พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1335 แม่เฒ่าลวี่มาแล้ว
“งั้นจะทำยังไงล่ะ? เก็บสายลับไว้ข้างกาย ใครจะไปรู้ว่าในภายหลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง?” หยางเจาชิงถามอย่างตกใจ
เหมียวอี้ตบศีรษะตัวเอง รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย “แล้วเจ้าผีซ่อนแอบพวกนั้นจะจับตาดูข้าทำไม หรือว่าค้นพบความลับอะไรของข้าเข้าแล้ว?”
หยางชิ่งตอบว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็สงสัยบ้างเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก ถ้าค้นพบอะไรแล้วจริงๆ อาศัยความแข็งแกร่งที่ไม่ต้องเกรงกลัวอะไรของอีกฝ่ายก็ไม่จำเป้นต้องเสียเวลากับพวกเราสามพันกว่าปีเลย เกรงว่าคงจะจับนายท่านไปตั้งนานแล้ว ถ้าไม่จับอย่างเปิดเผยก็จับอย่างลับๆ มีวิธีการทำให้นายท่านคายความลับอยู่แล้ว”
เหมียวอี้เงียบงัน หยางชิ่งไม่รู้ว่าตัวเขามีความลับมากเท่าไร เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ความลับบางอย่างก็ควรค่าแก่การให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายเสียเวลาหลายพันปีจริงๆ ทว่าเขาก็ไม่มีทางเอ่ยเรื่องนี้ออกมาได้อีก
หยางชิ่งพูดต่อไปว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ทำได้เพียงคิดไปในทางที่ดี บางทีอาจจะเพียงเพราะว่านายท่านสร้าความเคลื่อนไหวหลายครั้งจนดึงดูดความสนใจของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้าย พวกเขาแค่อยากจะจับตาดูนายท่านเฉยๆ ดูว่าจะสามารถตั้งตารอได้มั้ย ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ การมีเฟยหงคนนี้ยู่ข้างกายก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ พวกเรารู้กำพืดของนางแล้ว เปิดโปงหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว ตอนนี้ศัตรูอยู่ในที่แจ้งพวกเราอยู่ในที่ลับ ในทางกลับกันสามารถใช้ประโยชน์จากเฟยหง ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยพวกเราได้มากก็ได้ แต่ความยุ่งยากอันแรกในตอนนี้ก็คือ เกรงว่าแม่เฒ่าลวี่จะออกหน้าทันที นายท่านจะต้องเตรียมใจรับมือเอาไว้”
แทบจะเป็นภายในวันนั้น ข่าวที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวชิงตัวและครอบครองยอดพธูเฟยหงก็แพร่ไปที่ตลาดสวรรค์แล้ว
การแอบวิจารณ์พูดถึงต่างๆ นาๆ คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ประมาณว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างไร ผู้บังคับบัญชาก็เป็นอย่างนั้น ตอนแรกมีสวีถังหราน ตอนหลังก็มีหนิวโหย่วเต๋อ ที่จริงตอนหลังทุกคนต่างก็รู้กันหมดแล้ว ว่าการที่สวีถังหรานชิงตัวเสวี่ยหลิงหลงได้ ก็เป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อคอยให้ท้ายปิดตาข้างเดียว ไม่อย่างนั้นสวีถังหรานก็ไม่มีความกล้าที่จะมาตั้งตัวเป็นศัตรูกับหวงฝู่จวินโหรวหรอก
สิ่งที่ทุกคนต้องการเห็นในตอนนี้ก็คือ หนิวโหย่วเต๋อจะแต่งงานรับเฟยหงเป็นฮูหยินเหมือนสวีถังหรานหรือไม่
บางคนเคยเห็นหน้าตาและการเต้นระบำของเฟยหงมาแล้ว และเคยเห็นถึงฝีมือของเฟยหงเช่นกัน เรียกได้ว่าตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ พอได้ยินข่าวว่าเฟยหงถูกครอบครองแล้ว พวกเขาก็เคียดแค้นชิงชังมากจริงๆ อยากจะวิ่งไปสู้ตายกับโจรน่ารังเกียจหนิวโหย่วเต๋อ ทว่าเมื่อมองเห็นตำหนักคุ้มเมืองที่เงียบขรึมลึกลับ เห็นทหารยามที่ดุเหมือนเสือเฝ้าป้องกันอย่างแน่นหนา พวกเขาก็หดหู่ท้อใจอีก เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจอิทธิพลที่ทำให้รู้สึกไร้ความสามารถแบบนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้าจากไปเงียบๆ ตั้งแต่นี้ไปคนที่ปวดใจก็ได้แต่จากไปไกลสุดขอบฟ้า
คนที่ปวดใจก็ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินทอง นึกถึงตอนแรกที่ยอมทุ่มเงินที่สะสมมาหลายปีอย่างไม่เสียดายเพื่อจะได้ดูการแสดงของเฟยหงสักครั้ง แค่ต้องการดึงดูดความสนใจจากเฟยหงและให้นางคุยกับตัวเองแค่สองสามคำเท่านั้น ไม่มีเงินทองจะไปแย่งชิงอีก หลังจากเก็บเงินได้อย่างยากลำบาก ก็มาแสร้งทำตัวเป็นลูกค้าที่ร่ำรวย
คนแบบไหนที่ร่ำรวยจริงๆ คนแบบไหนที่แสร้งร่ำรวย ท่านแม่เฝิงเป็นแมวที่กลิ้งอยู่บนวงการบันเทิงนี้ แค่มองปราดเดียวนางก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว คนที่มีเงินและอำนาจจริงๆ จะไม่ทำแบบนี้ เพียงแต่อ่างและโถที่ใส่เงินไว้เต็มเพื่อให้นางตักตวง นางก็ย่อมไม่ไปเปิดโปงอยู่แล้ว ยิ้มรับแขกเหมือนอีกฝ่ายเป็นนายท่าน อยากจะให้มีคนแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
แต่ก็มีบางคนที่ไม่รู้จักอ่านสถานการณ์ ไม่มีทั้งอำนาจอิทธิพล ไร้ทั้งเงินทั้งความสามารถ แต่ยังถ่อมาสารภาพรักกับเฟยหง อธิษฐานความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ต่อฟ้า ให้เฟยหงไปกับเขา บอกว่าในภายหลังจะต้องมีเงินมีอำนาจและทำให้เฟยหงมีความสุขแน่นอน หวังว่าจะใช้ความรักทำให้เฟยหงซาบซึ้งได้
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเฟยหงจะคิดอย่างไร ท่านแม่เฝิงคือคนแรกที่ไม่เกรงใจ มาขวางหน้าไว้ก่อนแล้ว
คนที่มีพื้นเพจากหญิงโสเภณีอย่างท่านแม่เฝิง ผู้ชายที่เป็นคนชรา คนหนุ่ม คนใส่เสื้อผ้า คนไม่ใส่เสื้อผ้า ไม่ว่าผู้ชายแบบไหนนางก็เคยเห็นมาแล้วทั้งนั้น คำพูดโอ้อวดใครๆ ก็พูดได้ คนที่มุมานะต่อสู้อย่างไม่เสียดายชีวิตจริงๆ นั้นล้ำค่าและหายาก คนที่ขยันฝ่าฟันแบบนั้นไม่มีทางเอาจิตใจและกำลังมาใช้กับผู้หญิงในตอนที่ยังไม่มีเงินทอง ถ้าฝ่าฟันต่อสู้ได้แล้ว จะพูดจาโง่ๆ แบบนี้ออกได้อย่างไร ใช้ความพยายามอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว รอให้ยืนอยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จแล้ว จะหาผู้หญิงแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น เมื่อมองเฟยหงอีกครั้งความรู้สึกก็อาจจะจืดจางแล้ว
ดังนั้นนางจะยอมให้คนต่ำทรามโง่เง่าแบบนี้มาพาต้นไม้เงินต้นไม้ทองของตัวเองไปได้อย่างไร
เมื่อเปิดประตูมาทำการตกลงซื้อขายของประเภทนี้ นางก็ไม่ได้ล่วงเกินคนอื่นทันทีที่เอ่ยปาก นางเจรจาด้วยเหตุผลก่อน เมื่อล้มเหลวจึงใช้กำลัง พูดจาโน้มน้าวดีๆ ว่านางจะเก็บเฟยหงไว้ให้เขาก่อน รอให้ตอนหลังเขารวยแล้วค่อยนำเกี้ยวเจ้าสาวหลังใหญ่มารับเฟยหงไปย่างมีหน้ามีตา ไม่อย่างนั้นถ้าเขาพาเฟยหงไปตอนนี้ เขาก็ปกป้องเฟยหงไม่ได้อยู่ดี!
มีบางคนไม่ยอมแพ้ บอกประมาณว่าไม่อยากเห็นเฟยหงอยู่ที่นี่อีก อยากจะพาเฟยหงออกไปตอนนี้เลย ใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมต่อไปไม่หยุด แบบนั้นท่านแม่เฝิงย่อมหน้าบึ้งใส่อยู่แล้ว อยากจะพาตัวเฟยหงไปงั้นเหรอ? ก็ได้!
นางจึงเสนอราคาไถ่ตัวที่สูงเสียดฟ้า ถ้าเจ้าเก่งนักก็จ่ายเงินค่าไถ่ตัวเฟยหงมาสิ แล้วค่อยว่ากันว่าตอนหลังจะเอายังไง ถ้าหาเงินมาไม่ได้ก็ไม่ต้องคุยแล้ว
เมือ่เจอกับคนปัญหาอ่อนจริงๆ คุกเข่าต่อท่านแม่เฝิงไม่ยอมลุก แบบนั้นนางก็ไม่เกรงใจแล้ว ส่งคนไปรายงานทางการ ซ้อมให้สาหัสแล้วจับโยนออกไป
พอกลับมาแล้วนางก็ยังต้องบอกเฟยหงอีกว่า พวกผู้ชายไม่มีใครดีสักคน อย่าไปมองว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นจะตายเพื่อเจ้าได้ อยู่ไกลก็ตำหนิ อยู่ใกล้ก็ขัดตา พอได้มากินถึงปากแล้ว กินจนเบื่อแล้วก็จะรู้สึกว่าไม่สำคัญ สักวันหนึ่งก็จะได้ใหม่แล้วลืมเก่า ผู้หญิงเราต้องมีต้นทุนให้พึ่งพาตัวเองได้ ในภายหลังจะได้ไม่ต้องรองรับอารมณ์คนอื่นเยอะ
“หนิวโหย่วเต๋อ โจรสุนัข! ตำหนักสวรรค์ให้เจ้ารับตำแหน่งสำคัญ มอบอำนาจให้เจ้าคุมอาณาเขต แต่เจ้ากลับใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ชิงตัวผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งไปครอบครอง สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องไม่ตายดี…”
นอกตำหนักคุ้มเมือง ชายวัยกลางคนที่ใบหน้างดงาม บนตัวมีกลิ่นสุรา ดื่มจนใบหน้าแดงก่ำ มือข้างหนึ่งถือกาสุรา มือข้างหนึ่งชี้ตำหนักคุ้มเมืองพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ด่าอย่างโกรธแค้น ดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินสัญจรไปมาให้หยุดดูทันที
“บังอาจ!”
เสียงตะโกนที่เกรี้ยวกราดดังขึ้น ทหารสวรรค์หลายสิบคนถลันตัวเข้ามา พวกเขาออกอาวุธพร้อมกัน ล้อมชายวัยกลางคนเอาไว้
ชายวัยกลางคนถือกาสุราอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ชี้รอบวงพร้อมตะโกน “ข้าจะฟ้องเบื้องบนแน่นอน…”
เสียงพูดหยุดชะงัก จู่ๆ ราชาปีศาจกระดูกขาวที่เหาะลงมาจากฟ้าก็รัวดาบฟันอย่างบ้าคลั่ง ฟันจนร่างเขาขาดเป็นสองท่อนทันที ทั้งเลือกทั้งสุราสาดกระจายคาที่
พอสะบัดรอยเลือดทิ้ง ราชาปีศาจกระดูกขาวก็ทำเสียงเหยียดหยาม แล้วสั่งว่า “ถ้ามีพวกบ้าวิ่งมาปล่อยข่าวลืออีก ก็ไม่ต้องพูดมาก ฆ่าเลย!”
“รับทราบ!” กลุ่มทหารเอ่ยรับคำสั่ง
ราชาปีศาจกระดูกขาวเก็บดาบแล้วหันตัวเดินไป ส่วนคนที่เหลือก็เก็บกวาดสถานที่ คนที่ดูอยู่ไกลๆ ส่ายหน้าทอดถอนใจ
ตรงประตูตำหนักคุ้มเมือง ไห่ผิงซินโผล่หน้าออกมาแอบดู ปากกก็เดาะลิ้นไม่หยุด นึกไม่ถึงว่าในบรรดาคนที่ชื่นชอบเฟยหงจะมีคนมากมายที่ไม่กลัวตาย นี่ก็สามวันติดต่อกันแล้ว ในแต่ละวันจะมีคนวิ่งมาหลายคน ถึงขั้นมีคนตะโกนเรียก ‘เฟยหง’ อย่างไม่เสียดายชีวิตไปทางตำหนักคุ้มเมือง แต่โดนประหารตายกลางทาง
ทุกวันเวลานางได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ก็จะวิ่งออกมาดูทันที สิ่งที่ได้เห็นและได้ยินก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความสำคัญของเฟยหงที่อยู่ในใจนาง
ในสวนดอกไม้ของตำหนักหลัง ใต้ศาลาเย็น บนเก้าอี้นอนตัวหนึ่ง เหมียวอี้กำลังนอนเอนกายอยู่บนนั้น แสร้งหยิบม้วนหนังสือโบราณมาพลิกอ่าน แต่ที่จริงกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ ไม่สนใจเสียงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนด่าทอด้านนอก อย่างมากก็แค่ฟังนิดหน่อยว่ากำลังด่าอะไร
เสียงเครื่องประดับหยกดังมา เหมียวอี้เอียงหน้ามองไป
ยอดหญิงงามคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวและคลุมผ้ามุ้งสีดำชั้นนอกปรากฏตัว คอเสื้อกว้างเผยให้เห็นไหปลาร้าที่งามประณีตขาวหมดจด แขนเสื้อกว้างปลิวพลิ้ว ผมงามยุ่งเล็กน้อย ใบหน้างามดุจดอกไม้ เอวบางไหวพริ้ว ก้าวเดินอย่างละมุนละไม ดวงตางามฉ่ำน้ำมองไปรอบๆ พอเห็นเหมียวอี้อยู่ทางนี้ ก็เดินเยื้องย่างเข้ามาทันที ข้างหลังมีสาวใช้หน้าตาน่ารักตามมาอีกสองคน
พอนางปรากฏตัว เงาร่างของเหยียนซิวก็โผล่ออกมาจากแปลงดอกไม้ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ มาเฝ้าอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ เฟยหงที่เดินเข้ามาจ้องประเมินเหยียนซิวครู่หนึ่ง
เหมียวอี้ที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ยกมือขึ้นเล็กน้อย แล้วเหยียนซิวก็หายไปอย่างเงียบๆ อีกครั้ง
“นายท่าน!” เฟยหงนำสาวใช้สองคนมาย่อคำนับด้วยกัน
เหมียวอี้พูดหยอกล้อว่า “เมื่อคืนใช้แรงไปเยอะขนาดนั้น ควรจะผักผ่อนสิถึงจะถูก จะมาตรงนี้ทำไม?” เขาเองก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษคนดีอะไร ถึงแม้จะกำลังปวดหัวเรื่องไปพบหน้าอวิ๋นจือชิว แต่สตรีที่งามเลิศล้ำได้มาอยู่ข้างกาย ส่งมาให้แบบไม่ต้องแลกกับอะไร ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ใช้งาน
เมื่อวานจัดโต๊ะหลายสิบโต๊ะไว้ในตำหนักคุ้มเมือง เชิญลูกน้องกับพวกพ่อค้าที่พอจะมีหน้ามีตามาดื่มสุรามงคล หวงฝู่จวินโหรวไม่ได้มา แม้แต่ของขวัญก็ไม่นำมาให้ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับการประกาศรับเฟยหงเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ เมื่อคืนหลังจากส่งแขกแยกย้ายกันกลับแล้ว ก็ย่อมต้องนัวเนียกันสักยก
ถึงอย่างไรเฟยหงก็เจอกับเรื่องทางโลกเป็นครั้งแรก พอนึกถึงความบ้าระห่ำเมื่อคืนนี้ แก้มสองข้างก็แดงเรื่อ ไม่คุ้นชินกับการสนทนาหัวข้อนี้ นางจ้องม้วนหนังสือโบราณในมือเหมียวอี้ แล้วเปลี่ยนประเด็นพูดคุย “นายท่านมีเรื่องอะไรในใจเหรอคะ?”
สาวใช้นำม้านั่งยาวมาวาง นางนั่งจับเข่าอยู่ข้างหน้าเก้าอี้นอนของเหมียวอี้
เหมียวอี้แกว่งไหวหนังสือในมือพร้อมตอบว่า “กำลังอ่านหนังสือ”
เฟยหงเหล่ตามองแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “นายท่านถือหนังสือกลับหัวแล้วค่ะ”
“เอ่อ…” เหมียวอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง พบว่าถือกลับหัวแล้วจริงๆ จึงพลิกกลับทันที แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ต้องโทษที่คนรักและชื่นชมเจ้าเยอะเกินไป ฆ่าไม่หมดสักที ร่ำร้องโวยวายอยู่ข้างนอกทั้งวัน รบกวนจิตใจข้าแล้ว ข้าไม่ทันระวังเลยถือกลับด้าน” เขารู้สึกอับอายนิดหน่อย
สามารถดึงดูดผู้ชายได้เยอะขนาดนี้ สำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วอย่างนาง นี่ไม่ใช่คำชมที่ดีสักเท่าไร เฟยหงตอบด้วยอารมณ์เยือกเย็นว่า “นายท่านล้อเล่นแล้ว นายท่านเป็นวีรบุรุษแห่งยุค ในปีนั้นเกราะรบเปื้อนเลือด ถือทวนกวาดมองรอบด้าน มองเห็นทัพใหญ่หนึ่งล้านเป็นเหมือนหนูต่ำต้อย ในปีนั้นยามเผชิญกับความอัปยศยิ่งกว่าวันนี้ก็ยังก็ไม่เคยขมวดคิ้วเลย จะเก็บคำด่ากระจอกแบบนั้นมาใส่ใจได้อย่างไรคะ คนที่วิตกกังวล จิตใจพะว้าพะวงไม่เป็นสุขเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็มควรจะเป็นข้าสิถึงจะถูก ทำลายชื่อเสียงอันดีงามของนายท่านแล้ว”
“ทำลายก็ทำลายไปสิ พวกเขามีปาก ข้ามีดาบ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าปากกับดาบอะไรจะแข็งกว่ากัน” เหมียวอี้พูดเหยียดหยาม แล้วยกเท้าขึ้นวางบนเข่านาง ยกนิ้วขึ้นอย่างเกียจคร้าน “เพลงที่เจ้าร้องคืนนั้นไพเราะมาก ร้องไห้ฟังอีกรอบซิ”
เฟยหงประคองขาของเหมียวอี้ สองมือที่เรียวสวยเริ่มบีบนวดให้ พร้อมร้องเพลงเบาๆ “จันทร์กระจ่างมีมาตั้งแต่ยามใด ยกจอกสุราขึ้นถามฟ้า มิอาจรู้ว่าวิมานบนสวรรค์ ณ ยามนี้เป็นปีใด…”
ไพเราะมากจริงๆ! เหมียวอี้หลับตาสองข้างงีบพักผ่อน ทำสีหน้าหมือนกำลังดื่มดำ ใช้นิ้วเคาะหนังสือโบราณที่วางอยู่บนท้องเบาๆ แล้วก็เคลิ้มหลับไปแล้วจริงๆ…
เสียงพร่ำบ่นนอกตำหนักคุ้มเมือง หลังจากทยอยโดนฆ่าไปหลายสิบคน ในที่สุดก็เงียบลงแล้ว
แม่เฒ่าลวี่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน!
ผมสีเขียว คิ้วสีเขียว เสื้อผ้าสีเขียว ใบหน้าขาวอมชมพู ผิวหนังเหี่ยวย่น หลังค่อม ในมือถือไม้เท้าหัวเขียวด้ามหนึ่ง สีหน้าเย็นเยียบ จ้องมองเหมียวอี้ที่อยู่หน้าอย่างเย็นชาดุร้ายราวกับจะกินคน
ข้างกายแม่เฒ่าลวี่ยังมีผู้ติดตามอีกหลายคน ผู้ที่นำหน้ามาคือชายหนุ่มวัยกลางคนร่างบึกบึน เหมือนผู้ชายที่รูปร่างแบบนี้จะชอบไว้หนวดกันหมด ท่านนี้ก็เช่นกัน ใบหน้ายิ้มแย้ม เพียงแต่คนคนนี้มีประวัติภูมิหลังไม่ธรรมดา องครักษ์ซ้ายขวาของตำหนักสวรรค์ก็คือกองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์ ถูกควบคุมโดยตรงจากราชันสวรรค์ และเขาก็เป็นหัวหน้าภาคคนหนึ่งของครักษ์ฝ่ายซ้ายตำหนักสวรรค์ ชื่อว่าอวี่จ้งเจิน
…………………………