมาอีก ก่อนจะถามเสียงต่ำว่า “ต่อไปอย่าเรียกข้าว่านางหนูได้มั้ย ข้าอายุไม่น้อยแล้ว ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วรู้สึกขำ คิดในใจว่าข้าเคยเห็นเจ้าตั้งแต่ตอนเจ้าอยู่ในท้องแม่เจ้าแล้ว เรียกว่านางหนูจะเป็นไรไป?
เหมียวอี้โบกมือ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว แต่ในภายหลังก็ยังจะเรียกเหมือนเดิม
หยางเจาชิงนำไห่ผิงซินเดินออกมาจากสวนดอกไม้ด้านหลัง บังเอิญเจอหยางชิ่งพอดี ทั้งสองฝ่ายทักทายกัน ก่อนที่หยางชิ่งจะบุ้ยปากไปทางไห่ผิงซิน พร้อมถามหยางเจาชิงว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ว่ากันตามจริง จู่ๆ ก็มีไห่ผิงซินที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อนโผล่มาที่ตำหนักคุ้มเมือง ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจ
“ขนาดชายังชงไม่เป็น นายท่านให้ข้าสอนสักหน่อยขอรับ” หยางเจาชิงยิ้มเจื่อน
หยางชิ่งตอบ “อ้อ” อย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง หลังจากมองคล้อยหลังทั้งสองจากไป แววตาก็วูบไหวเล็กน้อย ขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเองว่า “ขนาดน้ำชายังชงไม่เป็น…”
ผ่านไปเร็วมาก หลังจากเป่าเหลียนไปจากที่นี่แล้ว ข่าวที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเปลี่ยนลูกน้องข้างกายใหม่ก็แพร่ออกไป
เรื่องนี้ยังไม่เท่าไร เรื่องที่ทำให้เกิดการพูดถึงที่ตลาดสวรรค์อย่างแท้จริง ก็คือเรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวตบหน้าเหยียนซู่และผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกหกคน ทั้งยังออกอุบายรีดไถยาแก่นเซียนคนละยี่สิบล้านเม็ดด้วย ข่าวนี้เหมียวอี้จงใจให้คนปล่อยออกไป
ตอนแรกทุกคนยังไม่รู้ว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอม ทว่าความเงียบของผู้เสียหายก็เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริง วิธีการอันองอาจห้าวหาญที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวใช้ล้างความอัปยศได้ทำให้คนที่ตลาดสวรรค์พูดคุยกันอย่างสนุกสนานไม่หยุด เรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวได้รับความอัปยศในปีนั้นย่อมกลายเป็นการพูดถึงอีกแบบหนึ่ง ยังจะมีใครหัวเราะเยาะอีกล่ะ?
“จุจุ! ฮูหยิน ผู้บัญชาการใหญ่ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ข้ารู้อยู่แล้วว่าผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้โดนรังแกได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าไม่ล้างแค้น แต่โอกาสยังมาไม่ถึงเท่านั้นเอง ดูเอาสิ ข้าพูดถูกมั้ยล่ะ เขาเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกแล้ว อาศัยภูมิหลังของคนพวกนั้น โดนตบหน้าทีละคนติดต่อกัน แต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะผายลม น่าสนุก น่าสนุกเกินไปแล้ว”
ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ในตึกศาลา สวีถังหรานรับถ้วยน้ำชาจากเสวี่ยหลิงหลงแล้วส่ายหน้าเดาะลิ้น จิบน้ำชาหอมชั้นดีราวกับดื่มสุราเลิศรส
สำหรับคนที่ติดตามรับใช้เหมียวอี้มา การล้างความอัปยศของเหมียวอี้ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การล้างความอัปยศเท่านั้น มีเรื่องของคนเบื้องบนมากมายที่คนเบื้องล่างไม่ได้สัมผัส ไม่รู้ว่าเบื้องบนมีสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ มักจะเห็นแค่ผลลัพธ์เสมอ ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ความเข้มแข็งเกรียงไกรของเหมียวอี้ได้นำความมั่นใจมาสู่ทุกคน และเพิ่มบารมีชื่อเสียงของเหมียวอี้ในสายตาของทุกคนด้วย
เสวี่ยหลิงหลงสวมชุดสีขาวดุจหิมะและกลายเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว นางไม่ได้ถูกควบคุมมากเหมือนตอนที่เป็นนางระบำ ใบหน้าที่งดงามดุจภาพวาดดูสุขุมเยือกเย็นขึ้นหลายส่วน นางยิ้มบางๆ และนั่งลงข้างกาย ก่อนจะถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เจ็ดคนนั้นล้วนมีผู้มีอำนาจหนุนหลัง ท่านไม่กลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับผู้บัญชาการใหญ่เหรอ? นายท่านเหมือนจะเทิดทูนผู้บัญชาการใหญ่มากเลยนะ?”
“ไม่ใช่ว่าเทิดทูนหรือไม่เทิดทูน” สวีถังหรานวางถ้วยน้ำชาลงแล้วโบกมือ กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “หอกลิ่นสวรรค์ก็อยู่ใกล้ร้านขายของชำซื้อตรง ร้านขายของชำผงาดขึ้นมาได้ยังไง ก็คงไม่ต้องให้ข้าบอกอะไรเยอะ ฮูหยินน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ร้านค้าร้านอื่นโดนร้านของผู้มีอำนาจกดขี่จนเงยหน้าไม่ขึ้น แต่ร้านขายของชำซื่อตรงกลับ่าขึ้นมาจากช่องแคบๆ แล้วผงาดอย่างรวดเร็ว ร้านค้าต่างๆ ต้านไม่ไหว จากจุดนี้ก็มองออกแล้วว่าผู้บัญชาการใหญ่เป็นคนยังไง พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ชัด ตอนที่ผู้บัญชาการใหญ่ยังเป็นทหารเลว ข้ากับเขาก็อยู่ด้วยกันแล้ว ตอนที่อยู่ยอดเขาโอนเอน เพื่อที่จะช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ทุกคนร่วมมือกันข่มเขา เจ้าไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น สวี่เต๋อลอบใช้ทวนแทงข้างหลังผู้บัญชาการใหญ่ ผลปรากฎว่ายังโดนผู้บัญชาการใหญ่หัวอาวุธตอบโต้ทีเดียวจนพลิกสถานการณ์ได้ สุดท้ายคนอื่นๆ ก็ตายหมด โชคดีที่ข้าไหวตัวเร็วจึงพ้นเคราะห์ แต่ข้าก็เกือบตกหลุมพรางเขาแล้ว ทำเอาหมีควายเซี่ยโห้วกัดข้าไม่ปล่อย…”
เสวี่ยหลิงหลงตั้งใจฟัง ขณะที่ฟังเรื่องราวที่ยอดเขาโอนเอนในปีนั้น นางก็รู้สึกหวาดเสียวกับสถานการณ์ของเหมียวอี้ นึกไม่ถึงว่าตำแหน่งผู้บัญชาการตำแหน่งเดียวจะทำให้เพื่อนร่วมงานลอบกัดกันได้ขนาดนี้ จากนั้นก็รู้สึกพูดไม่ออกกับการไหวตัวอันรวดเร็วของเหมียวอี้ที่ยืมมือสามีตัวเองให้ซวยแทน
“การทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิต ข้าก็ไปกับเขาเหมือนกัน เจิ้งหรูหลงจะลอบสังหารผู้บัญชาการใหญ่ แต่กลับโดนผู้บัญชาการใหญ่ฆ่าแทน ป่าลืมทุกข์ที่ทุกคนไม่กล้าเข้าไป แต่ผู้บัญชาการใหญ่ก็ลุยเดี่ยวบุกเข้าไป ให้ตายเถอะ แล้วตอนหลังก็มีหนิวโหย่วไฉกับหนิวโหย่วโส้วโผล่มาช่วยอีก เห็นข้าเป็นคนโง่ไปได้ ส่วนตอนหลัง แต่ละฝ่ายหาพรรคพวกไปทั่ว หยางไท่กับมู่หรงซิงหัวพากันไปเป็นพันธมิตรกับกลุ่มอื่น โชคดีที่ตอนนั้นข้าปราดเปรื่อง ข้าพยายามเกลี้ยกล่อมสุดชีวิตเพื่อให้ผู้บัญชาการใหญ่ไปเป็นพันธมิตรกับกลุ่มอื่น โดยอ้างว่าพวกเราไม่มีภูมิหลังและไม่มีทางได้คะแนนดีๆ ให้กลับไปรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ สุดท้ายน่ะเหรอ สิ่งที่ข้าเลือกก็ไม่ได้ผิดไง หยางไท่ตายแล้ว ส่วนมู่หรงซิงหัวก็กลับมา แต่นางกลับเปลี่ยนนิสัยไปเยอะมาก ใครจะไปรู้ว่านางใช้วิธีการอะไรที่น่าอับอายเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ รึเปล่า อาศัยที่นางฆ่าคนพวกนั้นได้น่ะเหรอ? ข้าแค่ขี้เกียจจะไปเปิดโปงให้ผิดใจกับนางก็เท่านั้นเอง ตอนสู้ในด่านสุดท้ายของการทดสอบ ผู้บัญชาการใหญ่เรียกได้ว่าห้าวหาญ เรียกได้ว่าสู้ศึกเดียวแล้วโด่งดัง ข้ากับมู่หรงซิงหัวก็แค่ชุบมือเปิบเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาก็เท่านั้นเอง…”
ขณะที่ฟังเรื่องในอดีตมากมาย เสวี่ยหลิงหลงก็อกสั่นขวัญแขวนอีกครั้ง พบว่าการที่ใครบางคนปีนป่ายขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ได้นั้นไม่ใช่ง่ายๆ เลย เรียกได้ว่าหลอกต้มกันไปต้มกันมาอุตลุต ไม่เป็นเจ้าที่ตายก็เป็นข้าที่รอด ไม่ได้รอดตายมาได้เพราะโชคช่วยแน่นอน
“การทดสอบที่แดนอเวจีตอนหลังเจ้าก็ได้ยินมาแล้ว ขนาดกลองสะท้านฟ้าของตำหนักสวรรค์ก็ยังถูกเขาทำลาย ถือทวนบุกเดี่ยวฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน แต่สุดท้ายยังได้อันดับเก้า ถึงแม้จะโดนถอดออกแล้ว แต่ก็ยังใช้คำว่าองอาจห้าวหาญบรรยายได้อยู่ดี ล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์สองครั้งเจ้าก็เห็นแล้ว เป็นสองครั้งที่ศีรษะกลิ้งเต็มพื้น เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ เรื่องบางอย่างที่เปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ ข้าก็ยิ่งเข้าร่วมอยู่ในนั้นด้วยตัวเอง ตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้มีอำนาจในราชสำนักแต่ตอนนี้กลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด เก่งไปเสียหมด ตอนมีนักพรตบงกชรุ้งมาลอบสังหารที่ตำหนักคุ้มเมือง ข้าตกใจจนวิญญาณแทบปลิวออกจากร่าง แต่ผลปรากฏว่าผู้บัญชาการใหญ่เป็นยังไงล่ะ เรียกได้ว่าสุขุมเยือกเย็น ถือชีวิตมายิงธนูเล่นอยู่อย่างนั้น ยิงทีเดียวก็กำจัดนักพรตบงกชรุ้งทิ้งได้ ส่วนผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เจ็ดคนที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว แต่ละคนล้วนมีประวัติภูมิหลัง แต่ผู้บัญชาการใหญ่กลับออกอุบายรีดไถเงินพวกเขา ไถยาแก่นเซียนมาคนละยี่สิบล้านเม็ดเชียวนะ ทั้งยังตบหน้าเรียงตัว เจ้าคิดว่าถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่มีความมั่นใจ แล้วจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้เหรอ? สมกับเป็นคนเก่งที่แซ่หนิว หลังจากเขามาที่ตลาดสวรรค์ แต่ละเรื่องที่เขาทำก็ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปกล้าทำ ถ้าคนทั่วไปทำได้อย่างเขาสักเรื่องเดียวก็เก่งมากแล้ว เจ้าดูสิว่าตลอดทางที่ผ่านมาเขาทำไปมากแค่ไหน? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเบื้องบนตาบอดกันหมด จะไม่มีใครเห็นเชียวเหรอ? ถ้าเจ้าไม่เชื่อ พวกเราก็คอยดูไปเถอะ ตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่มีขีดจำกัดด้านวรยุทธ์ ถ้าวรยุทธ์เพิ่มขึ้นมาเมื่อไร เขาก็ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบห่วงหน้าพะวงหลังนะ คนเด็ดเดี่ยวทรงพลังแบบนั้นไม่ออมมือให้ใครเด็ดขาด ตำแหน่งแม่ทัพภาคหนีเขาไม่พ้นหรอก เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะขาดแคลนผลประโยชน์เชียวเหรอ? ข้ารู้ว่ามีคนมากมายหัวเราะเยาะที่ข้าเป็นคนขี้ประจบ แต่รอวันที่ข้าได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ก่อนเถอะ ดูว่าใครจะหัวเราะเยาะใครกันแน่ ดูว่าใครจะได้หัวเราะจนถึงตอนสุดท้าย”
“ได้ยินว่าตอนนี้คนที่อยากจะนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ล้วนต้องผ่านการทดสอบจากแดนอเวจี” เสวี่ยหลิงหลงสงสัย
สวีถังหรานเกาศีรษะ “ข้าคิดวนเวียนเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการใหญ่มีวิธีการอะไรช่วยข้ารึเปล่า ทางด้านหวงฝู่จวินโหรวเจ้าก็ช่วยสืบถามหน่อยแล้วกันว่ามีวิธีการอะไรมั้ย…เออใช่ เจ้าเองก็เลิกเอาแต่อยู่ในบ้านได้แล้ว วันหลังตามข้าเข้าตำหนัก ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่มีเด็กสาวมาใหม่คนหนึ่ง พวกเจ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไปมาหาสู่กันสะดวก ข้าไม่สะดวกเพราะเป็นผู้ชาย อย่าทำให้วุ่นวายเหมือนเป่าเหลียนนั่นนะ เอาแต่ฟ้องเรื่องข้าให้ผู้บัญชาการใหญ่รู้ แล้วก็เถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆานั่นด้วย ถ้าไม่มีงานอะไรก็ไปซื้อเครื่องประดับสักหน่อย คบค้ากันมากๆ หน่อย”
“ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ไปมาหาสู่กับเถ้าแก่เนี้ยนั่นแล้วเหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงถาม
สวีถังหรานตอบว่า “เนื้อที่ไม่ได้เข้าปาก แม้แต่รสชาติก็ไม่เคยลิ้มลอง บทจะยอมแพ้ก็ยอมแพ้ได้เลยงั้นเหรอ? อย่างน้อยก็ต้องลิ้มลองก่อนสิ? ไม่ว่าข้าจะคิดยังไงก็รู้สึกว่าไม่ถูก เงินแบบนี้จะขาดไม่ได้ เครื่องประดับที่ควรซื้อก็ยังต้องซื้อ กันไว้ดีกว่าแก้อยู่แล้ว เผื่อเขาคบกันแล้วล่ะ?” เขาทำมาหากินมาได้จนถึงทุกวันนี้ ย่อมมีวิธีการมองคนและมองเรื่องราวอยู่แล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว” เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้า
ว่ากันว่า ‘คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ’ อยู่กับสวีถังหรานมาหลายปีขนาดนี้ เสวี่ยหลิงหลงเริ่มติดนิสัยแย่ๆ แล้วนิดหน่อย ผู้หญิงคนนี้แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัขแล้วอย่างแท้จริง
ข่าวต่างๆ แพร่ไปที่ตลาดสวรรค์ เหมียวอี้ก็ถูกอวิ๋นจือชิวเรียกตัวไปที่ร้านโฉมเมฆาแล้วเช่นกัน
พวกเขาเจอกันในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เมื่ออวิ๋นจือชิวนำน้ำชามาวาง ก็เอ่ยปากถามเลยว่า “หนิวเอ๋อร์ เรื่องตบหน้ารีดไถเงินเป็นเรื่องจริงรึเปล่า? เจ้าล่วงเกินเขาเต็มที่แบบนี้ ไม่กลัวเขาจะมาหาเรื่องเจ้าเหรอ?”
เหมียวอี้นั่งพูดเหยียดหยามว่า “ถ้าข้าไม่ล่วงเกินพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่มาหาเรื่องข้างั้นเหรอ?”
“ในใจเจ้ามีแผนอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร” อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างหลังเขา ใช้สองมือที่เรียวสวยบีบนวดไหล่ให้ พลางถามด้วยรอยยิ้มที่ซ่อนคมมีด “หนิวเอ๋อร์ ได้ยินว่าข้างกายเจ้าเปลี่ยนสาวสวยมาใหม่แล้วคนหนึ่ง ปรนนิบัติให้เจ้าสบายเลยใช่มั้ยล่ะ?”
“อย่าคิดเหลวไหล นั่นคือลูกสาวของปี้เยว่…” เหมียวอี้เล่าประวัติภูมิหลังของไห่ผิงซินให้ฟังคร่าวๆ
อวิ๋นจือชิวฟังแล้สสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย “พวกเจ้าทำแบบนี้ไร้คุณธรรมเกินไปหน่อยรึเปล่า?”
เหมียวอี้พูดปัดอย่างกินปูนร้อนท้อง “ไม่ใช่ความคิดของข้าเสียหน่อย มีตาแก่กลุ่มนั้นแล้ว ไม่ถึงคราวให้ข้าออกความคิดหรอก เรื่องนี้ห้ามให้พวกท่านปู่ของเจ้ารู้นะ” จากนั้นก็เอ่ยเรื่องที่ท่านโหวเทียนหยวนทรมานปี้เยว่ อวิ๋นจือชิวฟังแล้วทอดถอนใจไม่หยุด
ในขณะนี้เอง จู่ๆ หยางเจาชิงก็ส่งข่าวมา หลังจากเหมียวอี้ฟังแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาก พลันลุกพรวดขึ้นมา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้หันตัวมา ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ทางเหยียนซิวไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว”
…………………………