พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1322 ไล่ไปหมดแล้ว
บทที่ 1322 ไล่ไปหมดแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
พูดอ้อมไปรอบหนึ่งเพื่อหยอกล้อ ที่แท้ประเด็นสำคัญก็อยู่ตรงนี้ หยางชิ่งยิ้มเจื่อนพลางกุมหมัดคารวะ “ขอบคุณที่นายท่านใส่ใจ”
ข้างกายเขาจำเป็นต้องมีคนดูแลจริงๆ พอมาอยู่ฝั่งนี้ก็ถูกยึดอำนาจไปหมดแล้ว แม้แต่คนให้เรียกใช้ก็ไม่มีเลยสักคน เขาต้องจัดการงานเบ็ดเตล็ดทุกอย่างด้วยตัวเอง สำหรับคนที่คุ้นชินการมีคนคอยทำงานเบ็ดเตล็ดให้ การใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ไม่สะดวกเลยจริงๆ
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพูดหยอกต่ออีกว่า “แน่นอน ถ้าเจ้าชอบไปเที่ยวหอนางโลม ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน ท่านนั้นที่สวีถังหรานแต่งงานด้วย เจ้าเองก็เคยเห็นแล้ว ถ้าเจ้าถูกใจก็บอกมาได้เลย ข้ารับรองว่าทางนี้จะไม่มีใครเปิดเผยให้ฉินซีรู้แน่”
หยางชิ่งหน้าบึ้งอีกครั้ง “นายท่าน แบบนี้เกินไปแล้ว”
ปากพูดอย่างเกรงใจ แต่ในใจกลับด่าแล้ว ข้าก็เคยมีคนที่ชอบอยู่เหมือนกัน แต่โดนเจ้าแย่งไปแล้วไง เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก
เหมียวอี้หัวเราะลั่นพร้อมเดินจากไป เขาไม่ค่อยสบอารมณ์กับคนที่เอาแต่วางกับดักใส่คนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำเหมือนมีความสามารถมากกว่าตนอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่กลั่นแกล้งเขาสักหน่อยจะรู้สึกไม่สบายใจ…
หลังจากนั้นหลายวัน ทางตำหนักคุ้มเมืองก็ได้รับข่าวอย่างต่อเนื่องกัน และมีพ่อค้าเริ่มไปแสดงท่าทีโต้ตอบที่จวนผู้บัญชาการสี่เขตเมือง แสดงความกังวลใจที่จำนวนลูกค้าลดลง แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปบอกที่ตำหนักคุ้มเมือง เพราะเหมียวอี้ไม่สนใจสิ่งนี้
หลังจากนั้นไม่กี่วัน กำลังพลทะเลดาวนักษัตรที่วางกำลังไว้ที่ตลาดสวรรค์แห่งอื่นๆ ก็แสดงบทบาทแล้ว
เมื่อหยางชิ่งได้รับข่าวก็มาที่ตำหนักหลังทันที พอเจอหน้าเหมียวอี้ก็เตือนว่า “นายท่าน คนอื่นๆ ลงมือแล้ว ทางฝั่งเราก็เริ่มได้แล้วเหมือนกัน”
ในตึกศาลา เหมียวอี้กำลังดูว่าหยางเจาชิงสอนไห่ผิงซินทำงานอย่างไร พอได้ยินแบบนั้นก็บอกว่า “ไปบอกให้ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองมาหาข้า”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงวางงานในมือทันที รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ
หางตาหยางชิ่งชำเลืองมองเหยียนซิวที่ยืนเก็บมือเงียบๆ อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ เขาไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เหยียนซิวไปที่ไหนมา แค่สังเกตเห็นว่าหลังจากเหยียนซิวกลับมาแล้วมีความเปลี่ยนแปลงไม่น้อย เปลี่ยนเป็นคนเงียบงันพูดน้อย เหมียวอี้เองก็ไม่ค่อยสั่งให้เหยียนซิวไปทำอะไรเหมือนกัน บ่อยครั้งเวลาที่เหมียวอี้ปรากฏตัว เหยียนซิวก็จะปรากฏตัวข้างหลังเหมียวอี้เงียบๆ ราวกับว่าเป็นเงาของเหมียวอี้ บางครั้งก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโผล่มาจากไหน ราวกับเป็นเงาผี พอหันไปอวบเดียวจู่ๆ ก็มาโผล่อยู่ข้างหลังแล้ว จ้องเจ้าพลางยิ้มให้อย่างเย็นเยียบพิศวง ทำให้เจ้าตกใจได้เลย
สรุปก็คือหยางชิ่งรู้สึกว่าทั้งตัวของเหยียนซิวเปลี่ยนไป แววตาที่ชำเลืองมองคน ทั้งยังมีสองมือในแขนเสื้อที่ไม่ค่อยเปิดเผยออกมา แต่เขาเคยเห็นมาก่อนเล็บบนนิ้วทั้งสิบของเขาสีดำขลับ เปล่งแสงสลัวๆ แหลมคมราวกับสัตว์ป่าดุร้าย
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือรอยยิ้มของเหยียนซิว บางครั้งที่เขายิ้มบางๆ ให้เจ้า ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนคนตาย สามารถยิ้มจนทำให้เจ้าขนลุกได้
ถึงอย่างไรก็รู้สึกว่าเหยียนซิวแปลกประหลาดไปทุกส่วน ราวกับเป็นคนละคนกับเหยียนซิวคนก่อนหน้า ทำให้คนรู้สึกถึงความมืดครึ้มน่ากลัว
เขาคิดไม่ตกว่าการที่เหยียนซิวหายไปหลายปีนั้นคือเรื่องอะไรกันแน่ เกิดอะไรขึ้นบนร่างกายถึงทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าเหมียวอี้มีความลับมากมายที่ไม่เปิดเผยให้เขารู้
ไห่ผิงซินเองก็ค่อนข้างกลัวตาแก่ที่ลึกลับคนนี้เช่นกัน เขามักปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ที่ตำหนักคุ้มเมืองบ่อยๆ ติดตามอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด เหมียวอี้ปรากฏตัวเมื่อไรเขาก็โผล่มาเมื่อนั้น ถ้าไม่เห็นเหมียวอี้แล้ว ก็จะไม่เห็นเขาเช่นกัน อีกทั้งเวลาเดินยังไม่มีเสียงฝีเท้าสักนิด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาโผล่อยู่ข้างหลังเจ้าตั้งแต่เมื่อไร
ตอนที่เจอเขาครั้งแรก ก็เป็นตอนที่จู่ๆ มีเสียงแหบพร่าดังมาจากข้างหลัง “นายท่านให้เจ้าไปหา”
ไห่ผิงซินพลันหันกลับไปมอง เหยียนซิวยิ้มให้เบาๆ ทำให้นางตกใจจนเอาสองมือทาบอกและถอยหลังไปหลายก้าว ทำให้นางตกใจจนหน้าซีด ตกใจจนแทบจะร้องไห้ ตั้งแต่นั้นมาพอเจอเหยียนซิวอีก นางก็มีเงามืดในใจแล้ว แต่เหยียนซิวกลับยังทำดีกับนาง
ตอนนี้เหยียนซิวไม่ค่อยชอบพูดเท่าไร วิธีการแสดงความเป็นมิตรก็คือยิ้มให้
กลับเป็นหยางเจาชิงที่ไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งนี้ เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าคนเป็นๆ อย่างเหยียนซิวไปฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เหยียนซิวกลายเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง เขามีแต่ความเห็นอกเห็นใจ ไม่ได้หวาดกลัว ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่คอยวิ่งเต้นทำงานติดต่อข้างนอกให้เหมียวอี้แล้ว เหยียนซิวแทบจะไม่ได้ยุ่งกับงานอะไรอีก นอกเสียจากข้างกายจะไม่มีคนจริงๆ เหมียวอี้ถึงจะให้เหยียนซิวโผล่หน้าออกไปสักครั้ง
ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองมาถึงอย่างรวดเร็ว หลังจากได้รับคำสั่งแล้ว ไม่นานก็ออกไปอีก
“โง่จะตายอยู่แล้ว บิดเอวขึ้นมา ยังอยากจะโด่งดังแล้วได้แต่งงานเป็นฮูหยินของคนดีๆ มั้ย ขนาดเอวยังบิดไม่ดีเลย แล้วจะทำอาชีพนี้ได้ยังไง? งอนก้นขึ้นมา ยืดอกขึ้นมาสิ ยืดอกโก่งเอว โก่งเอสให้เหมือนธนู”
หอกลิ่นสวรรค์ สาวสวยสิบกว่าคนกำลังฝึกซ้อมอยู่ในโถงฝึกซ้อม ท่านแม่สวีกำลังถือไม้ขนไก่จิ้มฝั่งนั้นทีฝั่งนี้ทีขณะเดินอยู่ระหว่างกลุ่มเต้นระบำ ตีก้นคนนี้ ประคองหน้าอกคนนั้น คอยตะคอกตำหนิไม่หยุด
ก็ช่วยไม่ได้ ดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์โดนผู้บัญชาการสวีสอยไปแล้ว นางจึงทำได้เพียงฝึกอบรมสาวสวยกลุ่มใหม่ เตรียมจะผลักดันสักสองสามคนที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ปั้นเสวี่ยหลิงหลงคนที่สองออกมา
เสียงตีดังสนั่น ท่านแม่สวีใช้ไม้ขนไก่ตีบนก้นผู้หญิงคนหนึ่งอย่างแรง แล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “จะโก่งขึ้นมาขนาดนี้ทำไม? โก่งขึ้นมาขายเหรอ? เจ้าเป็นคนขายศิลปะ ไม่ได้ขายตัว คนทำอาชีพนี้ ถ้าร่างกายโดนผู้ชายทำลายความบริสุทธิ์ก็จะหมดราคาแล้ว ต้องล่อให้ผู้ชายอยากได้สิถึงจะมีราคา ถ้าอยากขายได้ราคาดีๆ ก็ต้องมีต้นทุนนั้น!”
นางหันซ้ายหันขวาและหมุนตัวมองรอบหนึ่ง ก่อนจะบ่นอีกว่า “อย่าโทษว่าท่านแม่โหดนะ ในเมื่อเข้ามาอยู่ในวงการนี้แล้วก็ต้องลำบาก ไม่ลำบากไม่ได้หรอก ถ้าไม่ลำบากก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าพวกเจ้าอยากสู้เพื่อหนทางที่ดีในอนาคต ตอนนี้ก็ต้องลำบากแบบนี้แหละ ถ้าทนความลำบากนี้ไม่ไหวก็กลายเป็นตัวประกอบไปทั้งชีวิตเถอะ แสงอันสดใสของอาชีพนี้ไม่มีทางส่องไปถึงตัวประกอบ เมื่อถึงตอนนั้นก็อย่าโทษว่าท่านแม่ส่งเจ้าไปติดสินน้ำใจให้ใครก็แล้วกัน ถ้าตอนนี้ทนลำบากได้ ถ้าในภายหลังประสบความสำเร็จเจ้าก็จะขอบคุณข้าเอง ถ้าไม่ประสบความสำเร็จแล้วมาเกลียดข้าก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่มีต้นทุนก็ไม่มีแต่คุณสมบัติจะมาล้างแค้นข้าด้วยซ้ำ!”
สาเหตุที่เข้มงวดกับเด็กใหม่ขนาดนี้ ด้านหนึ่งก็เป็นอย่างที่นางบอก อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะในตอนนี้หอกลิ่นสวรรค์จะประคองกิจการไม่ไหวแล้ว เมื่อไม่มีเสวี่ยหลิงหลงคอยประคองหอกลิ่นสวรรค์ กำไรของหอก็ตกฮวบ เดิมทีคนที่มาหอกลิ่นสวรรค์ก็พุ่งเป้ามาที่เสวี่ยหลิงหลงอยู่แล้ว ตอนนี้ต่อให้เจ้าลดราคา แต่ลูกค้าก็อาจจะไม่เชิญคณะระบำของหอกลิ่นสวรรค์ไปแสดงก็ได้
ตอนนี้คนที่โด่งดังที่สุดในวงการก็คือเฟยหงแห่งหอมงกุฎงาม ไม่รู้เหมือนกันว่าหอมงกุฎงามเอาความสามารถนี้มาจากไหน ไม่น่าเชื่อว่าจะหามารดาบุญธรรมที่มีอำนาจหนุนหลังให้เฟยหงได้ ทำให้ตลอดเส้นทางที่เฟยหงเดินมาจนทุกวันนี้ไม่มีใครกล้าทำลายความบริสุทธิ์ของนาง ผลปรากฏว่าทำให้สถานบันเทิงแห่งอื่นเงยหน้าอ้าปากไม่ได้แล้ว
ท่านแม่สวีก็ไม่ยอมเหมือนกัน อยากจะหาเสวี่ยหลิงหลงคนที่สองมาขึ้นสังเวียนแข่งกับเฟยหง ขอเพียงฝึกสอนนักแสดงที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ เบื้องหลังมีเสวี่ยหลิงหลงคอยหนุนก็ยังสามารถกอบกู้สถานการณ์ได้เหมือนเดิม ต้องทราบไว้ว่าเสวี่ยหลิงหลงกับหวงฝู่จวินโหรวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน กอปรกับเบื้องหลังมีอำนาจของทางการที่คอยควบคุมตลาดสวรรค์บริเวณนี้
และสิ่งที่เสวี่ยหลิงหลงสามารถช่วยท่านแม่สวีได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว บางสิ่งบางอย่างสวีถังหรานก็ยังกังวลอยู่บ้าง เขาจ่ายเงินเพื่อช่วยไถ่ตัวเสวี่ยหลิงหลงมาแล้ว และแต่งงานรับนางกลับมาแล้วเช่นกัน นางกลายเป็นฮูหยินภรรยาเอกของเขาแล้ว เขาไม่อยากเห็นนางไปมาหาสู่กับหอกลิ่นสวรรค์อีก นางเองก็เข้าใจเช่นกัน แต่ถ้าไม่มีท่านแม่สวีก็ไม่มีนางในวันนี้ นางมอบเงินที่ตัวเองเก็บสะสมมาหลายปีไปให้ท่านแม่สวีหมดแล้ว ที่เหลือก็ทำได้แค่แอบดูแลอยู่เงียบๆ ออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว ถ้าอยากจะเป็นผู้หญิงที่เดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ก็คงไม่ดีที่จะไปมาหาสู่กับสถานบันเทิงอย่างหอกลิ่นสวรรค์บ่อยๆ
“รีบไป! รีบไป…”
จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงอื้ออึงอยู่พักหนึ่ง ท่านแม่สวีที่กำลังชี้แนะซ้ายขวาได้ยินแล้วงุนงงทันที นางวางไม้ขนไก่แล้วออกมาจากโถงฝึกซ้อม มาถึงโถงใหญ่ด้านนอก แล้วเดินออกประตูไปตลอดทาง ขณะที่เดินก็ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
พนักงานที่เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตรงประตูวิ่งเข้ามา “ไม่ทราบขอรับ! กำลังพลของตำหนักสวรรค์เหมือนจะกำลังขับไล่ลูกค้าที่มาตลาดสวรรค์”
“ไล่ลูกค้า? นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ท่านแม่สวีหยิบผ้าเช็ดหน้าบนเสื้อออกมาสะบัด พอเดินออกจากประตูใหญ่ก็หันซ้ายหันขวาด้วยสีหน้าแปลกใจ
เห็นเพียงทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งปรากฏตัวที่หัวถนน ไล่ลูกค้าบนถนนให้ไปทางประตูเมือง พวกลูกค้าที่เดินตลาดพากันขมวดคิ้ว เดินขวักไขว่ผ่านประตูใหญ่ของหอกลิ่นสวรรค์
ทันใดนั้น ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งที่มาคุมสถานการณ์ก็ตะโกนบอกว่า “อย่าชักช้า ท่านโหวเทียนหยวนกำลังจับผู้ร้ายที่หลบหนี ทุกคนที่ไม่ใช่พ่อค้าแม้ค้าในตลาดสวรรค์พ่อค้าออกจากตลาดสวรรค์ไปทันที ไม่อย่างนั้นจะถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายทั้งหมด”
“ขุนพล พวกเราไม่ใช่ผู้ร้ายนะ!” มีลูกค้าบางคนตะโกนบอก
ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นตะโกนตอบว่า “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าใช่ผู้ร้ายรึเปล่า? รอตรวจสอบก่อนแล้วค่อยว่ากันว่าเป็นผู้ร้ายรึเปล่า ถ้ายังกล้าบ่นมากอีกข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ พ่อค้าทั้งสองฝั่งฟังข้าให้ดีนะ ให้ลูกค้าในร้านออกไปทันที ไม่อย่างนั้นทุกคนจะโดนลงโทษข้อหาสมคบคิดกับผู้ร้าย!”
เมื่อเห็นผู้ช่วยผู้บัญชาการเดินมาถึงนอกหอกลิ่นสวรรค์ ท่านแม่สวีก็ก้าวขึ้นมาดึงมือไว้ทันที แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “ขุนพลเผิง นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ที่เขตเมืองตะวันตกมีใครบ้างที่ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านแม่สวีกับผู้บัญชาการสวี ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นไม่กล้าล่วงเกิน ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะ เบื้องบนสั่งให้ทำแบบนี้ พวกเราก็ได้แค่ทำตามคำสั่ง ถ้าท่านอยากจะรู้สาเหตุ ก็ไปถามท่านผู้บัญชาการจะเหมาะกว่า” พูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ
หลังจากยืนดูเหตุการณ์อยู่ครึ่งวัน ถนนตรงหน้าก็ว่างจนม้าวิ่งได้ ไม่มีเงาของลูกค้าเลยสักคน ทั้งยังมีทหารสวรรค์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเดินลาดตระเวนตรวจไปมา
พ่อค้าที่อยู่สองฝั่งถนนพากันยื่นศีรษะออกมาเหลียวซ้ายแลขวา ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา มองไม่เห็นลูกค้าเลยสักคน ตั้งแต่ตั้งตลาดสวรรค์ขึ้นมา ยังไม่เคยเห็นสภาพแบบนี้มาก่อน
พนักงานที่วิ่งเต้นสืบข่าวไปทั่วทุกที่กลับมาบอกท่านแม่สวีว่า “ไปหมดแล้ว! ลูกค้าทั้งตลาดสวรรค์ถูกไล่ออกจากตลาดสวรรค์ไปหมดแล้ว ไม่เหลือเลยสักคน ไปกันหมดแล้ว ลูกไล่ไปรับการตรวจสอบที่นอกประตูเมืองทั้งสี่”
ท่านแม่สวีกับอวี้ซวีเจินเหรินแห่งร้านขายของชำซื่อตรงที่อยู่ข้างกันมองหน้ากันเลิกลั่ก สักครู่ต่อมา บรรดาพ่อค้าแทบจะทุกคนก็พากันวิ่งไปดูที่ประตูเมืองทั้งสี่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
คนกลุ่มหนึ่งเบียดกันอยู่นอกเมือง คนที่มีความผิดอยู่ในใจย่อมไม่กล้ารับการตรวจสอบ ต่างก็หนีออกไปแล้ว ส่วนในเมืองก็มีพ่อค้ากลุ่มหนึ่งยื่นศีรษะออกมาดู ตรงประตูเมืองมีทหารสวรรค์คอยดักตรวจคนที่เดินเข้าเดินออก
“ขุนนางสวรรค์ ข้าไม่ใช่ผู้ร้ายจริงๆ”
“เจ้าไม่ใช่ผู้ร้ายแล้วจะเป็นอะไรไปได้?”
“ข้าเป็นศิษย์ของสำนักฝูหลิง นี่คือแผ่นหยกยืนยันตัวตนของข้า ข้าได้รับคำสั่งจากสำนักให้มาซื้อของ สำนักกำหนดเวลากลับไว้แล้ว ท่านให้ข้าเข้าไปเถอะ ขุนนางสวรรค์ ถ้าข้าซื้อของเสร็จแล้วข้าก็จะไปทันที”
“ก็ได้ ค้นตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน พอค้นตัวแล้วเจ้าค่อยเอาหลักฐานมาพิสูจน์ ตราบใดที่พิสูจน์ได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับผู้ร้าย ข้าก็จะปล่อยเจ้าเข้าไปทันที”
“ข้า…จะให้ข้าพิสูจน์ยังไงล่ะ?”
“ถ้าพิสูจน์ไม่ได้เจ้าจะบ่นมากทำไม? เจ้าอาศัยอะไรมาอ้างว่าเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับผู้ร้าย? คนต่อไป…”
นี่คือบทสนทนาระหว่างทหารสวรรค์กับลูกค้าข้างนอกที่ต้องการจะเข้ามาในเมือง
ส่วนในเมือง พวกพ่อค้าที่หูผึ่งมาดูความเคลื่อนไหวสบตากันอย่างพูดไม่ออก ท่านแม่สวีหันกลับมามองอวี้ซวีเจินเหรินที่อยู่ข้างกัน แล้วถ่ายทอดเสียงด้วยสีหน้าที่เหมือนอยากจะชูนิ้วกลาง “ฉิบหายเอ๊ย! ท่านนั้นที่ตำหนักคุ้มเมืองจะก่อเรื่องแบบไหนอีกล่ะ นี่คงไม่ได้คิดจะก่อเรื่องอะไรอีกใช่มั้ย?”
สวีถังหรานกำลังนั่งดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสบนตึกกำแพงเมือง จิบสุราชั้นดีเป็นระยะ
…………………………