พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1341 ข้าก็เตรียมจะทำแบบนี้แล้ว!
และก็เป็นเพราะคำแนะนำของอวิ๋นจือชิว อย่าให้ความพยายามที่นางรับปากให้เขาแต่งงานกับพวกจีเหม่ยลี่ในปีนั้นสูญเปล่า
ดังนั้นเหมียวอี้จึงอยู่ต่อเพิ่มอีกสักระยะ ไปค้างกับพวกจีเหม่ยลี่คนละสองคืน เมื่อใกล้จะแยกจากกันแล้ว ท่านขุนนางเหมียวอี้ก็ปรนนิบัติแต่ละคนอย่างสุดกำลัง ทำแบบนี้ทุกวันก็เป็นงานที่ลำบากเหมือนกันนะ!
จู่ๆ เหมียวอี้ก็หายไปจากตำหนักคุ้มเมืองแล้ว ไม่เห็นหน้าติดต่อกันหลายวัน เฟยหงจึงออกจากตำหนักนอนมาตามหา ทำให้เจอกับเหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ตรงประตู
“หรูฮูหยิน มีเรื่องอะไรเหรอ?” เหยียนซิวถามด้วยน้ำเสียเยือกเย็นพิศวง
“ทำไมไม่เจอนายท่านมาหลายวันแล้วล่ะ?” เฟยหงถาม
“นายท่านออกไปทำงานแล้ว ต้องส่งต่อเรื่องทางนี้ให้ชัดเจนก่อนจะไปขอรับ” เหยียนซิวตอบ
เฟยหงตอบ “อ้อ” แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ “ฮูหยินเจ้าคะ” สาวที่อยู่ข้างกายเตือนอย่างระมัดระวัง เฟยหงหันกลับไปมองแวบหนึ่ง พบว่ายังเหยียนซิวยังคงตามหลังนางอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะหยุดเดินและหันตัวมาถาม “เหยียนซิว เจ้าจะตามข้าทำไมเหรอ?”
“นายท่านสั่งไว้ก่อนจะไป ว่าตอนที่เขาไม่อยู่ให้ข้าน้อยดูแลความปลอดภัยของหรูฮูหยิน” เหยียนซิวตอบ
เฟยหงหมดความสนใจที่ตะ ‘เดินเพ่นพ่านไปทั่ว’ ทันที นางก็ไม่ชอบเห็นใบหน้าแบบนั้นของเหยียนซิวเหมือนกัน จึงเดินวนส่งเดชรอบหนึ่ง แล้วก็กลับมาตำหนักนอนอีกครั้ง
ในเวลานี้ หยางชิ่งเดินอ้อมอกอมาจากประตูพระจันทร์ด้านข้าง เดินช้าๆ ข้างกายเหยียนซิว พลางถามเสียงเบา “ต่อไปนี้ไม่ต้องตามติดเกินไป ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ จะทำให้นางสงสัยได้ง่าย ทั้งยังนำอันตรายมาสู่เจ้าได้ง่ายด้วย ถ้านางมองว่าเจ้าเป็นอุปสรรคที่ใหญ๋ที่สุดในการรายงานข่าว เบื้องบนของนางจะต้องคิดหาทางกำจัดเจ้าแน่นอน ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะต้านทานได้!”
เหยียนซิวพยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าเข้าใจแล้ว
ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว เหมียวอี้ลุกออกจากความอ่อนโยนของสาวงามแล้วเช่นกัน กลุ่มอนุภรรยาในบ้านที่เป็นผีมารปีศาจรวมทั้งฝาแฝด เขานับว่าปรนนิบัติทุกคนอย่างสมบูรณ์ตามหน้าที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นความเจ็บปวดที่ผ่อนคลาย ก่อนจะออกเดินทางก็ให้อวิ๋นจือชิวสั่งให้ผีจวินจื่อทำลายทางใต้ดินทั้งหมดแล้วเช่นกัน
เดิมทีอวิ๋นจือชิวจะให้เหมียวอี้นำทรัพย์สินในบ้านส่วนใหญ่ไปด้วย แต่เหมียวอี้ปฏิเสธ ให้นางเก็บไว้กับตัว เขาไม่คิดที่จะพกทรัพย์สินจำนวนมากไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ตั๊กแตนก็พกไปแค่สิบห้าตัว เวลาที่จำเป็นต้องใช้ค่อยส่งคนมาขอที่นาง แต่กลับพาเฮยทั่นไปด้วยแล้ว
ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองก็มาที่ตำหนักคุ้มเมืองเพื่อรอส่งเช่นกัน สวีถังหรานไม่ได้ขอให้มาส่ง เขาต้องการจะพาครอบครัวไปด้วยกัน ไม่มีภาระทางด้านความรู้สึกแล้ว ในตอนนี้เขากลายเป็นคนที่ผ่อนคลายที่สุด
เห็นสวีถังหรานสบายใจไร้กังวลแบบนั้น มู่หรงซิงหัวก็รู้สึกแปลกๆ พอเห็นเหมียวอี้นำเฟยหงและสาวใช้สองคนเดินออกมาจากตำหนักนอน และทำความเคารพพร้อมกลุ่มคนแล้ว นางก็เป็นฝ่ายก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวได้มั้ย”
ทุกคนรู้สึกแปลกใจ อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนใจอยากจะตามไปด้วยแล้ว? เหมียวอี้ก็แปลกใจเหมือนกัน พยักหน้ายิ้มแล้วชี้ไปทางสวนดอกไม้ ก่อนจะเดินเข้าไปด้วยกัน
หยางชิ่งมองประเมินสองคนที่เดินจากไปครู่หนึ่ง แล้วก็โบกมือบอกใบ้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ ก่อนที่ทั้งสามจะเดินไปถ่ายทอดเสียงคุยกันอีกด้านหนึ่ง
“ผู้การใหญ่มีธุระอะไรเหรอ?” ฝูชิงถ่ายทอดเสียงถาม
คนที่มาจากทางพิภพเล็ก เวลาไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนนอกก็คุ้นชินกับคำเรียกหยางชิ่งเหมือนตอนอยู่ที่พิภพเล็ก ถึงแม้ความจริงจะรู้ว่าหยางชิ่งถูกเหมียวอี้ถอดอำนาจทางทหารไปหมดแล้วก็ตาม แต่ภายนอกทุกคนก็ยังมองข้ามไป ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำเรียก
หยางชิ่งถ่ายทอดเสียงตอบว่า “มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะเตือนพวกท่านสองคนสักหน่อย และอยากจะฝากบอกคุณชายใหญ่กับคุณชายสี่ด้วย”
“บอกมาได้เลย” ฝูชิงกล่าว
“เรื่องของเฟยหงในครั้งนี้ทำให้นายท่านกับบรรดาฮูหยินระหองระแหงกัน แผนที่เส้นทางไปกลับพิภพเล็ก นายท่านเก็บกลับมาจากมือฮูหยินแล้ว ต่อไปนี้เรื่องเดินทางไปกลับ นายท่านจะรับผิดชอบคนเดียว” หยางชิ่งบอก
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สบตากันอย่างเข้าใจ แต่ในใจกำลังสงสัยว่า นี่กำลังป้องกันไม่ให้พวกเขาลงมือกับพวกฮูหยินหรือเปล่า?
หยางชิ่งจึงบอกว่า “ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิดหรอก นายท่านมีสิ่งหนึ่งที่ฝากข้ามาบอกพวกท่านสี่คน นายท่านบอกว่า ความผูกพันระหว่างพี่ชายทั้งสี่กับทะเลดาวนักษัตร เขาก็พอจะเข้าใจได้เหมือนกัน แต่ไม่สะดวกจะให้พาคนทางนั้นมาที่นี่จริงๆ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะพาบุคคลที่เป็นแกนหลักมาแทบจะหมดแล้ว คนอื่นๆ ที่ควรจะตัดก็ตัดเถอะ ถ้าต้องการจะติดต่อนายท่านอีกจริงๆ ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นายท่านต้องเตือนทั้งสี่ท่านเอาไว้ นายท่านใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อนำตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มาให้ทั้งสี่ท่าน ย่อมเป็นเพราะเชื่อใจทั้งสี่ท่านได้ แต่ไม่ได้มีความมั่นใจกับลูกน้องของทั้งสี่ท่านมากนัก นายท่านอยู่ที่ตลาดสวรรค์มานานขนาดนี้ ก็ปีนป่ายขึ้นมาจากระดับล่างเหมือนกัน มีหลายเรื่องที่มองเข้าใจชัดเจน ทั้งสี่ท่านได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ตำแหน่งผู้บัญชาการสี่เขตเมืองมีเพียงสี่คนเท่านั้น แต่พี่น้องที่อยู่ระดับล่างกลับมีไม่น้อย ใครจะได้เป็นหรือไม่ได้เป็นก็คือปัญหาเช่นกัน ไม่ว่าจะให้ใครก็ดูไม่ดีทั้งนั้น ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันได้ง่าย แต่ลูกน้องพวกนั้นดันรู้กำพืดของท่านทั้งสี่เสียด้วย ถ้ามีใครที่ในใจรู้สึกไม่ยอมขึ้นมา นายท่านก็อาจจะจบเห่ไปด้วย นี่ก็เป็นสาเหตุที่นายท่านไม่อยากให้พาคนจากทะเลดาวนักษัตรมาอีก นายท่านฝากข้ามาบอก ว่าให้ทั้งสี่ท่านระวังตัวมากขึ้น”
เป็นหนึ่งปัญหาที่ร้ายแรงจริงๆ ทั้งสองขมวดคิ้วพยักหน้า ตกอยู่ในภาวะครุ่นคิดไต่ตรองแล้ว
หยางชิ่งกำลังโยนปัญหาใหญ่ใส่พวกเขาชัดๆ!
เหมียวอี้แค่ให้เขามาบอกต่อพวกฝูชิง บอกเรื่องเก็บแผนที่เส้นทางกับปัญหาว่าอย่าพาคนที่ทะเลดาวนักษัตรมาอีก บางอย่างเขาไม่สะดวกจะพูดเองตรงๆ
แต่หยางชิ่งกลับใส่เครื่องปรุงเพิ่มนิดหน่อย ตอกตะปูป้องกันความผิดพลาดแล้ว…
ในสวนดอกไม้ เมื่อเดินเข้ามาลึกแล้ว เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเถอะ”
มู่หรงซิงหัวกล่าวขอโทษว่า “ที่จริงครั้งนี้ข้าก็อยากติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายด้วยเหมือนกัน แต่ถึงยังไงข้าก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องของข้าคนเดียวอีกต่อไป ข้าต้องคำนึงถึงท่าทีของเฉาว่านเสียงด้วย เฉาว่านเสียงยืนกรานคัดค้านข้า ข้าได้แต่รู้สึกผิดต่อนายท่าน”
“ทำตัวลับๆ ลล่อๆ เพื่อจะพูดเรื่องนี้น่ะเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ
มู่หรงซิงหัวทำสีหน้าอับอาย “ขนาดสวีถังหรานยังติดตามนายท่านไปด้วยเลย ข้าน้อยรู้สึกอับอายจริงๆ ไม่ว่านายท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ทั้งหมดนี้เป็นคำพูดที่มาจากใจข้าจริงๆ ในภายหลังถ้ามีอะไรที่ข้าน้อยสามารถช่วยได้ นายท่านก็เอ่ยปากมาได้เลย ข้าน้อยจะช่วยอย่างสุดความสามารถแน่นอน”
เหมียวอี้จึงยิ้มพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะไม่รู้สถานการณ์ของเจ้าได้ยังไง ที่จริงตอนแรกข้าก็ไม่ได้คิดไว้หรอกว่าจะมีคนไปกับข้าด้วย การที่สวีถังหรานจะไปกับข้าด้วยถือเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่เกรงว่าเจ้าคงจะอยู่ที่ดาวเทียนหยวนได้ไม่นานเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ ก็ให้เฉาว่านเสียงย้ายเจ้าออกไปอยู่ใต้สังกัดเขาเถอะ”
เรื่องบางเรื่องเขาไม่สะดวกจะพูดเปิดเผยออกมา ฝูชิงมีลูกน้องของตัวเองเยอะขนาดนั้น สวีถังหรานมีมีปฎิภาณไหวพริบ ไม่โลภกับผลประโยชน์เล็กน้อยแต่เลือกหลบหายนะไว้ก่อน ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองมีเพียงมู่หรงซิงหัวที่ยังอยู่ในตำแหน่ง เมื่อเวลานานไปมู่หรงซิงหัวก็จะกลายเป็นเป้าหมายให้ทุกคนโจมตี ตามที่ท่านโหวเทียนหยวนสูญเสียการควบคุมที่มีต่อปี้เยว่ เฉาว่านเสียงก็ไม่มีอิทธิพลอะไรกับทางตลาดสวรรค์แล้วเช่นกัน ถ้าลูกน้องฝูชิงต้องการครอบครองตำแหน่ง ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องลงมือกับมู่หรงซิงหัว ไม่มีสวีถังหรานคอยเป็นโล่ป้องกันอยู่ข้างหน้าแล้ว ถ้ามีคนลงมืออย่างฉับพลันขึ้นมา เกรงว่าต่อให้คิดจะหนีก็คงหนีไม่ทันแล้ว อาศัยความสามารถของนางก็ไม่อาจควบคุมสถานการณ์นี้ได้ กลุ่มปีศาจเฒ่าของทะเลดาวนักษัตรสามารถช่วยเหมียวอี้ควบคุมตลาดสวรรค์ไว้อย่างมั่นคงและรับมือการเปลี่ยนแปลงได้หลายครั้ง ฝืมือของพวกเขาไม่ได้อ่อนด้อย
มู่หรงซิงหัวทำท่าครุ่นคิด แล้วพยักหน้าเล็กน้อย เหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่านางเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อหรือเปล่า เขาทำได้เต็มที่เพียงเท่านี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยมู่หรงซิงหัวสู้กับคนของทะเลดาวนักษัตร
ออกเดินทางแล้ว เฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงล้วนสวมหมวกมุ้งปิดบังใบหน้าเอาไว้ ผู้หญิงถ้าสวยเกินไปบางครั้งก็เป็นปัญหายุ่งยากได้เหมือนกัน ไห่ผิงซินไม่อยู่ เหมียวอี้ส่งคนจับนางไปส่งที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวก่อนแล้ว
ตอนที่กลุ่มคนออกจากตำหนักคุ้มเมือง บนถนนนอกตำหนักก็เต็มไปด้วยผู้คน เรื่องที่วันนี้เหมียวอี้จะออกไปจากที่นี่อย่างเป็นทางการไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
เหมียวอี้ที่เดินออกจากตำหนักคุ้มเมืองก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเช่นกัน แต่หยุดฝีเท้าและหันกลับไปมองตำหนักที่เงียบขรึมข้างหลังด้วยสายตาลึกล้ำสองครั้ง ในใจรู้สึกปลงอยู่บ้าง ตั้งแต่เข้าแดนฝึกตนมา เขาก็อยู่ที่นี่มานานที่สุดแล้ว วันนี้นับว่าได้บอกลาอย่างเป็นทางการแล้ว
พอกลับมามองบนถนนอีครั้ง ผู้จัดการร้านจำนวนหนึ่งที่พอจะมีหน้ามีตาล้วนยืนอยู่ข้างหน้า คนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นลูกค้าขาจรที่มาตลาดสวรรค์ พอได้ยินข่าวความเคลื่อนไหวก็มาดูหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดัง ส่วนผู้จัดการร้านค้าเล็กๆ ไม่มาเลยสักร้าน ต้องการจะตัดขาดกับเหมียวอี้ให้ชัดเจน กลัวว่าตอนหลังจะโดนร้านค้าบ้างร้านล้างแค้น
ความเปลี่ยนแปลงของน้ำใจยามตกอับและมีอำนาก็ดูออกกันตรงนี้ เหมียวอี้ช่วงชิงผลประโยชน์เพื่อร้านค้าในวงกว้าง แต่พอถึงเวลานี้กลับไม่มีใครมาส่งสักคน
เหมียวอี้ไม่แยแสกับสิ่งนี้ มีชีวิตอยู่มานานหลายปีขนาดนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องก็เห็นจนชินชา คนอื่นก็มีความลำบากของตัวเองเหมือนกัน พวกอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้มา เป็นเขาเองที่สั่งไว้ ภายนอกตัดสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจนจะเป็นผลดีมากกว่า
สถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไร เขาก็ได้รับรายงานมาแล้วตั้งแต่อยู่ข้างใน รู้ว่าคนพวกนี้มาดูเพื่อหัวเราะเยาะ เขาเตรียมใจไว้นานแล้ว เพียงแต่การปรากฏตัวของผู้หญิงสองคนตรงแถวหน้าทำให้เขารู้สึกผิดคาดมาก
คนหนึ่งคือหวงฝู่จวินโหรวที่สวมชุดกระโปรงสีม่วง อีกคนที่สวมชุดกระโปรงสีขาวก็คือจ้านหรูอี้ กำลังมองเขาด้วยใบหน้าเยาะเย้ยถากถากรางๆ
ผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าไปแล้วล่ะมั้ง มาตั้งไกลเพื่อมาดูเอาสนุกงั้นเหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ ขณะพากลุ่มคนเดินลงจากบันไดสูง ก็มุ่งตรงไปตรงหน้าจ้านหรูอี้ แล้วกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม “จ้านคนสวย ถ่อมาตั้งไกลเพื่อเจอข้าเหรอ?” ส่วนหวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ข้างกัน เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นนาง
ดวงตางามของหวงฝู่จวินโหรวจ้องอยู่บนใบหน้าเขา นางแค้นจนกัดฟันกรอด เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะโผเข้าไปกัดเขา สายตาเหลือบมองเฟยหงที่อยู่ข้างหลังเป็นระยะ สีหน้าบึ้งตึงลงเล็กน้อย ในใจมีเพียงคำสามคำ…นางจิ้งจอก!
จ้านหรูอี้ตอบอย่างสบายใจว่า “ใช่น่ะสิ! เจ้าไม่พอใจเหรอ?” เห็นได้ชัดว่ากำลังท้าทาย
เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ก็ไม่พอใจนิดหน่อย เจ้าเอาแต่ถ่อมาเกาะแกะข้า ข้าก็เลยต้องหลบไปไกลๆ หน่อย”
คำพูดหยอกล้อนี้ไม่ว่าใครก็ฟังออกทั้งนั้น จ้านหรูอี้หน้าบึ้งทันที “หลบเหรอ? ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะหลบไปไหน หลุดออกจากการคุ้มครองของแม่ทัพภาพแล้ว ข้าก็อยากจะเห็นว่าเจ้าจะกำเริบเสิบสานได้สักกี่วัน!”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้าพูดถึง ‘การคุ้มครอง’ ข้าก็เทียบเจ้าไม่ติดจริงๆ ถ้าท่านตาของเจ้าไม่ใช่อ๋องสวรรค์อิ๋ง เจ้าจะมีสิทธิ์มายืนพูดอยู่ตรงหน้าข้าเหรอ ก็เป็นคนที่แพ้ด้วยน้ำมือหนิวเท่านั้นเอง คนในใต้หล้าต่างก็รู้ ข้าจำเป็นต้องมาปะทะฝีปากกับเจ้าอยู่ตรงนี้ด้วยเหรอ?”
“เจ้า…” จ้านหรูอี้โบกมือชี้ ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่ง วู่วามอยากจะลงมือ
เหมียวอี้มองดูอย่างสบายใจ “ทำไม ยังคิดจะลงมือกับข้าอยู่อีกเหรอ? อาศัยว่ามีอ๋องสวรรค์อิ๋งหนุนหลัง คิดว่าคนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายอย่างข้าโดนรังแกง่ายนักหรือไง?”
มีคนไม่น้อยที่พูดไม่ออก ตัวยังไม่ทันไปถึงหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเลย ก็เอาชื่อของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมากดดันคนอื่นราวกับเปลี่ยนหุ่นเชิดแล้ว
ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะไม่โมโหเพราะเรื่องนี้เลยสักนิด แต่กลับทำท่าเหมือนได้ฟังเรื่องที่ตลกมาก นางเงยหน้ากลั้นขำ ไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกตลกอะไร
ผู้จัดการร้านที่อยู่ข้างหลังนางรีบกล่าวเยาะเย้ยทันที “หนิวโหย่วเต๋อ รีบไสหัวไปดีกว่า ถ้าไปช้ากว่านี้แล้วโดนหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายลงโทษก็จะแย่เอานะ”
เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่ง ก่อนจะกวาดมองคนรอบๆ “ใจกล้าไม่เบา ไม่กลัวว่าข้าจะหวนกลับมาเหรอ? พวกเจ้าเชื่อมั้ยว่าครั้งหน้าข้าจะไปเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีอีกรอบ แล้วจะกลับมาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนอีกครั้ง?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็ทำให้คนกลุ่มนี้ตกใจทันที เจ้าเวรนี่คงไม่เอาจริงหรอกใช่มั้ย?
แต่ก็มีคนตอบสนองอย่างรวดเร็ว ตะโกนว่า “อย่าไปฟังเขาพูดจาโอ้อวดเกินตัว ตลาดสวรรค์ไม่ใช่ของเขา ต่อให้ทดสอบผ่านกลับมา ก็อาจจะไม่ได้มารับตำแหน่งที่นี่ก็ได้”
ทุกคนย่อมตอบสนองแล้วเช่นกัน ต่อให้มาอีกเบื้องบนก็คงไม่ปล่อยให้เข้ามาก่อเรื่องที่นี่
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเหล่ตามองคนคนนั้นอย่างไม่สนใจใยดี “สงสัยคนพวกนี้จะยังไม่รู้ ว่ากำลังพลของหน่วยงานที่ข้าจะไปรับตำแหน่งนั้นประจำการอยู่ที่อาณาเขตดาวผืนนี้ ยิ่งนับวันกำลังพลในมือก็ยิ่งเพิ่มขึ้นแล้ว กำลังทหารเข็มแข็งเกรียงไกร ไปไหนมาไหนก็สะดวก ถ้าว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ข้าจะดึงตัวมาล้างเลือดที่นี่อีกสักครั้งดีมั้ย?”
คนคนนั้นตะโกนทันที “เจ้ากล้าเหรอ!”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ขุนนางทั้งราชสำนักข้าก็ล่วงเกินมาหมดแล้ว สักวันก็ต้องตายอยู่ดี อยู่รอดไปหนึ่งวันก็ถือว่าได้กำไรไปอีกวัน เจ้าว่าข้ากล้ารึเปล่าล่ะ? ข้าไม่กลัวที่จะบอกพวกเจ้าด้วย ว่าตั้งแต่ที่เห็นพวกเจ้ามายืนอุดทางอยู่แบบนี้ ข้าก็เตรียมจะทำแบบนี้แล้ว!”
ชั่วพริบตานั้น กลุ่มผู้จัดการร้านสีหน้าเปลี่ยนโดยฉับพลัน มีบางคนถึงขั้นตกใจจนหน้าซีด ถ้าเป็นคนอื่นพูดเขาอาจจะไม่เชื่อ แต่เจ้าบ้านี่พูดก็เกรงว่าจะทำจริงๆ…
…………………………