พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1340 คนที่เหนือความคาดหมายโผล่มา
เหมียวอี้ที่เพิ่งจะโล่งอกขมวดคิ้วอีกครั้ง ยกมือจับบนบ่า คว้ามือนางดึงมาตรงหน้า แล้วถามว่า “ที่แดนอเวจีเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมข้าไม่รู้ แต่เจ้ากลับรู้?”
อวิ๋นจือชิวนั่งลงตรงข้าม แล้วบอกว่า “เรื่องของเฟยหงข้ารู้สถานการณ์เบื้องลึก แต่พวกอวี้หนูเจียวไม่รู้ แล้วข้าก็ไม่สะดวกจะบอกพวกนางด้วย ช่วงนี้พวกนางทยอยกันมาหาข้า บอกว่าอยากออกจากที่นี่ ไปตั้งร้านค้าของตัวเองที่ตลาดสวรรค์อื่น”
“ด้วยเส้นสายภูมิหลังของพวกนาง ถ้าไปตั้งร้านเองที่ตลาดสวรรค์แห่งอื่นจะทำได้ง่ายขนาดนั้นเหรอ เกรงว่าจะหาร้านสักร้านก็ยากแล้ว” เหมียวกล่าว
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เจ้าก็อย่าประเมินกำลังของโจรกบฏหกลัทธิต่ำไป ตามที่ข้าเห็น พวกเขายังรักษากำลังเอาไว้ข้างนอกพอสมควร ไม่ได้มีคนนิดเดียวแค่ในนรกแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมทุกวันนี้ตำหนักสวรรค์ยังต้องคอยกวาดล้างโจรกบฏไปทั่วทุกที่ด้วยล่ะ? สัตว์ร้อยขาเช่นกิ้งกื้อ ต่อให้ตายแล้วแต่ร่างก็ไม่แน่นิ่งอยู่ดี ถ้าอยากจตั้งร้านสักร้านที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่คงยาก ดังนั้นเจตนาของพวกท่านปู๋ก็คือ อยากจะส่งคนที่ไว้ใจได้ไปค่อยๆ ดึงกำลังของหกลัทธิที่อยู่ข้านอกมาเป็นพวก ค่อยๆ กุมไว้ในมือทีละนิด พวกอวี้หนูเจียวทำการค้าอยู่ในตลาดสวรรค์มาหลายปี ล้างกำพืดสะอาดแล้ว อีกทั้งยังเป็นคนของเรา สำหรับพวกท่านปู่ เกรงว่าจะหาใครที่ยืนอยู่หน้าเวทีแล้วเหมาะสมกว่าพวกเราไม่ได้แล้ว จึงส่งต่อร้านค้าที่นี่ จะได้ไปซื้อร้านในตลาดสวรรค์ที่อื่นได้อย่างถูกต้อง”
หกลัทธิมีลูกน้องเก่าอยู่ข้างนอกไม่น้อย เรื่องนี้เหมียวอี้รู้แล้ว เพียงแต่ทางจินม่านไม่เคยบอกรายละเอียดกับเขามากนัก ระหว่างหกลัทธิเหมือนจะต่างฝ่ายต่างรักษาไพ่ของตัวเองไว้ ไม่ได้เปิดออกมาให้รู้ทั้งหมด
“ท่านปู่ติดต่อเจ้ามาเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างไม่แน่ใจ
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ “พวกเขาคงจะมีความคิดนี้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่เป็นเพราะเรื่องทรยศเจ้าครั้งก่อน จึงหาโอกาสเหมาะสมที่จะเอ่ยปากไม่ได้ ตอนนี้เจ้าทำเรื่องแบบนี้แล้ว ท่านปู่เลยอาศัยโอกาสนี้โน้มน้าวว่าข้าก็ควรจะมีกำลังอำนาจของตัวเองไว้สักหน่อนเหมือนกัน บอกว่าตระกูลอวิ๋นคือทางหนีทีไล่ของข้า พวกอวี้หนูเจียวมาหาข้า มีเพียงสองพี่น้องหลางหลางหวนหวนที่คายความจริงออกมาแล้ว คนอื่นๆ บอกเพียงว่าอยู่ที่นี่ไม่มีงงานอะไรทำ ถ้าให้เจ้าเลี้ยงดูตลอดไม่ใช่เรื่องดีอะไร”
“พวกนางอยากจะไปตั้งร้านเองข้างนอกหมดเลยเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
“ถึงแม้พิภพเล็กจะสู้พิภพใหญ่ไม่ได้ แต่ตอนอยู่ที่พิภพเล็กทุกคนก็ล้วนมีฐานะกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลสูงส่ง เดิมทีการเป็นอนุภรรยาก็ทำให้พวกนางเกิดปมในใจอยู่แล้ว จู่ๆ เจ้าก็ก่อเรื่องเฟยหงขึ้นมาอีก รับคนเต้นกินรำกินมาเป็นอนุภรรยา ให้ผู้หญิงจากหอนางโลมมามีฐานะเทียบเท่าพวกนาง อย่าว่าแต่พวกนางที่รู้สึกได้รับความอัปยศจนทนไม่ไหว ต่อให้เป็นผู้หญิงธรรมดาทั่วไป จะมีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ยอมรับเรื่องแบบนี้ได้? แต่พวกนางก็กินอยู่ด้วยเงินของเจ้ามาตลอด โดนเจ้าเลี้ยงมาตลอด บวกกับฐานะอนุภรรยา จึงไม่มีเหตุผลที่จะว่าอะไรเจ้าได้ ต่อให้เจ้าจะแต่งงานรับคนเพิ่มมาอีก แต่อนุภรรยาอย่างพวกนางก็ว่าอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่ว่าข้าดูออก เรื่องที่เจ้าทำครั้งนี้ยั่วโมโหพวกนางแล้วจริงๆ ห้าปราชญ์เลือกโอกาสลงมือได้ดีมาก พวกนางอยากจะอาศัยการช่วยเหลือของครอบครัวเพื่อออกไปพึ่งตัวเอง” อวิ๋นจือชิวกล่าว
เหมียวอี้รู้สึกหดหูนิดหน่อย ถามเบาๆ ว่า “เจ้าก็ตอบตกลงแล้วเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ข้าจะตอบตกลงง่ายได้ยังไง รอปรึกษาเจ้าอยู่ตลอด ถ้าเจ้าฝืนรั้งพวกนางไว้ไม่ให้พวกนางไป พวกนางก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้าแนะนำว่า เจ้าให้พวกนางไปเถอะ ข้าเองก็เตรียมจะออกไปจากที่นี่เหมือนกัน”
เหมียวอี้พลันเงยหน้า แล้วถามอย่างอึ้งๆ ว่า “เจ้าก็อยากไปจากข้าเหมือนกันเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าเขา แล้วใช้สองมือประคองใบหน้าของเขาพร้อมบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ไม่ใช่ว่าไปจากเจ้า แต่ต้องเผชิญหน้ากับความจริง หลังจากเจ้าออกจากที่นี่ไป ที่นี่ก็ไม่ปลอดภัยแล้ว ประมุขถิ่นสี่ทิศอาจจะอยากทรยศเจ้าก็ได้ แต่เบื้องล่างของพวกเขายังมีลูกน้องอีกมากมายขนาดนั้น แต่ไหนแต่ไรมา ความสำเร็จและความล้มเหลวก็ล้วนมีลูกน้องคอยผลักดันให้เกิดขึ้นทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? เรื่องบางเรื่องก็พูดให้ชัดเจนได้ยาก ถ้าออกจากขอบเขตอำนาจของพวกเขาไปแล้ว เมื่อเรื่องนี้เหนือบ่ากว่าแรงของพวกเขา อย่างน้อยก็ยังทำให้อันตรายลดลงได้บ้าง นอกจากนี้ก็เป็นอย่างที่เจ้าบอก พวกเราไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว ในเมื่อทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้า กำลังอำนาจของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกก็ควรค่าแก่การบริหารจัดการ ทำไมไม่ถือโอกาสไปคบค้าดูสักหน่อยล่ะ ขอเพียงเจ้าตอบตกลงว่าจะฆ่าเฟยหง ข้าก็จะให้คำอธิบายกับพวกจีเหม่ยลี่ได้แล้ว จะได้มีวิธีปลอบโยนพวกนาง ข้าพูดโน้มน้าวพวกนางได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง หลังจากเจ้าไปอยู่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ก็จัดการแค่เรื่องของตัวเองให้ดีก็พอ เรื่องระหว่างผู้หญิงในบ้านข้าจะจัดการเอง”
ถ้าให้พูดจากใจ เหมียวอี้ก็ไม่อยากให้พวกนางไปเลย แต่ที่อวิ๋นจือชิวพูดก็ไม่ผิด ถ้าอนุภรรยาอยู่ที่นี่ทั้งหมด ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็จะโดนคนจัดการหมดทั้งรังได้ง่ายมาก หลังจากแยกย้ายกันไปแล้ว อำนาจนางของตระกูลพวกนางหรืออำนาจลับของหกลัทธิก็กลับจะปกป้องให้พวกนางปลอดภัยได้กว่าเดิม ที่สำคัญที่สุดก็คือ ต่อให้เหมียวอี้ไปหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้วเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น อย่างน้อยพวกนางก็ยังมีทางหนีทีไล่ เขาจึงเอ่ยปากห้ามไม่ได้แล้ว
เพียงแต่ยังกล่าวอย่างรู้สึกโดดเดี่ยวว่า “ทำให้พวกเจ้าวิตกกังวลตามข้าไปด้วย เป็นข้าเองที่ทำผิดต่อพวกเจ้า”
อวิ๋นจือชิวประคองศีรษะเขามาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง “เจ้าไม่ได้ทำผิดต่อพวกเรา เจ้าทำได้ดีมากแล้ว มาที่นี่มือเปล่าแต่ยังสร้างกิจการครอบครัวได้ใหญ่ขนาดนี้ และไม่ได้ทำให้พวกเราลำบากด้วย ไม่เคยขาดแคลนเรื่องกินเรื่องใช้ มีทรัพยากรฝึกตนเพียงพอ มีไม่กี่คนหรอกที่ทำได้ดีกว่าเจ้า เออใช่…” นั่งปล่อยศีรษะเหมียวอี้แล้วกลับมานั่งลงตรงข้าเหมือนเดิม “ถ้าพวกจีเหม่ยลี่จะไป ก็คงไม่ดีหากจะให้พวกนางไปมือเปล่า ข้าเตรียมจะมอบร้านค้าให้เป็นชื่อของพวกนาง แล้วก็มอบของอีกจำนวนหนึ่งให้พวกนาง มอบให้นางโดยใช้ชื่อของเจ้าสิ”
เหมียวอี้กล่าวด้วยอารมณ์ตกต่ำ “เรื่องในบ้าน เจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “หลังจากเจ้าไปแล้ว ข้าก็จะเตรียมให้พวกนางทยอยกันออกไป ข้าจะออกไปเป็นคนสุดท้าย ถึงยังไงเจ้าก็กับข้าก็มีข่าวลือไม่ดีที่ตลาดสวรรค์ ถ้าข้าตามเจ้าออกไปทันทีก็คงไม่ดีนัก จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย นอกจากนี้ ก็อย่าบอกคนอื่นนะว่าพวกเราไปที่ไหน ไม่ว่าในภายหลังคนอื่นจะสังเกตเห็นหรือไม่ แต่ปิดไว้ได้ก่อนก็ยังดี แล้วก็ทางพิภพเล็กด้วย หลังจากพวกเราไปแล้วก็อย่าติดต่อไปที่นั่นอีก ข้าจะบอกคนอื่นๆ แผนที่เส้นทางไปกลับถูกเจ้าเก็บกลับไปแล้ว เส้นทางอยู่ในมือเจ้าคนเดียว เจ้าบอกกับคนอื่นแบบนี้ก็ได้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรให้ต้องไปกลับพิภพเล็ก ก็ให้ทุกคนไปหาเจ้าให้หมด ด้วยฐานะตำแหน่งบวกกับกำลังทหารในมือเจ้า คนอื่นก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน คนข้างกายเจ้าที่ไว้ใจได้ที่สุดก็คือเหยียนซิว สามารถมอบหมายให้เขาไปจัดการธุระเรื่องไปกลับพิภพเล็กได้ ตอนนี้ศักยภาพของเหยียนซิวลึกล้ำยากจะคาดเดา คนอื่นไม่รู้ถึงเบื้องลึกของเขา ให้เขาวิ่งเต้นทำงานอยู่ระหว่างทุกคนก็จะปลอดภัยหน่อย”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เหมียวอี้จอล
อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หงเฉินไม่ยอมไปกับสองพี่น้องหลางหลางหวนหวน มู่ฝานจวินเองก็หมดหวังกับนางแล้ว นางไม่เคยเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราต่อหน้าคนนอกมาก่อน จะให้นางตามเจ้าไปด้วยดีมั้ย ข้างกายจะได้มีคนไว้ปรนนิบัติ”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ช่างเถอะ! เดิมทีข้างกายข้าก็มีสายลับอยู่คนหนึ่งแล้ว แล้วข้าก็ไม่รู้สถานการณ์ของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายด้วย ให้นางอยู่ข้างกายเจ้าดีกว่า”
“ก็ดี!” อวิ๋นจือชิวพักหน้า เป็นฝ่ายดึงมือเขาเดินเข้าไปในบ้าน
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” เหมียวอี้แปกใจ
อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าสื่ออารมณ์รัก มองค้อนเขาแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “คนโง่!”
เมื่อเห็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กลั้นขำ เหมียวอี้ก็เข้าใจในทันที
หลังจากนัวเนียกันอย่างบ้าคลั่งไปหนึ่งยก อวิ๋นจือชิวก็นอนเปลือยร่างกอดเขา กระซิบพึมพำอยู่ข้างหูเขาพักหนึ่ง ราวกับแม่ที่เตือนลูกที่กำลังจะจากบ้านไปไกล อยากจะเตือนเรื่องราวทุกอย่างนึกได้ออกมาให้หมด…
ในศาลาของสวนดอกไม้ด้านลังตำหนักคุ้มเมือง ตอนที่สวีถังหรานปรากกฎตัวอีกครั้งเพื่อบอกว่าจะติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย เหมียวอี้ก็ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ตอนที่เขาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการก็เคยคลุกคลีอยู่กับสวีถังหรานมาก่อน มีหรือที่จะไม่รู้ว่าสวีถังหรานเป็นคนอย่างไร เป็นคนรักตัวกลัวตาย ต่ำทรามไร้ยางอาย ทั้งยังขี้ประจบสอพลอและโลภสมบัติด้วย
ลูกน้องทุกคนเงียบงัน ไม่มีใครเต็มใจจะติดตามเหมียวอี้ไปสักคน กลับเป็นเจ้าคนต่ำทรามคนนี้ที่กระโดดออกมาบอกว่าจะติดตามไปด้วย เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้มากจริงๆ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “สวีถังหราน หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายคือกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ มักจะรบทัพจับศึกบ่อย มีอันตรายเยอะมาก อีกทั้งทรัพยากรยังไม่เยอะเท่าที่นี่ด้วย เจ้าแน่ใจนะว่าจะติดตามข้าไป?”
สวีถังหรานคุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอายว่า “ข้าน้อยยินดีสาบานว่าจะติดตามนายท่านไปจนตาย ต่อให้ตายก็จะไม่เสียใจทีหลัง!”
เหมียวอี้อยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา แต่ด้วยความที่รู้นิสัยของเขา ลองคิดไปในทางที่ไม่ดีสักหน่อย เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว เดาออกแล้วว่าทำไมเขาจะติดตามตนไป จึงพยักหน้าบอกว่า “ที่เขตเมืองตะวันตกมีกี่คนที่ยินดีจะไปกับเจ้า ที่ข้ายังมีรายชื่อเหลืออยู่ ถ้ามีก็เขียนมาด้วยกันเลย เดี๋ยวต่อไปจะได้มีคนช่วยงานเยอะๆ”
“มีข้าคนเดียว แล้วก็คนในครอบครัวคนหนึ่ง สาวใช้สองคนขอรับ” สวีถังหรานตอบอย่างเก้อเขิน
คนในครอบครัวคือเสวี่ยหลิงหลงแน่นอน เหมียวอี้หันกลับไปสบตากับหยางชิ่งแวบหนึ่ง พอหันกลับมาอีกครั้ง ก็โบกมือบอกว่า “งั้นก็เอาอย่างนี้แล้วกัน ไปส่งต่องานของเขตเมืองตะวันตกให้ฝูชิง จากนั้นก็มาที่ตำหนักคุ้มเมือง รอออกเดินทางพร้อมกัน”
“ขอรับ! “สวีถังหรานกล่าวขอตัวด้วยความดีใจ
“เดี๋ยวก่อน!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็ตะโกนหยุดเขา แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าเจ้ารู้สึกว่าอยู่ที่ตลาดสวรรค์ไม่มั่นคงปลอดภัย ข้าหาทางให้เบื้องบนปล่อยเจ้าไปอยู่กับโค่วเหวินหลานได้นะ”
“ข้าน้อยยินดีติดตามเพียงนายท่าน!” สวีถังหรานกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แต่พึมพำในใจว่า เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากไปเหรอ แต่ประเด็นสำคัญก็คือข้าล่วงเกินคนอื่นไว้เยอะเกินไป มีคนมากมายขนาดนั้นเผยแพร่ชื่อเสียงของข้า ไปอยู่ข้างกายโค่วเหวินหลานก็ต้องประจบอีก ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะมองข้ายังไง ด้วยประวัติภูมิหลังของโค่วเหวินหลาน เขาไม่ได้ขาดคนประจงสอพลอเลย ถ้าทิ้งชื่อเสียง ‘จิตใจที่จงรักภักดี’ ไว้ให้คนข้างนอกรู้บ้าง ในภายหลังถ้าไม่ไหวจริงๆ เมื่อได้ไปอยู่กับโค่วเหวินหลานก็ยังมีต้นทุนให้ยืนในตำแหน่งอย่างมั่นคงได้ นี่เจ้าคิดจะหยั่งเชิงข้าเหรอ?
เมื่อเห็นเขาไม่ลังเลเลยสักนิด เหมียวอี้ก็แปกลใจมาก จากนั้นก็พยักหน้าโบกมือให้ออกไป
หลังจากออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าขำ ชี้ไปข้างนอกพร้อมพูดกลั้วหัวเราะว่า “นึกไม่ถึงจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเวรนี่จะอยากไปกับข้า”
หยางชิ่งพยักหน้า แล้สกล่าวเสียงดรียบว่า “ความสามารถแย่หน่อยก็ไม่เป็นไร กลัวก็แต่จะไม่รู้จักข้อบกพร่องของตนเอง แต่สวีถังหรานคนนี้เป็นคนรู้จักข้อบกพร่องของตนเอง มองสถานการณ์ของตัวเองออกอย่างชัดเจน บวกกับความหน้าด้านใจดำ ไม่แปลกใจที่สามารถทำมาหากินในตลาดสวรรค์ได้ทั้งๆ ที่ไม่มีประวัติภูมิหลังอีกทั้ง ตอนแรกยังเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการอีก เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”
“ฮ่าๆๆ!” เหมียวอี้หัวเราะลั่น เป็นเพราะการวิจารณ์ของหยางชิ่งไม่ผิดพลาด ข้อดีของสวีถังหรานก็คือหน้าด้านใจดำ พอนึกถึงภาพหลังจากการทดสอบครั้งแรก ที่สวีถังหรานกอดขาโค่วเหวินหลานร้องไห้อย่างเจ็บปวดจนโค่วเหวินหลานซาบซึ้งใจแทบแย่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขำ
เมื่อได้รับความเช้าอกเข้าใจจากอวิ๋นจือชิว ไม่ต้องคิดวนเวียนว่าจะไปเผชิญหน้าอย่างไร บวกกับรู้ว่าอวิ๋นจือชิวเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้กลุ่มอนุภรรยาแล้ว เขาก็วางใจแล้วเหมือนกัน เดิมทีนึกว่าจะไม่มีใครเต็มใจติดตามเขาไปเสียอีก แต่ใครจะคิดว่าจะมีคนที่ไม่คาดคิดโผล่มา เรียกได้ว่าดีใจเหนือความคาดหมาย ดังนั้นจึงค่อนข้างอารมณ์ดี
…………………………