พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1329 ข้ามาดูเอาสนุกเฉยๆ
เพียงแต่ไม่มีข่าวใดที่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะไปที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท เป็นแค่การคาดเดาของทุกคนเท่านั้น กอปรกับการตรวจค้นอย่างเข้มงวด ไม่ให้นักพรตที่วรยุทธ์เกินระดับบงกชทองเข้าร่วมงานเลี้ยง อีกทั้งยังเป็นงานมงคลของลูกน้องตัวเอง เบาะแสต่างๆ แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นไปได้สูงที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะไปร่วมงานเลี้ยง
ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง ถึงได้ทำให้ท่านแม่สวียิ่งโมโห งานเลี้ยงที่บุคคลระดับสูงสุดของตลาดสวรรค์จะไปเข้าร่วม แต่ไม่น่าเชื่อว่าหอกลิ่นสวรรค์ของนางจะเป็นได้เพียงตัวประกอบ และสาเหตุที่ทำให้หอของนางตกต่ำกลายเป็นตัวประกอบก็คือเหมียวอี้กับสวีถังหราน จะว่าไปแล้วนางก็สนิทสนมกับสองคนนี้อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ดูแลนางเลยสักนิด ตามหลักการแล้วควรจะช่วยนางข่มหอมงกุฎงามไว้สิถึงจะถูก นางจึงรู้สึกโมโหมาก
แน่นอน นี่เป็นเพียงความคิดเพียงฝ่ายเดียวของนางเท่านั้น แต่สำหรับเหมียวอี้กับสวีถังหรานแล้ว นอกจากจะกินอิ่มแล้วไม่มีงานทำเท่านั้นแหละ จะให้ช่วยข่มหอนางโลมเพื่อช่วยหอนางโลมอีกแห่งงั้นเหรอ? อย่างมากถ้าท่านแม่สวีปั้นดาวเด่นขึ้นมาได้ แล้วให้ช่วยคุ้มครองดาวเด่นให้ก็ยังพอไหว ด้วยฐานะตำแหน่งอย่างพวกเขา จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแข่งขันระหว่างหอนางโลมได้อย่างไร แบบนั้นคงสมองมีปัญหาแล้ว
ทว่าเรื่องนี้ก็พอจะเข้าใจได้ ความคิดที่เกิดจากจุดยืนของตัวเองคนเดียวมักจะเห็นแก่ตัวเสมอ
ก่อนจะถึงตอนเย็นของวันถัดมา บรรดาพ่อค้าของเขตเมืองตะวันออกกับเขตเมืองใต้ก็ทยอยกันมาร่วมงานเลี้ยง ไม่ใช่ว่าผู้จัดการร้านของทุกร้านจะมาร่วมงานได้หมด ถ้าให้ทุกร้านของสองเขตเมืองมาร่วมงานด้วยทั้งหมด ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทก็คงจะแน่นจนหาที่นั่งไม่ได้ ร้านที่ค่อนข้างใหญ่และมีหน้ามีตาหน่อยถึงจะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงได้
รวมๆ แล้วมีคนมาเข้าร่วมงานเลี้ยงหลายพันคน อวิ๋นจือชิวก็บังเอิญได้อยู่ระดับบนเช่นกัน ขนาดของร้านค้านางอาจจะยังไม่ใหญ่พอ แต่ก็มีเครือข่ายเส้นสายอยู่ที่เขตเมืองตะวันออกพอสมควร กอปรกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสัมพันธ์’ กับผู้บัญชาการใหญ่หนิวในปีนั้น ที่เขตเมืองตะวันออกแห่งนี้นางก็นับว่ามีหน้ามีตาพอสมควร
ช่างไม้กับช่างหินมาส่งนาง แค่กลับถูกทหารยามกันไว้ตรงประตูแล้ว ปล่อยให้อวิ๋นจือชิวเข้าไปคนเดียวเท่านั้น ไม่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ และทุกคนก็ไม่สามารถพาผู้ติดตามเข้ามาได้เช่นกัน พ่อค้าแม่ค้ากลุ่มใหญ่พูดคุยกันอยู่บริเวณประตู อวิ๋นจือชิวกำลังยิ้มอย่างเป็นกันเองอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น ราวกับรู้จักทุกคนดีมาก
นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้การค้าของนางมีเอกลักษณ์ บ้านไหนบ้างที่ไม่มีผู้หญิง ไม่ว่าบ้านไหนก็มีผู้หญิงเยอะกว่าทั้งนั้น และผู้หญิงก็ค่อนข้างสนใจสิ่งของประเภทเครื่องประดับด้วย เมื่อไปมาหาสู่กันนานๆ ก็ย่อมรู้จักร้านค้าส่วนใหญ่หมดแล้ว
ผ่านไปไม่นาน หวงฝู่จวินโหรวกับนางก็เจอกันท่ามกลางคนกลุ่มนั้น ทั้งสองยืนพูดคุยหัวเราะอยู่ด้วยกัน ดึงดูดสายตาของคนจำนวนไม่น้อยเลย คนหนึ่งก็หน้าตาสวยโดดเด่นกว่าใคร คนหนึ่งก็มีรูปร่างยั่วราคะแบบที่ยากจะปิดบัง ทั้งสองเป็นผู้หญิงประเภทที่ดึงดูดสายตาผู้ชายได้ง่าย
ถึงแม้ร้านค้าสมาคมวีรชนจะไม่ได้ตั้งอยู่บนเขตเมืองตะวันออกและเขตเมืองใต้ แต่ร้านค้าที่อยู่ระดับบนของตลาดสวรรค์ก็ยังมาได้ ถึงอย่างไรฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็กำลังจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แล้ว ไม่ว่าทั้งสองจะไปรับตำแหน่งที่ไหน แต่ร้านค้าระดับบนก็มีสาขาอยู่แทบจะทุกที่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามาเพราะอะไร
เมื่อโคมไฟสว่าง รอจนกระทั้งบรรดาพ่อค้าแม่ค้ามากันเยอะพอสมควร ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็นำคนมาปรากฏตัวพร้อมกันแล้ว
“ผู้บัญชาการฝู ผู้บัญชาการอิง”
“สามารถไปมาได้อย่างอิสระที่แดนอเวจีและได้คะแนนดี ผู้บัญชาการทั้งสองท่านช่างกล้าหาญ!”
“ยินดีกับผู้บัญชาการทั้งสองท่านที่กำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง ร้านค้าของเขตเมืองตะวันออกและใต้รู้สึกเป็นเกียรติ!”
คำพูดสรรเสริญเยินยอ คำพูดตามมารยาท คำพูดประจบสอพลอไหลกลิ้งมาราวกับกระแสน้ำ
ส่วนฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็อารมณ์สดชื่นแจ่มใสเช่นกันเช่นกัน กุมหมัดคารวะขอบคุณรอบวง
หลังจากกลุ่มคนสนทนาปราศัยกันแล้ว ผู้จัดการเซียวฉีเจินที่รับช่วงต่อภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทจากโจวหรานก็เชิญให้ทุกคนหลีกทาง แล้วยื่นมือเชิญผู้บัญชาการทั้งสองคน “ผู้บัญชาการทั้งสอง เชิญด้านใน!”
“เชิญ!” กลุ่มคนที่หลีกทางให้ก็กล่าวเชิญเช่นกัน
ฝูชิงยกมือขึ้นกดเล็กน้อย “ทุกท่านรอสักครู่ ยังมีอีกคนที่จะมาด้วย”
“ไม่ทราบว่ายังจะมีใครมาอีก?” เซียวฉีเจินถามหยั่งเชิง
ผู้บัญชาการทั้งสองยิ้มโดยไม่ตอบอะไร เพียงยืนรออยู่ตรงประตู ทุกคนส่งสายตาให้กันอย่างเงียบๆ ไม่ต้องบอกก็รู้แล้ว คนที่ทำให้ผู้บัญชาการทั้งสองยืนรอได้ จะต้องเป็นท่านนั้นที่ตำหนักคุ้มเมืองแน่นอน
ถึงแม้จะไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามาจัดงานที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทอีก มีบทเรียนก่อนหน้านี้แล้ว กลุ่มผู้จัดการร้านก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น กังวลว่างานเลี้ยงดีๆ จะไม่มีอยู่จริง ท่านนั้นเรียกได้ว่าลงดาบกับร้านค้าของตลาดสวรรค์อย่างไม่ปรานีเลยสักนิด ไม่สนว่าเจ้าจะมีใครหนุนหลัง ไม่มีใครที่เขาไม่กล้าฆ่า คิดไปคิดมาก็อกสั่นขวัญแขวน
รออยู่ไม่นาน คนจำนวนหนึ่งจากตำหนักคุ้มเมืองก็ถลันตัวเข้ามาแล้ว ผู้ที่นำหน้ามาก็คือเหมียวอี้ สวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวติดตามอยู่ทางซ้ายและขวา เหยียนซิว หยางชิ่ง ไห่ผิงซินตามอยู่ข้างหลัง ส่วนหยางเจาชิงก็เฝ้าอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมือง
พอเหยียนซิวเหยียบลงพื้น ก็กวาดสายตามองกลุ่มคนที่อยู่รอบข้างอย่างช้าๆ ส่วนหยางชิ่งจะสำรวจปฏิกิริยาของทุกคนเช่นกัน
“ผู้บัญชาการใหญ่!” ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋รีบก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ
“ผู้บัญชาการใหญ่!” กลุ่มพ่อค้ารีบกุมหมัดคารวะตามเช่นกัน ในน้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยคึกคักเหมือนก่อนหน้านี้ เปลี่ยนเป็นจริงจังเรียบร้อยขึ้นนิดหน่อย
เสียงพูดคุยหัวเราะคิกคักรอบๆ ก็เงียบลงแล้วเช่นกัน ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวซี้ซั้วแม้แต่คนเดียว อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวสบตากันแวบหนึ่งเหมือนรู้ใจ พบว่าพอเหมียวอี้ปรากฏตัว ก็ส่งอิทธิลพลต่อกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในงานมากพอสมควร บรรยากาศเฉลิมฉลองในงานหายไปในรวดเดียว ทุกคนเปลี่ยนเป็นสำรวมแล้ว
เหมียวอี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคน ลักษณะท่าทางน่าเกรงขาม โดดเด่นเหมือนนกกระเรียนฝูงไก่ มาดของวีรบุรุษแสดงออกมาอย่างสะดุดตา ทำให้หวงฝู่จวินโหรวทั้งรักทั้งแค้น เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว คำพูดตัดสัมพันธ์ของเหมียวอี้ในปีนั้นทำให้นางเจ็บปวดมากจริงๆ นางไม่ถึงขั้นทนไม่ไหวจนต้องทุ่มเทฝ่ายเดียวอีก กำลังรอให้เหมียวอี้พูดจาอ่อนโยนยอมแพ้มาตลอด ตอนหลังนางจึงเล่นตามสถานการณ์เช่นกัน นางถึงขั้นจงใจหลอกใช้เซี่ยโห้วหลงเฉิงให้มาปลุกปั่นเหมียวอี้ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะใจแข็งเหมือนหิน ทำอย่างไรก็ไม่ติดต่อนางอีกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำพูดคำจาที่อ่อนโยนอะไรทั้งนั้น
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋อดไม่ได้ที่จะสบตากัน ตอนที่ทั้งสองมาถึงงานทุกคนก็ยังคึกครื้นมากอยู่เลย แต่พอเหมียวอี้ปรากฏตัว ก็ไม่มีใครกล้าหายใจแรงสักคน นี่ก็คือความแตกต่าง สำหรับทั้งสองคนที่กำลังจะได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ พวกเขานับว่าได้เห็นแล้วว่ามาตรฐานของผู้บัญชาการใหญ่เป็นอย่างไร แต่ก็เป็นเรื่องยากมากหากทั้งสองคิดจะทำให้ได้ถึงมาตรฐานนี้ นอกเสียจากทั้งสองจะหัวแข็งกล้าสังหารหมู่พวกพ่อค้าของตลาดสวรรค์เหมือนเหมียวอี้ แต่นั่นคือวิธีการเล่นที่ไม่ห่วงชีวิต
ส่วนไห่ผิงซินก็มองสำรวจรอบๆ อย่างแปลกใจ เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นฉากที่ใหญ่โตขนาดนี้ ถึงแม้จะเคยได้ยินเรื่องที่เหมียวอี้ทำที่นี่มาก่อนแล้ว และรู้ด้วยว่าเหมียวอี้เป็นพี่ใหญ่ของดาวเทียนหยวน แต่นางก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมากมาขนาดนี้เห็นเหมียวอี้แล้วกลัวเหมือนหนูเห็นแมว
เจ้าหมอนี่น่ากลัวขนาดนี้เชียวเหรอ? ยามปกตินางเรียกได้ว่าไม่สนใจใยดีเหมียวอี้ เพราะนางคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นตัวประกันที่เหมียวอี้จับไว้ใช้บีบมารดาตัวเอง
สำหรับภาพเหตุการณ์นี้ สวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวเงียบงัน ปฏิกิริยาของทุกคนคือสิ่งที่พวกเขาคาดเดาไว้อยู่แล้ว
เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ แล้วก็หยุดอยู่บนใบหน้าฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ จากนั้นเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้ม “ได้ยินว่าพวกพ่อค้าจัดงานเลี้ยงเพื่อฉลองให้กับผู้บัญชาการทั้งสอง ข้าเลยมาดูเอาสนุกสักหน่อย คงไม่ถือว่ารบกวนใช่มั้ย?”
“ผู้บัญชาการใหญ่มาได้ก็นับเป็นเกียรติของพวกเราแล้ว เชิญด้านในขอรับ!” ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋หันตัวหลีกทางให้พร้อมกัน แล้วยื่นมือเชิญ
กลุ่มคนที่ล้อมตรงนี้อยู่รีบแยกออกเป็นสองฝั่งอย่างรวดเร็ว หลีกทางให้เรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางสายตาของกลุ่มคน เหมียวอี้เดินเบิกทางอยู่ข้างหน้า คนอื่นๆ ทยอยกันเดินตามหลัง
ทะเลสาบก็ยังเป็นทะเลสาบแห่งเดิม ตึกศาลาบนทะเลสาบก็ยังตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม เพียงแต่ผ่านมาหลายปีแล้วจึงปรับปรุงซ่อมแซมไปหลายครั้ง สะพานทั้งโค้งทั้งเรียบที่อยู่โดยรอบยังคงเชื่อมต่อกับรอบด้านเหมือนเดิม
กำลังเป็นฤดูกาลที่ดี ระหว่างใบบัวสีเขียวหยกบนทะเลสาบมีดอกบัวหลากสีโผล่พ้นโคลนตม บางครั้งก็มีกบกระโดลงน้ำ ในระหว่างนั้นมีโคมไฟหลากสีประดับตกแต่งลอยอยู่ มันลอยเคลื่อนไหวช้าๆ ตามสายลม เกลื่อนกลาดสอดคล้องกับหมู่ดาวบนท้องฟ้า เป็นทิวทัศน์ที่งดงามน่าหลงใหล ระหว่างตึกศาลากลางทะเลสาบมีเสีงดนตรีไพเราะบรรเลงต้อนรับแขก
ผู้หญิงหลายคนที่สวมชุดนางในแบบกระโปรงผ้ามุ้งบางถือโคมไฟนำทางอยู่บนสะพาน
จู่ๆ ประตูทั้งสี่ด้านบนสิ่งปลูกสร้างหลักใจกลางทะเลสาบก็เปิดออก โคมไฟกลางทะเลสาบส่องสว่างขึ้นในชั่วพริบตาเดียว มองปราดเดียวก็เห็นถึงความโอ่อ่าตระการตาในนั้น
รูปแบบด้านในมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ลานระบำตรงตั้งอยู่กลางน้ำที่ใสแจ๋ว รอบๆ ลานระบำถูกขุดจนว่าง มีน้ำทะเลสาบไหลผ่าน โคมไฟหลากสีลอยบนผิวน้ำ ด้านบนเป็นสะพานหยก
กลุ่มนางระบำกำลังเต้นระบำต้อนรับแขกอยู่กลางลานระบำ
พอเข้ามาข้างใน เหมียวอี้ก็ขึ้นไปนั่งบนแท่นสูงสุดที่เป็นตำแหน่งหลัก หยางชิ่งกับเหยียนซิวยื่นอยู่ข้างหลัง ทั้งสองยังคงสำรวจประเมินทุกคนที่อยู่ในงาน เหมือนไม่อยากพลาดรายละเอียดอะไรไป ส่วนไห่ผิงซินก็ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ รับหน้าที่รินสุราให้
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ไห่ผิงซินก็ไม่ถึงขั้นชักสีหน้าใส่เหมียวอี้
หลังจากทุกคนที่อยู่ด้านนอกนั่งลงแล้ว เหล่านางระบำบนลานระบำก็ถอยออกไป เปลี่ยนเป็นสาวงามคนหนึ่งร้องเพลงเสียงเบา เสียงดนตรีก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลเช่นกัน ไม่รบกวนเสียงสนทนาในงานเลี้ยง
กลุ่มคนประจบประแจงเหมียวอี้ก่อน จากนั้นถึงได้สรรเสริญตัวละครหลักอย่างฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋
เหมียวอี้ยกจอกสุราดื่มแสดงความยินดีกับทั้งสอง ขณะที่ทุกคนพูดคล้อยตาม ก็มองดูสุราในจอกอย่างระแวงเล็กน้อย กังวลว่าจะมีการแสดงบทวางยาพิษซ้ำเหมือนในปีนั้น มองดูคนที่อยู่รอบกายอย่างเงียบๆ มีคนแข็งใจดื่มลงไปแล้ว บางคนยกแขนเสื้อขึ้นมาบังแล้วเก็บสุราเข้าในกำไลเก็บสมบัติ ท่วงท่าในการดื่มสุราค่อนข้างสุภาพมีวัฒนธรรม
หวงฝู่จวินโหรวมีสิทธิ์อยู่ในสถานที่นี้ด้วย แต่อวิ๋นจือชิวกลับนั่งมองอยู่ไกลๆ ในศาลาที่อยู่รอบนอกสิ่งปลูกสร้างหลัก
หลังจากสาวงามที่ร้องเพลงและนางระบำถอยออกจากลานไปแล้ว สตรีชุดแดงคนหนึ่งก็ลอยออกมาจากบนตึกศาลา นางสะบัดเส้นผ้าแพรสีแดงระบำเหาะขึ้นเหาะลงอยู่กลางอากาศ สวยงามน่ามองมาก ทำให้คนตกตะลึงในความงดงามอ่อนโยน ชั่วพริบตานั้นก็ได้ดึงดูดสายตาของทุกคนแล้ว
พอนางเหยียบลงพื้น เส้นผ้าแพรสีแดงทางซ้ายและขวาก็สะบัดพลิ้วราวกับสายรุ้ง แล้วก็หมุนตัวเบาๆ เส้นผ้าแพรสีแดงสองเส้นม้วนครอบตัวนางไว้ราวกับพายุหมุน แล้วก็หยุดอย่างกะทันหัน ก่อนจะลอยลงมา ม่านสีแดงที่พันรอบกายตกลงพื้นอย่างช้าๆ สาวงามที่ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงกลางปรากฏตัวทีละนิด แล้วหันหน้ากลับมาอย่างอ่อนช้อย ชำเลืองมองเหมียวอี้ที่อยู่ด้านบน ดวงตางามราวกับคลื่นน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ใสสะอาดน่าประทับใจ
เป็นการชำเลืองสายตาที่งามล่มเมืองจริงๆ เป็นยอดหญิงงามในหมู่มนุษย์!
“ดี!” จู่ๆ ก็มีเสียงกล่าวชมจากคนในงานดังเป็นแถบๆ ตามด้วยเสียงถอนหายใจอย่างตกตะลึง
แค่ขึ้นเวทีก็ทำให้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจแล้ว เหมียวอี้ก็จ้องนางพลางยกจอกสุราขึ้นมาจ่อปากดื่มอย่างเนิบนาบเช่นกัน ของสวยงามใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น
ระหว่างซอกหน้าต่างของตึกชั้นบน ท่านแม่สวีกำลังกะเทาะเปลือกถั่วอย่างช้าๆ พอเหลือบมองความเคลื่อนไหวด้านล่างที่กำลังดึงดูดสายตาผู้ชม นางก็กลอกตามองบนทันที ราวกับกะเทาะถั่วแล้วเจอหนอน เอียงหน้า “ถุย” ทิ้งแล้ว
“จันทร์กระจ่างมีมาตั้งแต่ยามใด ยกจอกสุราขึ้นถามฟ้า มิอาจรู้ว่าวิมานบนสวรรค์ ณ ยามนี้เป็นปีใด ข้าใคร่โดยสารวายุกลับไป แต่เกรงกลัววิมานหยกอันงดงาม ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว ร่ายรำเพื่อสร้างเพียงเงาเสมือน ไหนเลยเทียบได้กับโลกมนุษย์…”
ทว่าเมื่อสตรีด้านล่างสะบัดแขนเสื้อสีแดง เริ่มเปล่งเสียงร้องเคล้าเสียงดนตรีประกอบ ก็ข่มระงับเสียงชมและความเคลื่อนไหวทุกอย่างทันที ท่านแม่สวีที่กำถั่วมาจ่อตรงปากก็อึ้งเช่นกัน มองดูสตรีที่เต้นระบำร้องเพลงเดี่ยวด้านล่างอย่างตะลึงค้าง
“ผู้หญิงคนนี้ดูคุ้นตานิดหน่อยนะ” เหมียวอี้หันกลับมาถ่ายทอดเสียงถาม
หยางชิ่งที่อยู่ด้านหลังถ่ายทอดเสียงตอบทันทีว่า “ผู้หญิงคนนี้ชื่อเฟยหง เป็นดาวเด่นของหอมงกุฎงาม และเป็นยอดพธูของทั้งตลาดสวรรค์เช่นกัน เป็นอันดับหนึ่งของทั้งอาณาเขตดาวนี้ มีขุนนางระดับสูงมากมายส่งคนมาเชิญไปทำการแสดงแม้จะอยู่ไกล นายท่านอาจจะลืมไปแล้ว ในปีนั้นนางเพิ่งจะขึ้นเวทีครั้งแรกก็ได้แสดงในภัตตาคารนี้แล้ว แต่บังเอิญประสบเหตุการณ์ที่นายท่านสังหารหมู่ ในปีนั้นนางเพิ่งอายุสิบห้าปี ยังไม่เติบโตเต็มที่ ไม่ได้มีเสน่ห์เท่าตอนนี้ ตอนหลังนางนับว่าดวงดีมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ออกไปแสดงข้างนอกแล้วได้รับความโปรดปรานจาก ‘แม่เฒ่าลวี่’ ถูกแม่เฒ่าลวี่รับเป็นบุตรสาวบุญธรรม แบบนี้ถึงไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง ไม่อย่างนั้นคนที่สวยขนาดนี้คงโดนเด็ดไปนานแล้ว จะยังโด่งดังจนถึงตอนนี้ได้ยังไง”
…………………………