พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1342 ฟ้าเปลี่ยนแล้ว
ผู้บัญชาการใหญ่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ใต้สังกัดกุมกำลังพลหนึ่งแสนเป็นเป็นอย่างต่ำ กองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์บุกเหนือตีใต้เป็นระยะเวลานาน ล้วนเป็นทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกร บวกกับเครื่องมืออาวุธที่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่คนที่ทหารของตำหนักสวรรค์จะเทียบติดเลย
ลองคิดดูสักนิดสิว่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้อ้างข้อหา ‘ปราบโจร’ เข้าไปตรวจค้นที่ตำหนักสวรรค์ ใครจะกล้าต่อต้าน ต่อให้จะมีคนรู้ว่วาอีกฝ่ายจงใจหาเรื่อง แต่จะกล้าลงมือกับกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์เหรอ? อีกฝ่ายกุมอำนาจทางทหารมหาศาลไว้ในมือ ถ้าจงใจหาเรื่องทำร้ายเจ้า ยังกลัวเจ้าจะไม่ตายอีกเหรอ?
คนอื่นอาจจะไม่กล้าทำแบบนี้ แต่เรื่องที่คนอื่นไม่กล้าทำ เจ้าเวรนี่ทำมาแล้วสองรอบ ใครจะกล้ารับประกันว่าเจ้าบ้านี่จะไม่ทำเป็นครั้งที่สาม? ก็เป็นอย่างที่เขาบอก สักวันก็ต้องตายอยู่ดี อีกฝ่ายไม่แยแสแล้ว เป็นการปล่อยมือจากหม้อแตก[1]โดยแท้
กลุ่มผู้จัดการร้านตกใจแล้วจริงๆ มีคนไม่น้อยฉายแววหวาดกลัวในดวงตาแล้ว ตอนนี้นึกเสียใจทีหลังแล้ว
ก่อนหน้านี้ต่อให้รู้ข่าวว่าเหมียวอี้จะย้ายออกไป ทุกคนก็ไม่แสดงอาการเยาะเย้ยอะไรเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก กลับยิ่งสงบเสงี่ยมลงด้วยซ้ำ กลัวว่าเหมียวอี้จะพลิกกระดานแล้วตัวเองจะซวยได้ จนกระทั่งตอนนี้เมื่อแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้กำลังจะไป ทุกคนถึงได้เอวแข็งขึ้นมา วิ่งมา ‘ส่งเดินทาง’ แต่ใครจะคิดว่าล้วนเป็นการรนหาที่ตาย!
ทหารยามที่อยู่รอบๆ สังเกตเหตุการณ์ในสถานที่นั้น เมื่อเห็นผู้บัญชาการใหญ่หนิวเอ่ยคำเดียวก็ทำให้กลุ่มผู้จัดการร้านตกใจจนกลายเป็นแบบนี้ ขณะที่แอบขำก็รู้สึกปลงอนิจจังอีกผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่แข็งกร้าวขนาดนี้ คาดว่าทั้งระบบตลาดสวรรค์คงจะมีท่านนี้แค่คนเดียวแล้ว ย่อมทำให้ทหารเล็กๆ ระดับล่างเป็นเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำไปด้วย ขนาดพวกร้านค้าใหญ่ๆ เห็นพวกเขาก็ยังต้องเกรงใจ แต่ถ้ารอให้ผู้บัญชาการใหญ่ไปแล้ว เกรงว่าทุกคนคงจะไม่ได้ใช้ชีวิตที่ชุ่มชื้นเหมือนก่อนหน้านี้อีก
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สบตากันแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ต่างก็แอบทอดถอนใจ ‘เจ้าห้า’ เอ๊ย เจ้าเหลือทางรอดให้พวกเราสองคนสักหน่อยได้มั้ย ขนาดจะไปแล้วยังขู่คนขนาดนี้ ต่อไปถ้าพวกลูกน้องเอาเราสองคนไปเปรียบเทียบกับเจ้า แล้วจะให้พวกเราจนความรู้สึกได้อย่างไร!
จู่ๆ สถานที่ตรงนั้นก็เงียบลง จ้านหรูอี้หันกลับไปมองข้างแวบหนึ่ง เมื่อเห็นทุกคนโดนขู่จนตกใจกลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว นางก็ตะโกนทันที “อย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล กำลังพลหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะระดมพลมาทำซี้ซั้วตามคำสั่งเขาได้ยังไง!”
ไม่รู้ว่าคำพูดเกลี้ยกล่อมของนางจะได้ผลหรือไม่ แต่เสียงตะโกนที่ตามมาติดๆ ของเหมียวอี้กลับได้ผลดีมาก “หลีกทางให้พ่อ!”
เสียงฝีเท้าดังไม่ขาดสายราวกับกระแสน้ำ เริ่มจากพวกผู้จัดการร้านที่อยู่แถวหน้า ไปจนถึงกลุ่มคนที่ดูเอาสนุกอยู่ข้างหลัง รีบแยกทางให้สองฝั่ง ไม่มีใครกล้าขวาง
พวกคนไม่ได้เรื่อง ไม่น่าเชื่อว่าจะทนคำขู่ไม่ได้ขนาดนี้ จ้านหรูอี้โมโหจนกัดฟันแน่น
เมื่อได้เห็นฉากนี้กับตา สวีถังหรานเรียกได้ว่าแอบอิจฉา ถ่ายทอดเสียงบอกเสวี่ยหลิงหลงว่า “ถ้าแสดงบารมีแล้วไม่สามารถทำให้คนเชื่อฟังได้ก็ไม่เรียกว่าบารมีหรอก กล้าทำให้มันมีบทบาทขึ้นมาสิถึงจะเรียกว่าความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว! ฮูหยิน เห็นหรือยังล่ะ นี่ก็คือบารมีและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่ผู้กุมอำนาจทุกคนหวังจะมี ที่อาณาเขตผืนนี้ ผู้บัญชาการใหญ่ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้!”
เดิมทีเขาตั้งใจจะให้เสวี่ยหลิงหลงเห็นสิ่งที่ตัวเองเลือก ว่าการเลือกติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไม่ใช่ทางเลือกที่ผิด
เสวี่ยหลิงหลงมองดูเหมียวอี้ที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง ในดวงตาสื่อแววหลากความรู้สึก ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็หวังให้คนที่ตัวเองแต่งงานด้วยเป็นวีรบุรุษไม่ใช่หมีควายทั้งนั้น…ถ้าไม่ใช่เพราะมีหมวกมุ้งปิดบังใบหน้า นางก็ไม่กล้าแสดงสายตาแบบนี้เช่นกัน ไม่ใช่เพราะว่านางมีความคิดอื่นใด เพียงแต่เคยคลาดผ่านกันมาก่อน ทำให้นางนึกเสียดายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในใจนางรู้ชัดเจน ว่ายามผู้ชายของตัวเองเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่ราบรื่น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงความเผด็จการจนพลิกสถานการณ์ได้แบบนี้!
เฟยหงที่สวมหมวกมุ้งคลุมใบหน้ามองดูทางที่แหวกออกเพราะเสียงตะโกนครั้งเดียว แล้วก็มองดูเหมียวอี้อีกครั้ง ในดวงตาสื่อแววหลากความรู้สึกเช่นเดียวกัน
เหมียวอี้เหล่ตามองจ้านหรูอี้อย่างดูแคลน แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
เหมียวอี้นำคนเหาะขึ้นฟ้าไป ไม่ได้เดินผ่านทางที่ทุกคนหลีกให้ เขาทำเพี่อให้จ้านหรูอี้ได้เห็นว่าคำพูดของใครกันแน่ที่ใช้ได้ผล เขากำลังตบหน้าจ้านหรูอี้
ไม่ได้เดินผ่านทางที่ทุกคนหลีกให้งั้นเหรอ? กลุ่มผู้จัดการร้านที่หลีกทางให้ทำสีหน้าเดือดพล่านเช่นกัน อับอายโมโหจนเกินทน ตอนนี้กำลังโดนตบหน้า
เดิมทีทุกคนมาเพื่อสร้างความอัปยศให้เหมียวอี้ ผลปรากฏว่าโดนเหมียวอี้ทำให้อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถนนว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าสายนี้ เหมือนกับเสียงตบหน้าที่ดังชัดเจน
หยางชิ่งที่เหาะขึ้นฟ้าตามไปก็แอบยิ้มเจื่อนเช่นกัน พบว่านี่คือจุดที่ตัวเองแตกต่างกับเหมียวอี้ที่สุด ท่านนี้ชอบทำอย่างหยาบคายไร้เหตุผล ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองคงพูดอะไรแบบนี้ออกมาไม่ได้ สถานการณ์คือสิ่งที่ร้ายกาจกว่ากำลังคน อย่างมากก็กลับมาสะสางบัญชีอีกรอบ แต่จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าความพาลหยาบคายของเหมียวอี้ ในบางครั้งก็ใช้ได้ผลดีกว่าแผนการที่รอบคอบของเขา ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ไง!
คนกลุ่มนี้มีห้าคนที่มีฐานะขุนนาง เหมียวอี้ สวีถังหราน หยางชิ่ง หยางเจาชิง เหยียนซิว คนในครอบครัวที่ติดตามไปด้วยมีแปดคน มีเฟยหงกับสาวใช้สองคน เสวี่ยหลิงหลงกับสาวใช้สองคน ชิงจวี๋ หลินผิงผิง
มีทั้งหมดสิบสามคน บวกกับทหารสวรรค์ที่ทางนี้ส่งไปคุ้มกันอีกยี่สิบคน เหาะผ่านประตูตะวันออกขึ้นไปบนฟ้ากว้างอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตากลุ่มคนที่มองส่ง
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ไม่ได้ออกจากเมืองไปส่ง เหมียวอี้ห้ามเอาไว้ เมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาฝูงชนจะต้องตัดขาดกันให้ชัดเจน ในภายหลังทั้งสองจะได้ควบคุมตลาดสวรรค์ได้สะดวก
ไปแล้ว…หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังมองส่งสายตาเลื่อนลอย
ข้างหูได้ยินจ้านหรูอี้ถ่ายทอดเสียงบอกมาว่า “ช่างมีสัจจะและจงรักภักดี! สามารถทิ้งปัจจัยใจที่อุดมสมบูณ์ของตลาดสวรรค์และจากไปได้ ในสังคมทุกวันนี้ ลูกน้องอย่างสวีถังหรานพบเห็นได้น้อยมากแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเดินทางผิดติดตามโจรสุนัขอย่างหนิวโหย่วเต๋อไปอย่างสุดจิตสุดใจ น่าเสียดายจริงๆ!”
หวงฝู่จวินโหรวหันกลับมามองจ้านหรูอี้ด้วยสีหน้าทอดถอนใจ เรียกได้ว่าค่อนข้างพูดไม่ออก เหมือนเพื่อนสาวคนนี้ไม่ได้ชื่นชมสวีถังหรานแบบธรรมดา หวงฝู่จวินโหรวอยากจะถามมากว่านางรู้จักสวีถังหรานมากเท่าไรเชียว แต่สวีถังหรานดันเป็นสามีของเพื่อนสาวอีกคนของนาง นางไม่สะดวกจะพูดถึงในทางที่ไม่ดี
ก่อนหน้านี้หลังจากจ้านหรูอี้มาถึงแล้วถามนางว่ามีใครติดตามเหมียวอี้ไปบ้าง นางก็ทอดถอนใจแล้ว ตอนนี้ก็เป็นแบบนี้อีก
จ้านหรูอี้มีตารางงานอื่นอีก ไม่มีอารมณ์จะอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ผู้หญิงทั้งสองเดินนำไปก้าวหนึ่งก่อน รอจนทั้งสองเดินออกไปแล้ว เซียวฉีเจินผู้จัดการร้านภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทก็รีบเดินมาที่ตีนบันได กุมหมัดคารวะพร้อมถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ฝู เมื่อครู่ท่านก็ได้ยินสิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อพูดแล้ว วันหลังหากเขาพาคนมาล้างเลือดตลาดสวรรค์ ท่านจะขัดขวางหรือไม่ขัดขวางกันแน่?”
“เอ่อ…” ฝูชิงเอามือลูบเครา ทำสีหน้าลำบากใจ จงใจจะกลั่นแกล้งสักหน่อย
กลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างกรูเข้ามาทันที มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งแทรกผ่านมาขวางไว้ตรงหน้า กลุ่มผู้จัดการร้านต่างคนต่างแย่งกันพูดกับฝูชิงที่อยู่บนบันได
“ผู้บัญชาการใหญ่ฝู ตอนนี้ท่านได้คุมตลาดสวรรค์แล้ว จะให้คนข้างนอกมาทำกำเริบเสิบสานที่ตลาดสวรรค์ได้ยังไง!”
“ใช่แล้ว! ผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าโดนหนิวโหย่วเต๋อบุกมาก่อกวนในนี้จริงๆ ในฐานะที่ท่านเป็นขุนนางที่ประจำการที่นี่ ก็ยากที่จะพ้นโทษได้เหมือนกันนะ!”
“ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกล้าพาลกำเริบเสิบสานแบบนี้จริงๆ ผู้บัญชาการใหญ่ควรจะปิดประตูของสี่เขตเมือง ตัดขาดไม่ให้เขาก่อหายนะที่ตลาดสวรรค์ได้”
“ใช่ ควรจะปิดค่ายกลใหญ่!”
ข้างล่างเรียกได้ว่าแย่งกันพูดเสียงดัง พวกเขาเข้าใจชัดเจนมาก ว่าถ้าเหมียวอี้จะนำทัพใหญ่มาล้างเลือดตลาดสวรรค์อย่างสง่าผ่าเผยจริงๆ ร้านค้าในตลาดสวรรค์ก็ไม่มีทางโต้ตอบกำลังพลของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้ ผู้ที่มีสิทธิ์จะปฏิเสธไม่ให้หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายบุกเข้ามาในอาณาเขตตัวเองได้ ก็คือกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ประจำการอยู่ที่ตลาดสวรรค์ แต่ผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่ดันเป็นลูกน้องเก่าของเจ้าบ้านั่น ถ้าเจ้าเวรนี่ให้ความร่วมมือปล่อยคนเข้ามา ทุกคนจะมีทางรอดชีวิตได้อย่างไร
พวกลูกค้าขาจรที่มาดูเอาสนุกได้ยินชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อมานาน วันนี้นับว่าได้รู้ถึงอำนาจบารมีของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ถึงแม้ตัวจะไม่อยู่ แต่อำนาจบารมีของขุนพลที่ซึมแทรกมาหลายปียังคงอยู่!
ขณะมองดูสายตาแสดงอาการหวาดกลัวค้างของกลุ่มผู้จัดการร้านที่อยู่ตรงหน้า ฝูชิงก็ทั้งโมโหทั้งอยากขำ เจ้านายคนก่อนเพิ่งจะออกไป พ่อค้าพวกนี้ก็ยอมรับเขาเป็นเจ้านายทันที กลับทำให้เขาไม่ต้องเปลืองแรงทำอะไรมากแล้ว แต่นี่ไม่ได้เป็นเพราะตัวเขาเองมีบารมีความน่าเชื่อถืออะไรนัก แต่เป็นเพราะโดนเจ้าห้าขู่ไว้ ตอนนี้เจ้าพวกเวรกลุ่มนี้กำลังขอร้องเขา เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ก่อนจะจากไปเจ้าห้ากลับมอบความสบายใจให้เขา ช่วยเหลือเขาได้เยอะมาก
แต่จะว่าไปแล้ว แค่อาศัยสิ่งที่เหมียวอี้เคยทำไว้ที่ตลาดสวรรค์ ฝูชิงก็ไม่กล้ารับประกันเช่นกันว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้พูดจริงหรือพูดเล่น ตามหลักการแล้วก็ไม่น่าจะทำให้เขาลำบากใจสิ
“พี่รอง พอเจ้าห้าขู่ไว้ก็ทำให้ท่านจัดการเรื่องต่างๆ ได้ราบรื่นทันที เรียกได้ว่าประหยัดแรงไปเยอะ เจ้าห้าก็คือกระบี่ที่แขวนอยู่เหนือศีรษะพวกเขา ที่ตลาดสวรรค์ของข้าไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง” อิงอู๋ตี๋ถ่ายทอดเสียงบอก เหมือนจะอิจฉาอยู่บ้าง
ฝูชิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ภายนอกกลับกดมือให้พวกผู้จัดการร้านที่อารมณ์เดือดพล่านอยู่ข้างล่าง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ทุกคนไม่ต้องกลัว ในเมื่อข้าคุมอยู่ที่นี่ ก็จะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นที่นี่เด็ดขาด ข้าเองก็ไม่อยากเห็นที่นี่เกิดเรื่องทันทีที่ข้ารับช่วงต่อ เดี๋ยวกลับไปข้าจะต้องเจรจาแก้ปัญหากับผู้บัญชาการใหญ่หนิวแน่นอน ทุกคนกลับไปก่อน เลือกตัวแทนสมาคมร้านค้ามาก่อนจำนวนหนึ่ง รอให้ข้าได้รับคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แล้วก็ค่อยมาประชุมที่ตำหนักคุ้มเมืองอีกครั้ง จะมอบกฎระเบียบตลาดสวรรค์ให้ร้านค้า!”
ตอนนี้เขายังเป็นตัวแทน คำสั่งแต่งตั้งของอิงอู๋ตี๋ยังไม่มา คำสั่งแต่งตั้งของผู้ที่เข้าร่วมทดสอบ ตอนนี้ยังไม่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ตอนนี้แต่ละที่กำลังอยู่ในระหว่างการปรับโยกย้าย
คนของร้านค้าขนาดกลางและเล็กไม่ได้มา ไม่อย่างนั้นถ้าได้ยินคำพูดนี้แล้วจะต้องรู้สึกหดหู่ใจแน่นอน การให้ผู้จัดการร้านที่มีอำนาจพวกนี้เลือดตัวแทนสมาคมร้านค้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการกลับไปอยู่ในระบบเดิมก่อนหน้านี้ ธุรกิจบางอย่างจะต้องถูกผูกขาดอีกครั้ง จะต้องทำให้ผลประโยชน์ของพวกเขาเสียหายอย่างหนักแน่นอน ทว่าต่อให้พวกเขามาก็ไม่มีประโยชน์ ฝูชิงยังประกาศอีกว่า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมุทะลุดุดันเหมือนเหมียวอี้ต่อไป เขาไม่มีต้นทุนที่จะดันทุรังต่อต้านแบบนั้น
การยอมถอยให้นี้ได้แสดงท่าทีของเขาชัดเจนแล้ว ก่อนที่จะได้รับคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เขาไม่อยากล่วงเกินพวกผู้มีอำนาจมากเกินไป แต่เขาก็ต้องการรักษาระยะห่างกับทุกคน ให้ทุกคนได้รู้ว่าเขาจะไม่ทำลายผลประโยชน์ของทุกคน จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้เบื้องบนมีคนมาก่อกวน ทำให้การรับตำแหน่งของเขาแสดงตัวแปรออกมา
ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะรับประกันความปลอดภัยของทุกคน ก็เพราะอยากจะให้คนพวกนี้เข้าใจ ว่าถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นมารับตำแหน่งนี้ ก็อาจจะห้ามปรามไม่ให้เหมียวอี้ทำซี้ซั้วไม่ได้
สรุปก็ก็คือต้องการจะรับประกันว่าคนของเขาที่อยู่ทางนี้จะขึ้นสู่ตำแหน่งได้อย่างราบรื่น กุมอำนาจของตลาดสวรรค์ได้โดยสมบูรณ์
กลุ่มผู้จัดการร้านสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขายังไม่ทันเอ่ยปากเจรจาเรื่องนี้เลย นึกไม่ถึงว่าฝูชิงจะเป็นฝ่ายปลดเครื่องจองจำที่อยู่บนตัวพวกเขาก่อน พวกเขากุมหมัดคารวะทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ช่างปราดเปรื่อง!”
มู่หรงซิงหัวที่ยืนอยู่ข้างๆ เงียบงัน ได้เห็นกับตาว่าเหมียวอี้เพิ่งจะไปแต่ฝูชิงก็ล้มระบบที่เหมียวอี้สร้างไว้หลายปีแล้ว นับว่าทำให้นางรับรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘เมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ก็เปลี่ยนราชำสำนักใหม่’ พอมองเห็นลูกน้องคนสนิทแต่ละคนของฝูชิงที่ทำสีหน้าดีใจ รอให้อิงอู๋ตี๋พาลูกน้องคนสนิทไปรับตำแหน่ง ที่นี่ก็คือโลกของฝูชิงแล้ว ในที่สุดนางก็เกิดความคิดที่จะยอมแพ้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดก่อนหน้านี้หมายความว่าอย่างไร ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าสวีถังหรานจอมประจบมที่นางดูถูกนั้นที่จริงแล้วฉลาดกว่านาง รู้จักรุกรู้จักถอยยิ่งกว่านาง เมื่อเปลี่ยนกษัตริย์ก็เปลี่ยนขุนนาง ฟ้าเปลี่ยนแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นางจะอยู่ได้นานอีกต่อไป…
…………………………
[1] ปล่อยมือจากหม้อแตก 破罐子破摔 อุปมาว่าไม่เสียดายเพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว