พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1328 เลือกที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทอีกแล้ว
ในปีนั้นเหมียวอี้ก็เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้เหมือนกัน จึงหรี่ตาถามว่า “โผล่มาอีกแล้วเหรอ เป็นใครกันแน่ที่ใช้ความพยายามขนาดนี้เพื่อจะเข้าใกล้ข้า แล้วทำไมต้องเข้าใกล้ข้าด้วย?”
เขาถึงขั้นสงสัยว่ากำลังจะมีคนลอบสังหารเขาอีกแล้วรึเปล่า แต่จากการวิเคราะห์ของหยางชิ่งในปีนั้น ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีคนคิดลอบสังหารเขาอีก เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนวรยุทธ์ต่ำกว่าระดับบงกชรุ้งคิดโจมตีตำหนักคุ้มเมือง มิหนำซ้ำความสามารถของเหมียวอี้ก็ไม่ได้อ่อนด้อย ส่วนคนที่วรยุทธ์สูง ถ้าคิดจะลอบสังหารก็สามารถถือโอกาสลงมือตอนเหมียวอี้โผล่หน้าออกมาได้เลย ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ ใช้ความพยายามมากขนาดนี้เพื่อเข้ามาสนิทสนม ทั้งยังแหวกหญ้าให้งูตื่นได้ง่ายๆ ด้วย
ในเมื่อไม่ได้อยากจะลอบสังหารเขา เขาที่ตั้งใจฝึกตนมาตลอดจึงขี้เกียจจะสนใจ จึงส่งต่อให้หยางชิ่งไปจัดการแทน เขารู้ว่าตัวเองจัดการได้ไม่เหมาะสมเท่าหยางชิ่ง แต่ในมือหยางชิ่งก็ไม่มีอำนาจทางทหารใดๆ ตอนนี้เพียงรับหน้าที่ทำงานด้านข่าวกรองที่ตำหนักคุ้มเมือง ไม่มีอำนาจจะระดมโยกย้ายกำลังพล ไม่ว่าจะระดมกำลังพลอะไรก็ต้องให้หยางเจาชิงถือคำสั่งของเหมียวอี้ออกมา เท่ากับเหมียวอี้แยกอำนาจทางทหารออกจากหยางชิ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว
หยางชิ่งกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอนขอรับ ช่วงนี้ข้าลองครุ่นคิดดู เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับคนของตำหนักสวรรค์”
“ทำไมคิดอย่างนั้น?” เหมียวอี้แปลกใจ
หยางชิ่งอธิบายว่า “อันดับแรกตัดเรื่องลอบสังหารนายท่านไปได้เลย ในเมื่อไม่ใช่การลอบสังหารนายท่าน การที่คนทั่วไปจะมาเข้าใกล้นายท่านก็ไม่มีความหมายอะไร คนทั่วไปที่อยากเข้าใกล้นายท่านก็เพียงเพราะอำนาจของนายท่านยังมีผลที่ตลาดสวรรค์เท่านั้น หรือไม่ก็เพราะมีธุระอะไรจะติดต่อนายท่าน ถ้าอยากจะจัดการธุระอะไรที่ตลาดสวรรค์หรืออยากจะติดต่อนายท่าน ก็สามารถมาหานายท่านโดยตรงได้เลย ถ้าไม่สะดวกจะมาหาแบบเปิดเผย ก็มาแบบลับๆ ก็ได้ มาเสียเวลาทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ไม่มีความหมาย ถ้าไม่ได้มาหานายท่านเพราะเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น นั่นก็แปลว่าอยากจะเข้าใกล้นายท่านเฉยๆ แต่การพบกันครั้งสองครั้งเพื่อเรื่องที่เป็นประโยชน์ ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่น่าจะเข้าใกล้นายท่านเพื่อจะเจอกันแค่ครั้งสองครั้ง แต่อยากจะอยู่ใกล้ชิดนายท่านในระยะยาว เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคือการเข้าตำหนักคุ้มเมือง แต่เงื่อนไขแรกของการเข้าตำหนักคุ้มเมืองก็คือต้องมีสถานะตำหนักสวรรค์ ถ้าไม่มีสถานะตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีทางที่จะอยู่ตำหนักคุ้มเมืองได้นาน นายท่านไม่มีทางเสี่ยงอันตรายง่ายๆ เพื่อแก้ไขสถานะตำหนักสวรรค์ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องและรับเข้ามาในตำหนักคุ้มเมือง ประการต่อมา ในขณะที่พวกเราควบคุมตลาดสวรรค์ไว้เข้มงวดแบบนี้ แต่อีกฝ่ายยังถอนกำลังออกไปได้อย่างเงียบเชียบ จะเห็นได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้ จะต้องเข้าใจสภาพกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่เฝ้าคุมที่นี่และสถานการณ์ของสมาคมร้านค้าตลาดสวรรค์เป็นอย่างดีสามารถสังเกตความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ตลอดเวลา ถึงได้ไหวตัวทันและถอนตัวออกไป นี่คือเรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้เหรอ? และข้าก็วางกับดักไว้แน่นหนา แต่อีกฝ่ายก็ยังปลีกตัวออกไปได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย แบบนี้แปลว่าอีกฝ่ายช่ำชองการทำเรื่องประเภทนี้มาก ประสบการณ์โชกโชนที่สุด ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นายท่านเป็นครั้งแรกแน่นอน คนที่มีความสามารถขนาดนี้ได้จะต้องมีอำนาจอิทธิพลไม่ใช่น้อยๆ พอเชื่อมโยงกับการวินิจฉัยก่อนหน้านี้ ก็มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ข้าน้อยสงสัยว่าจะมีอำนาจฝั่งไหนของตำหนักสวรรค์ที่คิดอยากจะจับตาดูนายท่านหรือเปล่า!”
“เฝ้าจับตาดูข้าเหรอ? ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เล็กๆ อย่างข้า จะใช้ความพยายามากขนาดนี้เพื่อเฝ้าจับตาดูข้าทำไม?” เหมียวอี้รู้สึกตกตะลึงในใจ เขาสงสัยว่าฝั่งตัวเองทำเรื่องอะไรที่เผยพิรุธแล้วหรือเปล่า
เห็นได้ชัดว่าหยางชิ่งเดาความคิดเขาออก พยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “ข้าน้อยกังวลเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็รู้สึกว่ามีเลศนัย ถ้าเรื่องลับๆ ของพวกเราเปิดเผยแล้วจริงๆ ถ้าอีกฝ่ายไม่มาบีบเราโดยตรง ก็ลงมือจับไปสืบสวนโดยตรงได้เลย ยิ่งไม่มีทางที่จะพุ่งเป้ามาที่นายท่านคนเดียว เกรงว่าคนที่เกี่ยวข้องกับนายท่านก็จะถูกเฝ้าสังเกตการณ์เหมือนกัน แต่คนอื่นไม่มีความผิดปกติใดๆ เลย”
เหมียวอี้สีหน้าเงียบขรึม กล่าวเน้นย้ำว่า “เป็นใครกันแน่!”
“ถ้าไม่สืบเรื่องนี้ให้ชัดเจน เกรงว่าพวกเราคงจะกินอิ่มนอนหลับได้ยาก ดังนั้นข้าน้อยคิดว่า ครั้งนี้จะต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง ถ้ามีอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นมา พวกเราจะได้เตรียมพร้อมปลีกตัวได้สะดวก” หยางชิ่งกล่าว
เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ แล้วหันกลับมาอีก “เจ้าเตรียมจะทำยังไง?”
หยางชิ่งตอบว่า “อีกฝ่ายฉลาดกะล่อนเกินไป ถ้าประมือกันลับๆ ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองไร้สมอง ศัตรูอยู่ในที่ลับเราอยู่ในที่แจ้ง พวกเราเสียเปรียบเกินไปแล้ว ก่อนอื่นเราต้องหาทางทำให้ศัตรูอยู่ในที่แจ้งเสียก่อน ถ้ามองเห็นทุกการกระทำของอีกฝ่ายชัดเจน พวกเราถึงจะรับมือได้สะดวก ไม่สู้ยอมถอยก่อนเพื่อจะรุก!”
“ทำไมใช้วิธีการยอมถอยเพื่อจะรุกได้?” เหมียวอี้ถาม
หยางชิ่งตอบว่า “ข้าน้อยคิดทบทวนความผิดพลาดของตัวเองก่อนหน้านี้ พบว่าการที่พวกเราป้องกันแน่นหนาเกินไปจนไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดี ไม่สู้ให้โอกาสอีกฝ่ายเข้าใกล้นายท่านสักครั้ง ให้คู่ต่อสู้เป็นฝ่ายกระโดดออกมาเอง เพียงแต่ก่อนหน้านี้นายท่านไม่เคยยอมปรากฏตัวง่ายๆ เลย จู่ๆ ปรากฏตัวก็อาจจะทำให้คนสงสัย แต่ตอนนี้กำลังมีโอกาสดี ไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือด้านความรู้สึกก็ฟังขึ้น สามารถทำได้อย่างไร้ช่องโหว่ ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ผ่านการทดสอบกลับมาแล้ว กำลังจะขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ ทุกคนจัดงานเลี้ยงฉลองเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ นายท่านเป็นผู้บังคับบัญชาเก่าของพวกเขา จะไม่โผล่ไปแสดงความยินดีได้ยังไง?”
เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางพยักหน้า “ไม่เลว!”
หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ พลันกล่าวว่า “แบบนี้จะเกิดอันตรายอะไรรึเปล่า? ถ้ามีคนต้องการจะลอบสังหารนายทท่านจริงๆ จะทำยังไง?”
เหยียนซิวมองไปที่หยางชิ่งเงียบๆ
หยางชิ่งตอบว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก ตรวจสอยสถานที่จัดงานอย่างเข้มงวดล่วงหน้าหนึ่งวัน ผู้ร่วมงานที่วรยุทธ์เกินระดับบงกชรุ้งห้ามเข้ามา เหลือไว้เพียงนักพรตบงกชทองจำนวนหนึ่ง อาศัยความสามารถที่นายท่านโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านก็ยังไม่เพียงพอให้พวกเขากลัว ถึงอย่างไรในสถานที่นั้นก็ยังมีคนอีกมาก ทำแบบนี้ยังมีประโยชน์อีกอย่าง ไม่ต้องประกาศว่านายท่านจะมาร่วมงานเลี้ยง แต่ฝ่ายตรงข้ามจะเดาออกแน่นอนว่านายท่านจะไป พวกเราจะได้ไม่ต้องประกาศล่วงหน้าจนทำให้คนสงสัย”
“ระหว่างทางไปกลับก็อันตรายเหมือนกัน ตามความเห็นของขา ไม่สู้จัดงานที่ตำหนักคุ้มเมืองก็สิ้นเรื่องแล้ว” หยางเจาชิงกล่าว
แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว จัดที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทก็สิ้นเรื่อง!” ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ บนตัวเผยกลิ่นอายสังหารรางๆ
หยางเจาชิงกับหยางชิ่งพูดไม่ออก ครั้งก่อนสังหารจนเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ครั้งนี้เลือกที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทอีกแล้ว…
หลังจากตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว หยางชิ่งก็บอกอีกว่า “นายท่าน มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีมั้ย”
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าช้าๆ “ว่ามาเถอะ”
หยางชิ่งลังเลนิดหน่อย “สงเวย ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ หงเทียนไปเข้าร่วมการทดสอบด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าทั้งหมดจะผ่านการทดสอบ กำลังจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เทียบเท่ากับนายท่านแล้ว สี่คนนั้นต่างคนต่างมีลูกน้อง หัวเรี่ยวหัวแรงของพวกเขาที่ทะเลดาวนักษัตรก้มาที่นี่แทบจะทั้งหมด สิ่งที่ใช้ผูกมัดพวกเขาไม่ค่อยได้ผลแล้ว ถึงแม้นายท่านจะบีบจุดอ่อนของพวกเขาอยู่ แต่พวกเขาก็รู้จุดอ่อนของนายท่านเหมือนกัน นายท่านทำอะไรพวกเขาไม่ได้ หากในภายหลังคิดจะเมินเฉยนายท่าน…”
เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันหนึ่งครั้ง ข้าเมตตาและรักษาสัจจะเต็มที่แล้ว จะเลือกยังไงก็ตามใจพวกเขา”
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขายังไม่ได้บอกหยางชิ่ง ว่าเขาติดต่อกับเทพประจำดาวฟ้าเถาะไว้แล้ว เทพประจำดาวฟ้าเถาะยังมีอิทธิพลต่อตลาดสวรรค์ในอาณาเขตของตัวเองอยู่บ้าง หัวหน้าภาคตลาดสวรรค์บางคนก็เป็นคนของเขาด้วยซ้ำ แม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ก็มีคนของเขาเหมือนกัน หลายปีมานี้เบื้องล่างมีตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ว่างพอดี เตรียมตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ให้สักสี่ตำแหน่งก็ไม่มีปัญหา
เรื่องบางเรื่องจะอยู่ได้นานหรือไม่ เหมียวอี้ก็กำลังคิดจะทดลองเช่นกัน
เป็นอย่างที่เขาบอก เขาช่วยพวกสงเวยให้ผ่านการทดสอบที่แดนอเวจีและช่วยช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ เท่านี้ก็นับว่าเมตตาเต็มที่แล้ว เรียกได้ว่าไม่เสียแรงที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ส่วนที่เหลือ ก็ต้องดูแล้วว่าพวกสงเวยจะเลือกอย่างไร เขาเป็นฝ่ายให้อิสระในการเลือกกับสี่คนนั้นก่อน ถ้าคิดว่าการที่ทุกคนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันในปีนั้นไม่สำคัญ…ถ้าเจ้าไร้คุณธรรมก็อย่ามาโทษว่าข้าไร้สัจจะ คนของทะเลดาวนักษัตรมาเยอะเกินไป บังเอิญว่าคนที่รู้ภูมิหลังของเหมียวอี้ก็มีเยอะเกินไปเช่นกัน เขาไม่ถือสาที่จะทำให้คนพวกนี้หายไปโดยสิ้นเชิง
อาศัยกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรมาทำให้ตำแหน่งของตัวเองที่ตลาดสวรรค์มั่นคง ถ้าจะพลิกมือกำจัดทิ้อีก บางที่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง’ แต่เหมียวอี้เดินมาถึงทุกวันนี้ได้เพราะไม่มีทางเลือก ข้ามอบสิทธิ์ในการเลือกให้พวกสงเวยแล้ว…
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็ผ่านการทดสอบกลับมาได้อย่างราบรื่น นอกเมืองมีคนไปต้อนรับไม่น้อย มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็อยู่ด้วยเช่นกัน หยางเจาชิงที่ตำหนักคุ้มเมืองก็มาแล้ว
ลูกน้องที่ทั้งสองพามาจากทะเลดาวนักษัตรก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ประมุขถิ่นสี่คนกำลังจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แล้ว น้ำในแม่น้ำใหญ่เพิ่มขึ้น น้ำในคลองก็เต็ม นี่คือเรื่องธรรมชาตอ
เมื่อทักทายปราศรัยอยู่นอกเมืองครู่หนึ่ง ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็ตามหยางเจาชิงไปรายงานผลการปฏิบัติงานที่ตำหนักคุ้มเมือง ถ้าเบื้องบนยังไม่แต่งตั้งให้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ สองคนนี้ก็ยังเป็นลูกน้องของเหมียวอี้อยู่
สองคนที่ผ่านการทดสอบมาได้อย่างราบรื่นรู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก ใครจะคิดว่าพอเจอหน้าเหมียวอี้ก็ได้ยินข่าวที่ไม่ดีทันที
เรื่องที่มีคนอยากเข้าใกล้เหมียวอี้ ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋รู้อยู่แล้ว ทั้งสองเคยระดมกำลังพลไปสืบเรื่องนี้ตามคำแนะนำของหยางชิ่ง เพียงแต่สืบไม่เจอเบาะแสอะไร เมื่อรู้ว่ามือมืดนั่นโผล่มาอีกแล้ว ทั้งสองก็รู้สึกหนาวสั่นเช่นกัน ทั้งสองไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ ทุกคนถูกผูกมัดอยู่ด้วยกัน ถ้าภูมิหลังของเหมียวอี้ถูกปิดโปงขึ้นมา ก็ไม่เป็นผลดีกับกับทั้งสองที่เพิ่งไต่เต้าขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่
หลังจากปรึกษากันแล้ว ทั้งสองก็ออกจากตำหนักคุ้มเมืองไปวางกำลังจัดการเรื่องนี้
จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ในห้องทำงาน กลิ่นสุราอบอวล สุราอาหารวางอยู่บนโต๊ะทำงาน สวีถังหรานนั่งดื่มเพียงลำพัง สุราศักดิ์สิทธิ์เข้าปากจอกแล้วจอกเล่า ดื่มสุราจนเมาหมายแล้ว
เสวี่ยหลิงหลงที่เดินเข้ามาในห้องทำงานยกแขนเสื้อขึ้นบังจมูกโดยอัตโนมัติ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พอเห็นท่าทางของสวีถังหรานก็รู้แล้วว่าสวีถังหรานจงใจจะเมามาย ไม่อย่างนั้นถ้าร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดฤทธิ์สุรา ก็คงไม่ดื่มจนเมามายขนาดนี้
“ฮูหยินมาแล้วเหรอ มาเถอะ ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าหน่อย” สวีถังหรานที่ใบหน้าแดงก่ำและเมาเลอะเลือนชูจอกสุราขึ้นพร้อมหัวเราะโง่ๆ ก่อนจะดื่มย้อมใจอีกอึก
เสวี่ยหลิงหลงก้าวขึ้นมาแย่งกาสุราและจอกสุราวางไว้ด้านข้าง แล้วถามว่า “หลายวันมานี้เหมือนนายท่านจะอารมณ์ไม่ดีเลยนะคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า?”
สวีถังหรานเอนศีรษะพิงบนเก้าอี้ แกว่งแขนไปมาพร้อมบอกว่า “เหลวไหล ใครบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดี ข้าอารมณ์ดีมาก ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กำลังจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ข้าดีใจมากๆ จะอารมณ์ไม่ดีได้ยังไงล่ะ ข้าแค่รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนมู่หรงซิงหัว เฮ้อ! เจ้าสองคนนั้นก็ใจกล้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะถ่อไปเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจี ทั้งยังทำสำเร็จอีกด้วย มู่หรงซิงหัวเป็นผู้บัญชาการของที่นี่มานานขนาดขนาดนี้ ผู้บัญชาการหนิวกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ตอนนี้ผู้บัญชาการฝูกับผู้บัญชาการอิงก็กลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้วเหมือนกัน แต่ละคนมาช้ากว่าทั้งนั้น แต่ก็ไต่เต้านำหน้ามู่หรงซิงหัวไปแล้ว…”
หอกลิ่นสวรรค์ ในโถงฝึกซ้อม ท่านแม่สวีโบกไม้ขนไก่ในมือแรงขึ้นแล้ว เดินผ่านอยู่ระหว่างกลุ่มผู้หญิงสิบกว่าคนที่กำลังเต้นระบำ ถ้ามองเห็นอะไรขัดตานิดเดียวก็ใช้ไม้ขนไก่ตีทันที ลงมือค่อนข้างหนัก ปากก็บ่นด่าไม่หยุด
“…ทุกคนตั้งใจฝึกให้ข้าหน่อย เฟยหงนั่นมีอะไรดีนักหนา ก็แค่มีมารดาบุญธรรมที่มีคนโอบอุ้ม ถ้าพูดถึงความสามารถจริงๆ ดาวเด่นที่ข้าฝึกในปีนั้นเหนือกว่าตั้งเยอะ พวกพ่อค้าตาถั่ว ไม่น่าเชื่อว่าจะให้หอกลิ่นสวรรค์ของข้าไปเป็นตัวประกอบให้นาง ถุย…”
ข่าวที่กลุ่มพ่อค้าต้องการจะจัดงานเลี้ยงที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทเพื่อฉลองให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋แพร่ออกไปแล้ว ดูจากภาพเหตุการณ์ที่ตรวจค้นป้องกันล่วงหน้า คนที่ตาไม่บอดก็ล้วนดูออก ว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อจะต้องให้เกียรติมาร่วมงานด้วยตัวเองแน่ ดังนั้นพวกพ่อค้าจึงเหมาจ้างคณะระบำที่มีชื่อเสียงของตลาดสวรรค์มาผลัดกันขึ้นเวทีแสดง แต่เฟยหงที่เป็นดาวเด่นของหอมงกุฎงามได้เป็นตัวแสดงหลัก คณะระบำอื่นๆ เป็นตัวแสดงประกอบ ทำให้ท่านแม่สวีโมโหมาก นึกถึงในปีนั้นที่เฟยหงมีสิทธิ์แค่เป็นตัวประกอบให้หอกลิ่นสวรรค์ของนาง แต่จนใจที่ตอนนี้ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่นางก็ยังฝึกคนที่สามารถขึ้นสังเวียนปะทะกับเฟยหงไม่ได้สักคนเลย
…………………………