พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1343 ลูกลิงน้อย
ในดาราจักร หลังจากเลี่ยหวนกับหูเฟยคำนับตรงหน้าเหมียวอี้ ก็หลีกทางไปอยู่ทางซ้ายและขวาอีกครั้ง ส่วนคนที่อยู่ข้างหลังทั้งสองก็คือไห่ผิงซินที่จมูกเชิดและสะบัดหน้าหนีเนื่องจากยังไม่หายโกรธ
เมื่อเห็นเด็กสาวคนนี้ เหมียวอี้ก็ค่อนข้างพูดไม่ออกจริงๆ ทำให้สลบและส่งตัวไปที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวแล้ว พอตื่นขึ้นมาแล้วนางจะเป็นจะตายก็ไม่ยอมอยู่ที่นั่น ปี้เยว่ก็ทำอะไรนางไม่ได้เช่นกัน ถ้าปล่อยให้นางก่อเรื่องที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว สักวันก็จะมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติ จะมัดนางไว้ตลอดก็ไม่ได้ จึงทำได้เพียงส่งนางกลับมา ให้นางติดตามเหมียวอี้ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย
หยางชิ่งกับหยางเจาชิงสบตากันโดยจิตใต้สำนึก ต่างก็มองออกถึงความสงสัยในดวงตาของทั้งสองฝ่าย ตอนที่ไห่ผิงซินคนนี้ปรากฏตัว ก็เรียกได้ว่าวรยุทธ์ไม่สูง ทั้งยังไม่ใช่ลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ แต่กลับเป็นคนเดียวที่กำเริบเสิบสานต่อหน้าเหมียวอี้มากที่สุด แต่เหมียวอี้ดันรู้สึกว่าไม่มีทางลงมือกับนางได้ด้วย เคยตัวแล้ว!
“นางหนู พ่อเจ้าน่าจะมีลูกน้องเก่าอยู่ข้างนอกบ้าง ให้แม่เจ้าติดต่อพ่อเจ้าแล้วส่งเจ้าไปอยู่กับลูกน้องเก่าพ่อเจ้าดีมั้ย?” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอก ใช้คำพูดดีๆ เกลี้ยกล่อม เขาไม่อยากพานางไปด้วยจริงๆ
ไห่ผิงซินเบะปากบอกว่า “ข้าอยู่ข้างกายท่านเพราะมีสถานะเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ถ้าไปโผล่อยู่ข้างกาย ‘โจรกบฏ’ แล้วมีคนเจอขึ้นมา ท่านไม่กลัวเหรอ?”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก
ไห่ผิงซินหันซ้ายหันขวามองข้างหลังเขาอีก นางฮึกเหิมลำพองใจ ถามด้วยแววตาเป็นประกายว่า “เฟยหงล่ะ? ท่านคงไม่ถึงขั้นไม่พาไปแม้แต่อนุภรรยาของตัวเองหรอกใช่มั้ย?”
คนในครอบครัววรยุทธ์ไม่สูง ส่งผลต่อความเร็วในการเหาะเดินทาง จึงถูกเก็บเข้าใจกระเป๋าสัตว์แล้ว
พูดถึงเฟยหงอีกแล้ว! เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที นางเด็กบ้านี่คิดถึงแต่เฟยหงไม่รู้จักลืมจริงๆ
ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าตัวเองจะถูกย้ายไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ก็คงไม่จำเป็นต้องให้กลุ่มตาแก่ที่แดนอเวจีใช้ความพยายามมากขนาดนี้จนมีนางหนูคนนี้เกิดมาหรอก เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลังแทบตาย ยังไม่ต้องสนใจว่าจะบีบจุดอ่อนปี้เยว่ได้มั้ย กลับกลายเป็นเหมือนได้บรรพบุรุษมาไว้ในมือด้วยซ้ำ เหมือนย้ายก้อนหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเองแท้ๆ
“เหยียนซิว เก็บนางเข้าในกระเป๋าสัตว์!” เหมียวอี้หันกลับมาตะโกนสั่ง
ไห่ผิงซินโบกมือ “ข้าไปเองได้ อย่าเก็บข้าเข้าไป ข้า…”
พรึ่บ! เหยียนซิวถลันตัวมาข้างหลังนางแล้ว คว้าหลังคอนางจนนางตาเหลือก ถูกเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์ของเหยียนซิวโดยตรง
เหมียวอี้พยักหน้าเลี่ยหวนและภรรยา พอโบกมือหนึ่งที ก็พาคนเหาะไปยังจุดลึกในดาราจักรต่อ…
“เหอะๆ ไปเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีอีกรอบแล้วกลับมารับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์งั้นเหรอ การทดสอบที่นรกทำให้คนเปลี่ยนเป็นไม่เกรงกลัวอะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร…เหอะๆ ทั้งยังจะพากำลังพลหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายไปล้างเลือดตลาดสวรรค์…ล่วงเกินขุนนางไว้เต็มราชสำนักแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ตายอยู่ดี รอดชีวิตไปได้หนึ่งวันก็ถือว่าได้กำไรหนึ่งวัน เจ้าว่าข้ากล้าหรือไม่กล้าล่ะ? ข้าจะบอกพวกเจ้าไว้ก่อนนะ ว่าตั้งแต่ที่เห็นพวกเจ้ามายืนอุดทางอยู่แบบนี้ ข้าก็เตรียมจะทำแบบนี้แล้ว…”
ในตำหนักดาราจักร ขณะที่ถือรายงานที่ซือหม่าเวิ่นเทียนส่งมาให้ ประมุขชิงก็อ่านพึมพำอยู่เป็นระยะ บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่างส่ายหน้าเบาๆ พลางยิ้มเจื่อน เขาเองก็ได้เห็นการรายงานข่าวที่น่าชื่นชมแบบนี้ไม่บ่อย ตอนที่เขาอ่านก็อดไม่ได้ที่จะขำเช่นกัน
ในใต้หล้ามีเรื่องราวใหญ่โตตั้งมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะสนใจตัวละครเล็กๆ เป็นเวลานานขนาดนี้ เดิมทีตัวละครต่ำต้อยแบบเหมียวอี้ ต่อให้จัดการเรียบร้อยแล้วแต่ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานขึ้นมาให้ประมุขชิงรู้ เพียงเพราะครั้งก่อนประมุขชิงเคยตั้งใจถามเรื่องนี้ ครั้งนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนนับว่าให้คำตอบกับประมุขชิงได้แล้ว
พอมาดูตอนนี้แล้ว ข่าวนี้ก็มีผลดีอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน อย่างน้อยก็ทำให้ประมุขชิงหัวเราะได้ นับว่าไม่ทำให้ความพยายามของทูตซ้ายซือหม่าสูญเปล่าแล้ว
พอนึกถึงเหมียวอี้นั่น ซือหม่าเวิ่นเทียนก็รู้สึกเซ็งในใจอยู่บ้าง หมากตัวหนึ่งที่ใช้ความพยายามมากมายเพื่อเลี้ยงขึ้นมา แค่ยกประโยชน์ให้เหมียวอี้ก็ว่าแย่แล้ว เดิมทีต้องการจะทำให้เป็นฮูหยินเอกของเหมียวอี้ ถ้าเป็นแบบนั้นจะได้สืบข่าวได้สะดวกหน่อย แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะใจแข็งเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมรับเฟยหงเป็นฮูหยินเอก ไม่น่าเชื่อว่ายังจะกล้าเรียกกำลังพลมาล้อมแม่เฒ่าลวี่กับคนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ช่างไม่สนใจกฎระเบียบธรรมเนียมเลยจริงๆ
ตอนหลังก็กดดันให้เขาไม่มีทางเลือด ทำได้เพียงยอมถอยให้ ทำให้หมากตัวหนึ่งที่เขาตั้งใจเลี้ยงอย่างดีกลายไปเป็นอนุภรรยา ไม่อย่างนั้นก็อาจจะทำให้เรื่องที่ทำสำเร็จอย่างยากเย็นพังลงได้ พอมาคิดดูตอนนี้ คาดว่าพื้นเพอาชีพในหอนางโลมของเฟยหงคงจะเกินทนจริงๆ
แน่นอน เขาเองก็อับอายที่จะต้องเขียนเรื่องประเภทนี้ไว้ในรายงาน
ประมุขชิงที่รู้สึกบันเทิงอยู่พักหนึ่งโยนแผ่นหยกกลับไว้บนโต๊ะ ยังคงกล่าวอย่างกลั้นขำไม่ไหวว่า “เจ้าลูกลิงน้อยที่กระโดดขึ้นกระโจนลงตัวนี้ตัวตลกจริงๆ กล้าประกาศว่าจะดึงกองทัพองครักษ์ของข้าไปล้างเลือดตลาดสวรรค์ ต่อไปราชินีสวรรค์จะไม่มาคิดบัญชีกับข้าหรอกเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนย่อมรู้ว่าเขากำลังล้อเล่น ราชินีสวรรค์จะกล้ามาคิดบัญชีกับเขาได้อย่างไร จึงกล่าวกลั้วหัวเราะตามด้วยว่า “เขาเป็นคนเท้าเปล่าที่ไม่กลัวว่าจะไม่มีรองเท้าใส่ เป็นตายที่ไม่กลัวน้ำร้อนลวก แต่กลับทำให้ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักตกใจแทบแย่”
ประมุขชิงผงกศีรษะด้วยใบหน้าที่เจือรอยยิ้ม “โดนล้างเลือดไปแล้วสองครั้ง ไม่กลัวก็แปลกแล้ว ชื่อเสียงไม่ดีดังไปถึงข้างนอก ลูกลิงน้อยตัวนี้ไม่ว่าจะวางไว้ที่ตลาดสวรรค์ไหนก็ทำให้ขู่ให้คนสะเทือนขวัญได้เป็นแถบ เฉิงอวี่ต้องการปรับปรุงตลาดสวรรค์ ในมือมีดาบดีขนาดนี้แต่ไม่รู้จักใช้ กลับปล่อยไปง่ายๆ สายตาสั้นไปหน่อยนะ ถ้าพูดในกรณีที่แย่ที่สุดก็ยังเจ่าเล่ห์เห็นแก่ตัว ไม่อยากทำลายผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว”
ปัญหานี้ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่สะดวกจะวิจารณ์แล้ว กล่าวเพียงคำพูดตอนแรก “ตอนนี้ข้าน้อยกังวลว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะทำตามที่พูด อีกประเดี๋ยวถ้าดึงดำลังพลไปล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์อีกครั้ง แบบนั้นเรื่องราวก็จะใหญ่โตแล้วขอรับ”
ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “คนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจะโง่กันหมดเชียวหรือ ถูกเขาดึงไปทำเรื่องพรรค์นั้นได้ง่ายๆ เหรอ? วางใจเถอะ! ต่อให้เขาจะทำแบบนี้จริงๆ ก็มีคนคอยห้ามอยู่แล้ว ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก อืม ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย…” สายตาเหลือบลงมองซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง “ดูท่าแล้ว คนของเจ้าคงจะอยู่ข้างกายเขาแล้ว ครั้งก่อนถ่วงเวลาตั้งนาน ครั้งนี้ใช้เวลาไม่กี่วันก็ทำสำเร็จแล้วเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนฟังออกถึงความหมายอีกอย่างที่อยู่ในเสียงนี้ เหมือนกำลังตำหนิว่าก่อนหน้านี้ไม่เก็บคำพูดของข้าไปใส่ใจ ต้องให้ข้าเร่งรัดซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงจะไปปฏิบัติจริงงั้นเหรอ? เขาหัวใจกระตุกวูบทันที ภายนอกยังยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “เขาล่วงเกินคนอื่นไว้เยอะเกินไป ทั้งยังเคยโดนลอบสังหาร จึงระวังตัวเองสูงมาก แทบจะไม่เคยโผล่หน้าออกมาเลย ข้าน้อยนึกว่าต้องใช้เวลาอีกหลายปีถึงจะจัดการเรียบร้อย จะว่าไปก็บังเอิญเหมือนกัน ลูกน้องสองคนของเขากลับมาจากการทดสอบพอดี บังเอิญจัดงานเลี้ยงฉลอง ก็เลยคว้าโอกาสนี้ไว้ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจะต้องยังไต่ตรองอย่างระมัดระวังสักหน่อย ทางหน่วยตรวจการฝ่ายซ้าย ข้าน้อยกำชับพวกลูกน้องมาตลอด ยอมให้เรื่องราวล่าช้า ดีกว่ายอมให้ตัวเองโดนเปิดโปงขอรับ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนคนเจตนาไม่ดีอาศัยเบาะแสนี้สืบเรื่องอื่น ผลที่ตามมาเลวร้ายจนไม่อยากจะคิด”
ประมุขชิงไม่ได้คัดค้านหรือคล้อยตาม มองแผ่นหยกบนโต๊ะแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ลูกลิงน้อยตัวนี้น่าสนใจอยู่บ้าง ต่อไปถ้ามีเรื่องน่าสนใจอะไรเกี่ยวกับเขา ก็รายงานขึ้นมาได้เลย คิดเสียว่าอ่านเพื่อความบันเทิงแล้วกัน”
“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับ แล้วเตือนซ้ำอีกว่า “ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อวรยุทธ์ค่อนข้างต่ำ จับเขามาวางที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเพื่อรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ คนส่วนใหญ่ในกองทัพองครักษ์ล้วนเป็นทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกร เกรงว่าจะคุมคนได้ยาก ข้าน้อยกลัวว่าจะเกิดเรื่อง จะต้องบอกให้สายลับไปดูแลสักหน่อยมั้ยขอรับ”
ประมุขชิงตอบเสียงเรียบว่า “ไม่มีความจำเป็นนั้น ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่น การจับโยนไปที่นั่นจะมีความหมายเหรอ? ดาบจะคมได้ก็ต้องผ่านการลับ ถ้าแม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่เล็กๆ ยังยืนให้มั่นคงไม่ได้ ก็แสดงว่าคนอื่นๆ ของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแข็งแกร่งกว่าเขา แบบนั้นข้าจะต้องการเขาไว้ทำอะไร? ถ้าทำให้โอกาสที่ข้ามอบให้สูญเปล่าจริงๆ จะตายก็ตายไปเถอะ”
“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับเบาๆ เขารู้หลักการนี้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ก็ต้องพูดให้ชัดเจนไว้ก่อน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นเจ้าจะได้โทษข้าไม่ได้
ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ หอสามรากฐาน
โค่วเจิง โค่วฉิน โค่วเหมี่ยน สามพี่น้องยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ยังคงรายงานเรื่องที่เกี่ยวกับถายนอกและภายในตระกูลโค่วตามธรรมเนียม อ๋องสวรรค์โค่วหลิงซวีหลับตาพิงเก้าอี้นั่งฟัง
“ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้วเหรอ?”
หลังจากโค่วเหมี่ยนลูกชายคนที่สามรายงานว่าเหมียวอี้ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าแล้ว อ๋องสวรรค์โค่วก็พลันลืมตาเอ่ยถาม
“ใช่ขอรับ ได้รับการยืนยันแล้ว กำลังจะไปรับตำแหน่งที่ทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ของผู้บัญชาการองครักษ์ฝ่ายซ้าย ระดับก็เหมือนเดิม ยังคงเป็นผู้บัญชาการใหญ่” โค่วเหมี่ยนพยักหน้า
กิจธุระสำคัญของจวนตระกูลโค่ว โค่วเจิงที่เป็นลูกชายคนโตเป็นคนดูแล ดังนั้นเรื่องสำคัญจึงถูกรายงานโดยเขา ส่วนน้องชายอีกสองคนก็รายงานเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวนี้ เป็นเพราะเหมียวอี้มีความสัมพันธ์อันดีกับโค่วเหวินหลาน เมื่อมีความเคลื่อนไหวอะไรก็ย่อมอยู่ในขอบเขตการรายงานของโค่วเหมี่ยนผู้เป็นลูกชายคนที่สาม
สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเพราะเหมียวอี้วรยุทธ์ต่ำเกินไป วรยุทธ์ไม่ได้สูงเท่าไรนัก ถ้าไม่ใช่เพราะก่อเรื่องบางอย่างขึ้น อ๋องสวรรค์โค่วจะรู้ได้อย่างไรว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นใคร ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่อ๋องสวรรค์โค่วก็คงไม่มาสนใจตัวละครเล็กๆ ตลอดเวลา เพียงชี้แนะลูกชายทั้งสามโดยอิงจากมุมมองของสถานการณ์โดยรวมเท่านั้น
เพียงแต่เมื่อได้ยินข่าวนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีเงื่อนงำบางอย่าง ในฐานะที่เคยผ่านการต่อสู้มายาวนาน ทำให้ได้กลิ่นที่ไม่ปกติทันที อ๋องสวรรค์โค่วถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าเด็กนั่นอยู่ที่ตลาดสวรรค์ดีๆ ทำไมถึงถ่อไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้ว?”
“ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์เขาชิงตัวลูกสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่มาเป็นอนุภรรยา…” โค่วเหมี่ยนเล่ารายละเอียดคร่าวๆ
อ๋องสวรรค์โค่วใช้นิ้วทั้งห้าเคาะที่วางมือบนเก้าอี้เบาๆ หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “อวี่จ้งเจินตามนางหนูลวี่ไปด้วยกัน…ทางตลาดสวรรค์ใครเป็นคนยินยอมปล่อยตัว?”
โค่วเหมี่ยนตอบว่า “คนแรกคือหัวหน้าภาคที่อยู่เบื้องบน แต่โดนเมียของเทียนหยวนขัดขวางไว้ แต่หนิวโหย่วเต๋อล่วงเกินคนอื่นไว้เยอะเกินไปจริงๆ ตอนหลังมีคนฟ้องพฤติกรรมชิงตัวอย่างเผด็จการของหนิวโหย่วเต๋อให้ราชินีสวรรค์รู้ ราชินีสวรรค์เดือดดาลจึงออกคำสั่งให้ตรวจสอบและลงโทษปลดตำแหน่งหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ทางด้านหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายจึงถือโอกาสรับตัวไป”
อ๋องสวรรค์โค่วเงียบไปครู่หนึ่ง สายตากวาดมองสามพี่น้อง พร้อมถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “เรื่องนี้พวกเจ้าสามพี่น้องคิดว่าอย่างไร?”
สามพี่น้องสบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่าบิดากำลังทดสอบพวกเขาอยู่ โค่วเจิงพี่ชายคนโตลังเลครู่เดียว ก่อนจะตอบว่า “ข้อหาชิงตัวเป็นเพียงข้ออ้าง ถึงแม้แม่เฒ่าลวี่จะไม่มีอำนาจก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ ในฐานะที่คนของวังสวรรค์อย่างแม่เฒ่าลวี่ได้รับความไม่ยุติธรรม หนิวโหย่วเต๋อไม่ไว้หน้าแม้แต่วังสวรรค์ ราชินีสวรรค์ย่อมไม่พอใจ จะต้องปกป้องศักดิ์หน้าตาของแม่เฒ่าลวี่ขอรับ”
อ๋องสวรรค์โค่วโบกมือชี้ “แล้วพวกเจ้าสองพี่น้องล่ะ?”
โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “คิดเหมือนพี่ใหญ่ขอรับ”
“เฮ้อ…” อ๋องสวรรค์โค่วถอนหายใจเบาๆ แล้วเอียงหน้ามองไปด้านข้างเล็กน้อย “ผู้เฒ่าถัง เรื่องนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าถังบ่าวชราที่ยืนอยู่ข้างกันพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปมองสามพี่น้องพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นางหนูลวี่นับว่าสำคัญอะไร! ตอนแรกมีขุนนางใหญ่มากมายไปขอคนจากราชินีสวรรค์ แต่ราชินีสวรรค์ก็ไม่ให้ ตอนนี้พอคนเฝ้าสวนคนหนึ่งได้รับความไม่ยุติธรรม ราชินีสวรรค์ก็ปล่อยคนไปโดยไม่กลัวว่าจะขัดใจคนอื่นแล้วเหรอ ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างทั้งสองฝ่ายสักหน่อย ประเด็นสำคัญคือแม้แต่กองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ก็เข้ามาร่วมด้วยแล้ว” เขาพูดถึงเพียงเท่านี้ ไม่เปิดเผยต่อแล้ว
…………………………