พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1326 ลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผา
เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจ ถามอย่างสงสัยว่า “หมายความว่ายังไง?”
เยียนเป่ยหงใช้การปฏิบัติจริงตอบเขา เรียกคนสองคนออกมาจากกระเป๋าสัตว์โดยตรง นำมาวางไว้บนเตียงหิน นอกจากหงซิ่วกับหงฝูแล้วจะเป็นใครไปได้
เพียงแต่ทั้งสองคนกำลังสลบ โดนโซ่ที่ทำจากผลึกม่วงมัดไว้อย่างแน่นหนา บนใบหน้าและผิวหนังที่เผยให้เห็นเป็นสีสันหลากหลาย เหมียวอี้ที่ก้าวขึ้นมาดูข้างหน้านิ่งเงียบ เขาเข้าใจแล้ว หญิงรับใช้ทั้งสองของเยียนเป่ยหงโดนเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาย้อนทำร้ายเพราะวิชาที่ฝึก ครั้งนี้มาเพื่อให้ตนช่วยแก้ไขให้
“ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว น้องชายคงเข้าใจแล้วใช่มั้ย?” เยียนเป่ยหงถาม
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถามว่า “พี่ใหญ่เยียน ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ ที่พิภพใหญ่ไม่เหมือนกับพิภพเล็ก การย่อยยาแก่นเซียนก็เร็วมากเช่นกัน จำเป็นต้องรับความทุกข์ทรมานเพราะวิชามารนั่นด้วยเหรอ? ตอนนี้มีน้องชายอยู่ แต่ถ้าเมื่อไรน้องชายเกิดปัญหาขึ้นแล้วยื่นมือช่วยไม่ได้ล่ะ ทำแบบนี้ไม่ใช่การแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกเหรอ?”
เยียนเป่ยหงโบกมือ “หลังจากมาถึงพิภพใหญ่ ข้าก็ไม่เคยให้พวกนางสองคนดูดวรยุทธ์ของคนอื่นอีกเลย ให้พวกนางใช้ยาแก่นเซียนมาตลอด วันนี้พอจะบรรลุระดับทะยานสวรรค์ก็ยังอาการกำเริบเหมือนเดิม เกรงว่าจะเป็นเพราะตอนอยู่พิภพเล็กดูดวรยุทธ์คนอื่นไว้เยอะเกินไป”
“อ้อ!” เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ถามอีกว่า “แล้วท่านล่ะ?”
เยียนเป่ยหงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างซื่อสัตย์จริงใจว่า “ถึงแม้ยาแก่นเซียนจะทำให้เพิ่มวรยุทธ์ได้รวดเร็ว แต่ถ้าเทียบกับความเร็วในการดูดของวิชามารของข้า ก็ยังถือว่าช้าไปหน่อย ที่พิภพใหญ่มียอดฝีมือมากมาย ถ้าข้าไม่รีบเพิ่มวรยุทธ์ของตัวเองให้สูงขึ้น พวกเราสามคนจะปกป้องตัวเองได้ยังไง จะไปช่วงชิงยาแก่นเซียนให้พวกนางสองคนเพียงพอได้ยังไง”
เหมียวอี้หันหน้าไปด้านข้าง หลับตาลงพลางถอนหายใจ แล้วหันหน้ากลับมาอีกครั้ง “ในเมื่อท่านรู้แล้ว ทำไมไม่ให้พวกนางทำลายวิชามารนั่นซะ ทำไมต้องสร้างความผิดพลาดให้ตัวเอง? ที่ข้ามียาแก่นเซียนจ่ายให้พวกท่านสามคนอยู่แล้ว ต่อให้ท่านจะไม่ต้องการของที่ได้มาเปล่าๆ เหมือนรับทาน ข้าก็สามารถหาตำแหน่งให้ท่านที่ตลาดสวรรค์ได้ รับรองว่าพวกท่านเลี้ยงตัวเองได้แน่ ทำไมต้องไปแตะต้องวิชามารที่ยิ่งฝึกยิ่งถลำลึกนั่นอีก?”
เยียนเป่ยหงยกมือขึ้นตบบ่าเขา “น้องชาย ความสัมพันธ์แบบนี้ของพวกเราก็ดีมากอยู่แล้ว ถ้าให้ข้าเอาแต่ยื่นมือขอเจ้า หรือกลายเป็นลูกน้องของเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็จะเปลี่ยนรสชาติเข้าสักวัน และข้าก็บอกไปแล้ว ว่าถ้าข้าอยู่ข้างกายเจ้า สักวันก็จะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย รักษาระยะห่างเอาไว้ดีกว่า ถ้าเกิดปัญหาขึ้นแล้วส่งข่าวมาให้ยื่นมือช่วยเหลือ แบบนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว”
เมื่อเห็นว่าเกลี้ยกล่อมไม่ได้ผล เหมียวอี้ก็ยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ ถามว่า “แล้วตอนนี้ท่านวรยุทธ์เท่าไรแล้ว?”
เยียนเป่ยหงยกมือลบโคลนซ่อนจิตตรงหว่างคิ้วออก เผยสัญลักษณ์วรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า
เหมียวอี้พูดไม่ออก ตอนที่เยียนเป่ยหงมาถึงพิภพใหญ่ก็ยังมีวรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นหนึ่งอยู่เลย ใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยปีก็วรยุทธ์เหนือกว่าเหมียวอี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าแล้ว คาดว่าคงอยู่ไม่ไกลจากระดับบงกชรุ้ง เหมียวอี้เรียกได้ว่าได้รับรู้ถึงความวิปริตของวิชามารนั่นอีกครั้ง
เยียนเป่ยหงบอกว่า “ข้ารู้ว่าน้องชายกังกังวลอะไร ข้ายังห่างจากระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอีกไกล ตอนนี้ข้ายังไม่มีปัญหาอะไรหรอก ช่วยชีวิตพวกนางสองคนก่อนแล้วกัน ช่วงนี้ข้าช่วยร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับให้พวกนางมาตลอด ไม่ให้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายพวกนางแพร่กระจายเร็วเกินไป แต่ข้ากลัวว่าเวลานานไปแล้วพวกนางจะทนรับไม่ไหว”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ให้ข้าจัดการข้างนอกให้เรียบร้อยก่อน เดี๋ยวข้ากลับมาลงมืออีกที”
เยียนเป่ยหงพยักหน้า เหมียวอี้หันตัวเดินออกไป
บทสนทนาระหว่างทั้งสองตรงไปตรงมาและจริงใจ ธุระก็คุยธุระ ไม่มีเรื่องปากหวานก้นเปรี้ยวอะไรทั้งนั้น
หลังจากจัดการเรื่องข้างนอกเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็เข้าสู่สภาวะเก็บตัวฝึกตนชั่วคราว เริ่มลงมือจัดการบนตัวหงซิ่วก่อน
เวลาที่เก็บตัวก็ไม่ได้นานเท่าไรนัก ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนตอนที่ทำให้เยียนเป่ยหงครั้งก่อน สาเหตุหลักเป็นเพราะการบรรลุระดับบงกชทองในครั้งนี้ พวกนางดูดวรยุทธ์ของคนอื่นไปไม่เยอะเท่าไร พลังที่ย้อนทำร้ายจึงไม่ร้ายแรงมาก บวกกับที่เยียนเป่ยหงช่วยระงับไว้ด้วย สาเหตุสำคัญเป็นเพราะวรยุทธ์ของเหมียวอี้สูงกว่าพวกนางสองคนเยอะมาก ตอนนี้ก็ยิ่งมีเปลวเพลิงคอยช่วย เวลาจัดการกวาดล้างจึงคล่องมือกว่าเดิม
หลังจากแก้ไขปัญหาของผู้หญิงทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เยียนเป่ยหงก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน พาคนเหาะออกไปแล้ว เหมียวอี้ถามว่าไปไหนก็ไม่ตอบ ตอนมาก็มาอย่างกระทันหัน ตอนไปก็ไม่พะว้าพะวง…
เพียงชั่วดีดนิ้ว ก็ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งพันปี
ที่นอกจวนแม่ทัพภาคตงหัว ชายหุ่นหมีคนหนึ่งกำลังกอดต้นไม้ใหญ่ร้องไห้เสียงดัง ร้องไห้แบบเจ็บปวดระทมใจ คนที่ร้องไห้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นเอง
ที่ด้านข้างต้นไม้ แม่ทัพภาคตงหัวปี้เยว่ยืนอยู่หน้าสุด เหมียวอี้ จ้านหรูอี้ เหยียนซู่ เหยาสิ้ง ติงเจ๋อเฉวียน ซ่างหรูเยว่ เกาโย่ว เหลียนฟางอวี้ รุ่ยฝาน ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ทั้งเก้าคนอยู่กันครบ
เมื่อเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงร้องไห้อย่างปวดใจขนาดนี้ ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับทำสีหน้าแปลกๆ
สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เซี่ยโห้วหลงเฉิงถูกลดขั้นให้เป็นเทพแห่งภูผาในสถานที่ที่กันดารจนแม้แต่นกก็ไม่บินผ่านไปขี้ใส่
ไม่รู้ว่าเขาไปทำความผิดร้ายแรงอะไรเกินให้อภัยมา แต่ความผิดเล็กๆ นั้นมีเยอะเกินไป ถ้าดาวอวี้หลัวยังมีแม่ทัพภาคนั่งคุมเหมือนในปีก่อนๆ เขาก็ยังไม่เดินมาถึงขั้นนี้ เป็นเพราะดาวอวี้หลัวไม่มีใครควบคุมเขา บวกกับภูมิหลังและนิสัยเจ้าอารมณ์…ตอนแรกเขายังสามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ตอนหลังเริ่มทำตามอำเภอใจแล้วจริงๆ ก่อกรรมทำชั่วที่ตลาดสวรรค์ดาวอวี้หลัวจนแม้แต่สวรรค์และคนต่างก็พากันเคียดแค้น
ที่แปลกก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครรายงานพฤติกรรมของเขาเลย หรือไม่ก็มีคนรายงานแล้วแต่มีคนจงใจเหยียบไว้ ไม่น่าเชื่อว่าร้านค้าของผู้มีอำนาจมากมายขนาดนั้นจะเงียบกริบกับพฤติกรรมที่เหิมเกริมของเขา ถึงขนาดพูดได้ว่า การที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเดินมาถึงขั้นนี้ได้ เป็นเพราะมีคนจงใจให้ท้ายส่งเสริม
แต่ทางตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ได้หูหนวกตาบอดเช่นกัน สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว รู้สึกได้ว่ามีคนที่มีเจตนาไม่ซื่อ ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จึงออกคำสั่งให้ลงโทษอย่างรุนแรง ลดตำแหน่งของเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ไปเป็นเทพแห่งภูผาในถิ่นธุรกันดาร ให้เขาออกห่างจากวงการความขัดแย้ง
ทางดาวอวี้หลัวดีใจจนแทบจะบรรเลงดนตรีเฉลิมฉลอง
ที่จริงถ้ามองจากบางมุม ตระกูลเซี่ยโห้วก็กำลังตั้งใจจะปกป้องเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่ประเด็นคือเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้คิดแบบนี้
“เซี่ยโห้วหลงเฉิง ไปตั้งใจเริ่มต้นใหม่ที่นั่นเถอะ ในภายหลังยังมีโอกาส” ปี้เยว่ถอนหายใจ
เซี่ยโห้วหลงเฉิงเอามือทุบอกทันที เงยหน้าโวยวายว่า “ข้าไม่ยอม!”
“ผู้บัญชาการใหญ่ เวลาก็ผ่านมานานแล้ว ทางนั้นกำหนดเวลาให้ท่านไปรับตำแหน่งแล้ว” คนคุ้มกันส่งที่ปี้เยว่ส่งมากล่าวเตือนเสียงเบา
“ผู้บัญชาการใหญ่บ้าบออะไรล่ะ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงหันกลับมาตะคอก ยกแขนเสื้อปาดน้ำตา เดินไปตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วจู่ๆ ก็กางแขนสองข้างกอดเหมียวอี้เอาไว้ พร้อมกล่าวเสียงสะอึกสะอื้น “น้องหนิว ข้าอัดอั้นตันใจ!”
เหมียวอี้กลอกตามองบน คิดในใจว่านี่เจ้ายังอัดอั้นตันใจอีกเหรอ แค่สิ่งที่เจ้าทำลงไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงตายไปร้อยครั้งแล้ว แต่แน่นอน ภายนอกเหมียวอี้ออกแรงผลักเขาออก แล้วพูดปลอบใจว่า “พี่เซี่ยโห้ว ตราบใดที่มีชีวิตก็ย่อมมีหวัง”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงย้ายไปที่จ้านหรูอี้ แล้วกางแขนจะเข้าไปกอด
จ้านหรูอี้ตอบสนองรวดเร็ว พลิกมือหยิบมีดสั้นด้ามหนึ่งออกมาจ่อคอเซี่ยโห้วหลงเฉิง พร้อมถามเสียงต่ำว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจงใจหรือไม่จงใจ ถึงอย่างไรก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัววิ่งหนีออกไปแล้ว ขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วถอนหายใจยาว “น่าเสียใจนักที่เกิดมาในตระกูลชั้นสูง!”
ในน้ำเสียงแฝงความรู้สึกเสียใจและอ้างว้างจากใจจริง แต่กลับทำให้คนกลุ่มหนึ่งกลอกตามองบนพร้อมกัน ปี้เยว่ก็ยิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก พึมพำในใจว่า คนอื่นสิต้อง ‘เกลียดที่เจ้าเกิดมาในตระกูลชั้นสูง’ ไม่อย่างนั้นคงทำให้เจ้าตายไปนานแล้ว
จู่ๆ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เหาะขึ้นฟ้าไป แล้วก็มีเสียงดังมาไกลๆ ว่า “ทุกคน ถ้าว่างๆ ก็มาเยี่ยมข้าบ้างนะ!”
มีแต่ผีน่ะสิที่จะไปหาเจ้า! ทุกคนปากไม่ตรงกับใจ กุมหมัดคารวะและกล่าวพร้อมกันว่า “พี่เซี่ยโห้วรักษาตัวด้วย”
รอจนกระทั่งเงาคนหายไปจากบนท้องฟ้าแล้ว จ้านหรูอี้ถึงได้แสยะยิ้ม “เจ้าเวรนี่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ปีเดียว เกรงว่าจะมีรายได้เท่ากับพวกเราที่ทำงานนี้หลายปี ในหนึ่งพันกว่าปีมานี้ไม่รู้ว่าตักตวงเงินทองไปมากเท่าไรแล้ว ยังมีหน้าร้องไห้เสียใจที่นี่อีก”
“ในที่สุดก็ไปสักที แต่ทำให้ดาวอวี้หลัวเสียหายย่อยยับแล้ว” เกาโย่วกล่าว
“ตระกูลเซี่ยโห้วก็เด็ดขาดจริงๆ ส่งเขาไปอยู่ในสภานที่ทุรกันดารเสียเลย ต่อไปคงไม่มีทางสร้างหายนะให้ใครได้แล้วละมั้ง?” ติงเจ๋อเฉวียนถาม
เหมียวอี้ก็ส่ายหน้าเงียบๆ อย่างณู้สึกปลงเช่นกัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงคนนี้ช่างเป็นเหมือนโคลนเหลวที่ก่อเป็นกำแพงไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นตระกูลเซี่ยโห้วจะทำแบบนี้กับเขาได้อย่างไร เกรงว่าการจากกันครั้งนี้จะทำให้มีโอกาสพบกันได้ยากแล้ว…
ดอกไม้บานดอกไม้ร่วง ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน กาลเวลาไร้ซึ่งหัวใจ ดวงดาวเคลื่อนคล้อย เวลาผ่านไปแล้วสองพันปี
“ตลาดสวรรค์ ดาวเทียนหยวน…”
ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่จัดการกิจธุระอ่านรายงานทีละเรื่อง สุดท้ายก็หยิบรายชื่อผู้เข้าร่วมทดสอบขึ้นมา บังเอิญสังเกตเห็นประวัติที่อยู่หลังรายชื่อฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ เงยหน้ามองซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ด้านล่าง “ลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อชื่อฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ใช่รึเปล่า?”
วนมาถึงการทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกแล้ว ครั้งนี้เป็นการทดสอบเสริม ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ใช่ว่าจะเป็นได้ทั้งชีวิต มักจะมีเหตุการณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แล้ว ยกตัวอย่าเช่นเซี่ยโห้วหลงเฉิง มีตำแหน่งว่างเยอะมาก นำคนที่อยู่อันดับต้นๆ เติมไปก่อนแล้ว ตอนนี้ยังไม่ได้เติมตำแหน่งผู้บัญชาการที่อยู่ส่วนบน ในภายหลังถ้ามีคนขาดก็ต้องดึงผู้ที่เคยผ่านการทดสอบขึ้นไปก่อน ตอนนี้ก็แสดงความสามารถอยู่กันข้างไปก่อนแล้วกัน ก็อย่างที่เคยบอกไว้ คนที่ไม่เคยเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีจะไม่สามารถรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้
ซือหม่าเวิ่นเทียนครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าตอบว่า “ขอรับ! ล้วนเป็นผู้บัญชาการใต้สังกัดของของหนิวโหย่วเต๋อขอรับ เหมือนจะเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ด้วย”
“ใต้สังกัดของหนิวโหย่วเต๋อมีกี่คนที่ไปไปเข้าร่วมการทดสอบ?”
“ถ้าข้าน้อยจำไม่ผิด น่าจะไปสองคนขอรับ”
ประมุขชิงส่ายแผ่นหยกในมือ “นี่คือรายชื่อผู้ผ่านการทดสอบที่เกาก้วนส่งขึ้นมา เรียกได้ว่าขุนพลยอดเยี่ยม ทหารในสังกัดไร้คนอ่อนแอจริงๆ ส่งไปแล้วสองคน ไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านการทดสอบทั้งสองคน”
ที่จริงประมุขถิ่นสี่ทิศทะเลดาวนักษัตรก็ไปร่วมการทดสอบทุกคน เพียงแต่สงเวยกับหงเทียนไม่ได้อยู่ในสังกัดของเหมียวอี้ เป็นการฝากชื่อกับสถานที่อื่นไป มีเหมียวอี้แอบช่วยเหลืออย่างลับๆ จะไม่ให้ทั้งสี่ผ่านการทดสอบก็คงยาก ทั้งยังมีรายชื่ออยู่อันดับต้นๆ ทั้งหมดด้วย การเติมเข้าตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่ปัญหาเลย
แน่นอน ทางด้านแดนอเวจีมีการเตรียมการอีกอย่างไว้แล้ว ไม่ได้ทำให้ทั้งสี่คนรู้ว่าเหมียวอี้เกี่ยวข้องกับแดนอเวจี
ส่วนสวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัว ถ้าไม่มีเหมียวอี้ ‘ระดมพล’ จะถ่อเอาชีวิตไปล้อเล่นที่นั่นทำไม พวกเขาไม่ได้ปเข้าร่วมการทดสอบ
“มีความเป็นไปได้ว่าได้รับถ่ายทอดประสบการณ์มาจากหนิวโหย่วเต๋อขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ
ประมุขชิงครุ่นคิดเล็กน้อง ก่อนจะกล่าวว่า “ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามพันกว่าปีแล้ว เขาน่าจะตักตวงทรัพยากรฝึกตนที่ตลาดสวรรค์ได้มากพอแล้ว จะเป็นล่อหรือจะเป็นม้าก็ควรจะจูงออกมาเดินเล่นสักหน่อย ทางเจ้าสืบเสาะหาความจริงเป็นอย่างไรบ้าง สามารถใช้งานได้รึยัง?”
เมื่อถามมาแบบนี้ ซือหม่าเวิ่นเทียนก็อับอายนิดหน่อย ตอบว่า “คนที่เตรียมไว้ยังเข้าไปอยู่ข้างกายเขาไม่ได้ขอรับ”
ประมุขชิงหรี่ตา “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว แค่ผู้บัญชาการตลาดสวรรค์เล็กๆ คนเดียว คนของเจ้าแทรกเข้าไปไม่ได้เหรอ?” เขาแทบจะพูดออกมาว่าเจ้ามัวไปทำอะไรกินอยู่
ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบบอกว่า “เจ้ากนุ่มนั่นล่วงเกินคนเยอะเกินไป ทั้งยังเคยโดนลอบสังหาร มีจิตสำนึกในการเตรียมป้องกันดีมาก ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เขายอมให้ที่ตำหนักคุ้มเมืองขาดคนมาตลอด ไม่ยอมเติมคนใหม่ง่ายๆ ตอนนี้ก็ยิ่งตั้งใจฝึกตน แทบจะไม่ได้เข้าสังคมอะไรเลย คนข้างกายเขาก็ระวังภายนอกอย่างเข้มงวดมาก ทั้งตลาดสวรรค์ก็ถูกเขาควบคุมไว้อย่างแน่นหนาอีก แค่มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็จะมีคนมาตรวจสอบทันที กำลังคนหลายชุดที่เตรียมไว้เข้าใกล้เขาไม่ได้เลย เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่นจนโดนสงสัย ตอนนี้จึงกำลังหาโอกาสอยู่ตลอดขอรับ”
พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็ปวดหัวเหมือนกัน เพื่อที่จะหาโอกาส เขาถึงขั้นส่งคนไปก่อเรื่องด้วย อยากจะล่อเหมียวอี้ออกมา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้ออกหน้าเลย เบื้องล่างมีคนมาแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ไม่ได้รบกวนการฝึกตนของเหมียวอี้เลย ด้วยความที่ใจร้อน เลยลองก่อเรื่องให้ถี่ขึ้นหน่อย เลยโดนหยั่งเชิงกลับทันที เป็นวิธีการที่เงียบเชียบมาก แต่แทบจะกำจัดคนของเขาจนหมด โชคดีที่หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ทำงานประเภทนี้มานานแล้ว มีประสบการณ์โชคโชนไม่ธรรมดาจริงๆ ทำให้ค้นพบได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นจะเกิดผลลัพธ์ที่น่าอับอายเกินไป
…………………………