พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1331 ขออภัยที่ไม่อาจทำตามคำสั่ง
เมื่อเห็นเขาไม่แสดงความเห็นอะไร ไห่ผิงซินก็เป็นฝ่ายถอยหลังออกไปเองแล้ว
คนที่อยู่ข้างล่างจึงฮึดกว่าเดิมทันที
“เฟยหง อย่าให้ผู้บัญชาการใหญ่รอนานเชียวนะ!”
“อย่าบอกนะว่าแค่ถือกาสุราให้ผู้บัญชาการใหญ่ก็ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ยุติธรรมแล้ว?”
“ท่านแม่เฝิง หอมงกุฏงามของพวกท่านทำเกินไปแล้วนะ”
ชัดเจนมากว่ามีคนหลุ่มหนึ่งกำลังจับเฟยหงขึ้นไปย่างบนไฟ อยากจะดูเอาสนุก ปกติเวลาทุกคนจะให้เฟยหงดื่มสุราคำนับ เฟยหงก็จะไม่ไว้หน้าและปฏิเสธอ้อมๆ เห็นแก่คนที่หนุนหลังนาง ทุกคนจึงไม่สะดวกจะบังคับ ตอนนี้มีคนที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินโผล่มาแล้ว พวกเขาอยากจะเห็นเหมือนกันว่าเฟยหงจะทำอย่างไร มีบางคนหวังจะให้เหมียวอี้กับแม่เฒ่าลวี่มีเรื่องกันสักหน่อย
ผู้บัญชาการใหญ่จ้องเฟยหงโดยไม่ปฏิเสธ สื่อความหมายว่าให้คอยรับใช้ ท่านแม่เฝิงที่อยู่บนชั้นลอยมองดูภาพเหตุการณ์ด้านล่างอย่างร้อนใจ นางกลัวเหมียวอี้จริงๆ ถามหน่อยว่ามีร้านค้าไหนในตลาดสวรรค์ที่ไม่กลัวเหมียวอี้บ้าง เฟยหงประนมมือไหว้ข้างล่างไม่หยุด
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ทุกคนเฝ้าคอยตัวเองคนเดียว เฟยหงที่หัวเดียวกระเทียมลีบจำต้องหันกลับและเดินขึ้นไปอีกรอบ ไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดียวกับไห่ผิงซินก่อนหน้านี้ ถือกาสุรามารินในจอกสุราที่วางอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้จนเต็ม จากนั้นก็ยืนเก็บมืออยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
“ดี!”
กลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างส่งเสียงฮือฮาอีกครั้ง เมื่อมีผู้หญิงปรากฏตัวท่ามกลางกลุ่มผู้ชายในสถานบันเทิง ผู้หญิงคนนั้นก็จะต้องกลายเป็นเป้าหมายที่เรียกเสียงฮือฮา การเชิญชวนดื่มเหล้า การเล่นในวงเหล้าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือสันดานที่เลวร้ายของผู้ชาย เป็นเรื่องที่ปกติสุดๆ
พิธีกรที่คุมงานส่งสัญญาณมืออีกครั้ง มีสาวงามชุดขาวอีกสี่คนปรากฏตัวทันที พวกนางจับคู่เต้นระบำเคล้าเสียงเพลง ได้เสน่ห์รสชาติไปอีกแบบ
ท่านแม่เฝิงที่อยู่บนชั้นลอยโล่งอก ไม่นานพิธีกรก็วิ่งขึ้นมาจัดลำดับการแสดงใหม่ หอมงกุฏงามสามารถพักได้แล้ว
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ลูกค้าขาจรที่มาจากดาราจักรรอบด้านยังคงสัญจรไปมาตามถนนที่ตลาดสวรรค์ไม่หยุด พนักงานของร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ยังคงผลัดเวรกันมารับลูกค้าไม่หยุด โคมไฟบนทะเลสาบในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทยังคงโชติช่วง มัวเมาในเงินทอง ไม่รู้ว่าในคืนหนึ่งใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองไปเท่าไรแล้ว แค่ค่าใช้จ่ายสำหรับงานนี้งานเดียวก็อาจจะเป็นจำนวนเงินที่นักพรตยากจบางคนนใช้เวลาทั้งชีวิตหาก็หาไม่ได้
นางระบำหลายกลุ่มในลานระบำ หลังจากถอยออกจากลานระบำแล้วก็ยังไม่ออกไปไหน แต่แยกย้ายกันมานั่งดื่มสุราเป็นเพื่อนแขกตามโต๊ะที่อยู่รอบๆ ทำให้แขกสนุกสนานที่สุด ไม่นานก็โอบกอดกัน ภาพชายหญิงที่คลอเคลียกันกำเริบเสิบสานทั่วทั้งงาน บางคนที่ทนไม่ไหวแล้วมือไม้อยู่ไม่สุขก็มี
มีบางคนถือโอกาสยุให้เฟยหงกับผู้บัญชาการใหญ่หนิวนั่งดื่มสุราด้วยกัน ทว่าครั้งนี้เฟยหงไม่ยอมถอยให้ นางรักษาระยะห่างกับเหมียวอี้อยู่ตลอด นางคือคนขายศิลปะของหอนางโลม ไม่ทำเรื่องขายตัวนั่งดื่มสุรากับแขก ที่คอยยืนถือกาสุราให้ข้างกายก็นับว่ายอมถอยให้มากที่สุดแล้ว
เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ไม่บีบบังคับเช่นกัน เขารู้ว่าอวิ๋นจือชิวก็มาร่วมงานนี้ด้วย ถ้าไปโอบกอดคลอเคลียกับหญิงอื่นต่อหน้าฮูหยินตัวเอง กลับไปจะไม่แย่หรอกเหรอ?
ทว่าตอนที่สนุกสนานได้ครึ่งทาง เหมียวอี้ก็ถูกความงดงามของผู้หญิงในงานเลี้ยงยั่วยวนใจ ตอนที่รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือและเพิ่งเอียงหน้ามองไปทางเฟยหงที่อยู่ข้างกาย จู่ๆ เข้าก็กระตุกคิ้วเล็กน้อย พบว่าต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายปั่นป่วน เพลิงจิตเคลื่อนไหวเองโดยไม่ได้ควบคุม แผ่ซ่านอยู่ในร่างกาย กำลังเผาไหม้อวัยวะภายในร่วมทั้งส่วนต่างๆ ทั้งร่างกายจนเกิดควันลึกลับ
เหมียวอี้แอบตกใจ เคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเองเป็นอย่างไร มีหรือที่เขาจะไม่รู้ นี่เขากำลังโดนเคล็ดวิชาของตัวเองย้อนทำร้ายเพราะโดนกระตุ้นจากพิษ วิชาอัคนีดารากำลังถอนพิษให้ด้วยตัวของมันเอง
อย่าบอกนะว่าฝ่ายตัวเองวินิจฉัยเหตุการณ์ผิด มีคนต้องการจะลอบสังหารตนจริงๆ? เขารีบตรวจดูสภาพในร่างกายตัวเอง เห็นวัตถุเล็กละเอียดที่เพลิงจิตกำลังกำจัดแล้ว วัตถุสีเหลืองส้มที่มีแสงเล็กน้อยจนแทบสังเกตเห็นไม่ได้กำลังแทรกซึมอยู่ในร่างกายตัวเองแล้ว
สำหรับเหมียวอี้ที่ใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกตนมานานหลายปี ของสิ่งนี้ไม่ได้แปลกตา เป็นราคะที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของลูกแก้วพลังปรารถนานั่นเอง
จำนวนก็ไม่ได้เยอะ ไม่ได้ทำให้ความคิดจิตใจของเขาปั่นป่วน เป็นจำนวนที่เหมือนจะไม่ได้ต้องการลอบสังหารเขา แต่ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นราคะของเขาได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ ของสิ่งนี้เข้ามาในร่างกายเขาได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะไม่สังเกตแห็นเลยสักนิด ที่สำคัญก็คือของสิ่งนี้เลือนรางลวงตา จะไม่ออกฤทธิ์เหมือนพิษโดยทั่วไป ถ้าโดนของสิ่งนี้ในจำนวนไม่เยอะก็จะไม่รู้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชาฝึกตนของเขากระตุ้นตัวเองจนทำให้เขาสนใจ เขาก็ไม่สังเกตเห็นเลยจริงๆ
ไม่รอให้วิชาอัคนีดาราแก้ปัญหาเองอย่างช้าๆ หลังจากเขารีบร่ายอิทธิฤทธิ์กำจักสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ก็กวักมือไปทางข้างหลัง
หยางชิ่งไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร จึงก้าวขึ้นมาอยู่ข้างกายเขา แล้วโน้มศีรษะเข้าไปฟังคำสั่งข้างๆ หู
เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อยแล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าโดนพิษแล้ว คนที่กินอาหารอาจจะโดนพิษแล้วเหมือนกัน”
หยางชิ่งแอบตกใจ แต่ดูจากท่าทางของเหมียวอี้แล้วก็ไม่เหมือนคนที่โดนยาพิษ จึงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ของที่นายท่านกิน ก่อนจะส่งมาให้ก็จัดคนมาทดลองกินก่อนทั้งนั้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรถึงได้นำมาวาง ขนาดคนที่ส่งอาหารมาให้ก็ยังเป็นคนของพวกเราที่ปลอมตัวมาเลย น่าจะไม่มีปัญหาอะไร จะโดนพิษได้ยังไง?”
คนในงานยังคงเพลิดเพลินกับบทเพลง สุราเลิศรสกับอาหารชั้นดีมีมาวางเต็มที่ มีคนไม่น้อยสังเกตเห็นแล้วว่าเหมียวอี้กับหยางชิ่งที่อยู่ด้านบนกำลังกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังปรึกษาอะไรกันอยู่ บางคนแอบระแวดระวัง คงจะไม่มีการนองเลือดอีกใช่มั้ย? พวกเขาโดนเหมียวอี้เล่นงานจนเกิดปมในใจแล้ว
“ข้าจะไม่รู้เชียวเหรอว่าตัวเองโดนยาพิษหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม
หยางชิ่งบอกว่า “นายท่านอดทนไว้ก่อน อย่าให้คนอื่นมองออกถึงพิรุธอะไร ข้าจะแอบระดมกำลังพลคุ้มกันส่งนายท่านกลับตำหนักคุ้มเมืองไปคิดหาทางถอนพิษ”
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ข้ารอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ อุบายตื้นๆ พวกนี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เจ้ารู้รึเปล่าว่าข้าโดนพิษอะไร? ข้าโดนราคะที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา จำนวนไม่เยอะหรอก แต่เพียงพอที่จะกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของข้าได้? ทำให้ข้าข่มอารมณ์ตัวเองได้ยาก!” เหมียวอี้กล่าว
“เอ่อ…เรื่องนี้ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ นายท่านกินดื่มมาตั้งนานแล้ว ถ้าโดนพิษราคะนั่นจริงๆ ก็น่าจะอาการกำเริบตั้งนานแล้ว นั่นคือสิ่งที่ทำให้อาการกำเริบในทันที จะรอมาถึงตอนนี้ได้ยังไง?” หยางชิ่งถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “เมื่อครู่ตอนที่เจ้าอยู่ข้างหลังข้า เจ้าได้พบความผิดปกติอะไรข้างกายข้ารึเปล่า? เช่นการกระทำที่ผิดปกติของเฟยหง?”
หยางชิ่งเหล่ตามองเฟยหงแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก พบว่าเฟยหงสงบนิ่งเยือกเย็น พอเห็นพวกเขาสองคนคุยกันก็ไม่แสดงพิรุธใดๆ “ข้ากับเหยียนซิวจับตาดูอยู่ตลอด ไม่กล้ามองข้ามรายละเอียดเล็กน้อย ถ้าของสิ่งนั้นเข้าทางร่างกายนายท่านจากข้างนอก ลำแสงของมันก็ไม่มีทางเล็ดรอดสายตาของพวกเราสองคนไปได้ ทุกการกระทำของเฟยหงก็ถูกจับตาดูไว้ตลอด ไม่ได้พฤติกรรมที่ผิดปกติใดๆ ในระยะที่ใกล้ๆ ขนาดนี้ การกระทำที่ผิดปกติจะหลบผ่านสายตาไปได้ยังไง มิหนำซ้ำนางยังจงใจรักษาระยะห่างกับนายท่านตลอด”
“ถ้าไม่ได้เข้าสู่ร่างกายจากข้างนอก งั้นก็แสดงว่าเข้าผ่านของกินแล้ว” เหมียวอี้กล่าว
“ไม่เคยได้ยินว่าของสิ่งนี้สามารถเก็บรักษาอยู่ในของกินได้ ถ้าใส่ในของกินเกรงว่าจะสลายหายไปทันที” หยางชิ่งคิดไม่ตก
“มันต้องมีสักอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะโดนพิษแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าห้ามข้าแล้วปล่อยให้นางเข้าใกล้ ไม่ใช่ว่าเจ้ามองอะไรออกแล้วหรอกเหรอ?” ในน้ำเสียงเหมียวอี้แฝงอารมณ์โกรธ
คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย! หยางชิ่งจัดระเบียบข้อมูลต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นตรงนี้ แล้วบอกว่า “ถ้าของจำนวนเล็กน้อยแบบนี้เข้าสู่ร่างกาย ก็แทบจะไม่สังเกตเห็นเลย ต่อให้กำเริบแต่ก็ยากที่จะสังเกตเห็น ปริมาณเล็กน้อยจนไม่แสดงอาการเหมือนเวลาโดนพิษตามปกติ ตอนที่นายท่านสังเกตเห็นความผิดปกติ ยืนยันได้มั้ยว่าเป็นก่อนหรือหลังที่เฟยหงเข้าใกล้?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้ากับข้าคิดไปในทางเดียวกันแล้ว ข้าแน่ใจได้ว่าเป็นหลังจากตอนที่นางเข้าใกล้ นางเข้ามาอยู่ใกล้ข้างกายข้า แล้วก็มีของแบบนี้โผล่มา สอดคล้องกันมากจริงๆ”
หยางชิ่งเข้าใจความคิดของเขา พอจะจับทางของเรื่องนี้ได้แล้วเช่นกัน จึงบอกว่า “นายท่านเล่นตามน้ำไปก่อน ข้าน้อยจะทำให้จบลงด้วยดี! แล้วอีกอย่าง ในเมื่อนายท่านสังเกตเห็นและแก้พิษชนิดนี้ได้ ในภายหลังก็ลองตรวจสอบรายละเอียดสิ ดูว่าของนั้นอยู่ในสุราหรืออยู่ในอาหาร จะได้รู้ว่าโดนพิษนี้ได้ยังไง”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ
ตอนนี้หยางชิ่งถึงได้ลุกขึ้น แต่ไม่ได้ถอยกลับไปตำแหน่งเดิม จงใจเดินเข้าไปใกล้ๆ เฟยหง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าผู้บัญชาการใหญ่จะได้ออกมาสนุกสักครั้ง เหตุใดแม่นางเฟยหงจึงดึงดันปฏิเสธ แบบนี้อาจจะไม่ไว้หน้าผู้บัญชาการใหญ่เกินไปแล้ว ทำไมไม่นั่งข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ล่ะ นั่งดื่มสุราข้างกายผู้บัญชาการใหญ่สักสองสามจอกเพื่อแสดงความเคารพไม่ได้เหรอ”
คนด้านล่างสังเกตเห็นสถานการณ์ของด้านบนแล้ว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไร
เฟยหงหันตัวมา ย่อกายเล็กน้อยเพื่อคำนับหยางชิ่ง แล้วฝืนยิ้มพร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่สูงส่งดุจนั่งอยู่บนก้อนเมฆ ผู้น้อยเป็นคนเต้นกินรำกิน ไม่บังอาจทำลายชื่อเสียงอันดีงามของผู้บัญชาการใหญ่เด็ดขาด นายท่านได้โปรดเข้าใจ” นี่คือการปฏิเสธอย่างอ้อมๆ แล้ว
หยางชิ่งทำหน้าเข้มแล้ว “เฟยหง นี่เจ้ากำลังไม่ไว้หน้าผู้บัญชาการใหญ่นะ! แล้วถ้าจะให้เจ้ารับใช้นายท่านให้ได้เจ้าจะทำยังไงล่ะ?”
“เฟยหงขายศิลปะไม่ได้ขายร่างกาย ไม่เคยดื่มสุราแนบชิดกายใครมาก่อน ขออภัยที่ไม่อาจทำตามคำสั่ง” เฟยหงตอบ
“เฮอะ!” หยางชิ่งทำเสียงฮึดฮัด แล้วเดินกลับไปข้างกายเหมียวอี้ โน้มตัวกระซิบข้างหูอีกครั้ง
คนที่อยู่ด้านล่างพอจะเดาเบาะแสอะไรได้นิดหน่อยแลว ผู้บัญชาการใหญ่เหมือยจะเริ่มสนใจเฟยหงเข้าแล้ว แต่กลัวภาพพจน์ตัวเองจะไม่ดี จึงส่งลูกน้องไปบอกแทน สงสัยเมื่อครู่นี้จะปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่
ท่านแม่เฝิงที่อยู่บนชั้นลอยหัวใจกระตุกวูบแล้ว
หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ด้านล่างจ้องมองภาพเหตุการณ์ด้านบน อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในศาลาไกลๆ ก็จ้องมาทางนี้เช่นกัน
เหมียวอี้ที่กระซิบกระซาบกับหยางชิ่งเอียงหน้ามองไปทางเฟยหง จากนั้นหยิบจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมา แล้วลุกขึ้นยืนเสียเลย เขาเดินอ้อมที่นั่งมาถึงข้างกายเฟยหง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “แม่นางเฟยหง มาเถอะ ข้าดื่มคารวะเจ้าหนึ่งจอก!”
“มิบังอาจ!” ครั้งนี้ไม่สะดวกจะหักหน้า ผู้บัญชาการใหญ่มาดื่มคารวะด้วยตัวเองแล้ว เฟยหงทำได้เพียงรีบหยิบจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมาอีกจอก รินสุราให้จอกจนเต็มด้วยตัวเอง แล้วบอกว่า “ผู้น้อยคารวะนายท่าน” พูดจบก็ดื่มก่อนแล้ว
เหมียวอี้ก็ดื่มเช่นกัน แต่ดวงตากลับจ้องใบหน้างามของเฟยหงโดยไม่ละสายตาไปไหน รอจนกระทั่งตอนที่เฟยหงโน้มตัววางจอกสุราและแล้วยืนตัวตรง เขาก็ลงมืออย่างกะทันหัน คว้าข้อมือเฟยหงโดยตรง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ให้แม่นางเฟยหงยืนตั้งนาน เป็นความผิดของข้าเอง มานั่งด้วยกันเถอะ”
“ผู้บัญชาการใหญ่…” เฟยหงขัดขืนอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย
ทว่าเหมียวอี้ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้น ดึงตัวนางมานั่งที่โต๊ะโดยตรง ฝืนดึงนางไว้ให้นั่งคู่กับเขา
เฟยหงพยายามขัดยืนเพื่อจะยืนขึ้นหลายครั้ง แต่กลับโดนเหมียวอี้ยื่นแขนมาโอบเอวบางเอาไว้ กอดเอาไว้ข้างกายอย่างแนบแน่น เท่ากับนางอยู่ในอ้อมกอดของเขาครึ่งตัวแล้ว ร่างงามที่หอมกรุ่นอ่อนนุ่มอยู่ในอ้อมอก โดนร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไว้ ด้วยวรยุทธ์อย่างเฟยหงจะสู้เหมียวอี้ได้อย่างไร นางโดนควบคุมให้อยู่ข้างกายเขาทันที เรียกได้ว่าทำสีหน้าสุดจะทน
เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย! มีคนในงานจำนวนไม่น้อยที่แอบทอดถอนใจ เจ้าเวรนี่ใจกล้าใช้ได้เลย ขนาดบุตรสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่ก็ยังกล้าแตะต้อง
บางคนก็ยิ่งแอบถอนหายใจ หวังว่าเจ้าแซ่หนิวจะไม่ได้คืบแล้วอยากเอาศอกอีก ถ้าผักงามๆ ต้นหนึ่งโดนหมู่ขวิดดัน มันก็จะน่าสะอิดสะเอียนมาก
หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ด้านล่างกัดฟันจนฟันแทบแตก กรอกสุราเข้าปากหลายจอกติดต่อกัน นางพบว่าตัวเองตาถั่วแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเคยเสียตัวให้สัตว์เดรัจฉานแบบนี้ ไม่มีทางบรรยายได้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร
อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ในศาลาไกลๆ พอเห็นภาพนี้แล้วก็โกรธจนหน้าเขียว ถ้าเจ้าเวรนั่นเล่นสนุกด้วยนิดหน่อยก็ยังพอทน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะชิงตัวผู้หญิงมาโอบกอดต่อหน้าฝูงชน ไม่เห็นหัวข้าเลยรึไง? นางแทบจะเกิดอารมณ์ชั่ววูบถือดาบเข้าไปฟันให้ตาย
แต่นางก็ไม่ได้โง่ พอได้สบตากับหยางชิ่งที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ ในใจก็ยิ่งรู้สึกว่ามีจุดที่น่าสงสัย หวงฝู่จวินโหรวไม่รู้สถานะของหยางชิ่ง แต่นางกลับรู้ ความสัมพันธ์ของเวยเวยกับเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ หยางชิ่งจะเป็นฝ่ายเสนอตัวช่วยเหมียวอี้ทำเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร?
พอมองดูหยางชิ่งที่มีท่าทางสงบนิ่งใจเย็นข้างๆ อีก นางก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสงสัย จึงพยายามข่มความเดือดดาลในใจเอาไว้ เตรียมจะดูว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่
หารู้ไม่ว่าหยางชิ่งสงบเยือกเย็นแค่ภายนอก ที่จริงแล้วในขณะที่มองดูเหมียวอี้ฝืนดึงเฟยหงมากอด ในใจกลับรู้สึกราวกับมีคลื่นโหมซัดสาด
…………………………