พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1346 แม้แต่ประตูก็เข้าไปไม่ได้
หลังจากฟังคำอธิบายของโป๋เยว เหมียวอี้ถึงได้เข้าใจถึงสาเหตุที่กองมังกรดำประจำการที่นี่ชั่วคราว บนอาณาเขตของท่านโหวเทียนหยวนค้นพบเหมืองเหรียญผลึกแล้ว ไม่ใช่เหมืองแร่ใต้ดินในความหมายทั่วไป แต่เป็นสายแร่ระหว่างดวงดาว ตามสิ่งที่โป๋เยวบอก นี่คือเหมืองแร่ที่โดนพลังงานจักรวาลลึกลับทำลายตอนที่ก่อตัวเป็นรูปร่าง มันแผ่กระจายอยู่ที่อาณาเขตดาวผืนนี้ แฝงอยู่บนดาวเคราะห์บริเวณนี้ ตอนนี้สำรวจพบแล้วว่าดาวเคราะห์ที่แฝงไปด้วยเหมืองเหรียญผลึกมีสามดวง สุดท้ายจะมีดาวเคราะห์กี่ดวงที่มีเหมืองเหรียญผลึก ตอนนี้ก็ยังไม่ ตอนนี้กำลังพิสูจน์ยืนยันจำนวนการกระจายตัว ขนาด ชนิดเหรียญ
กำลังพลของตำหนักสวรรค์กำลังตรวจสอบยืนยัน ส่วนทัพเป่ยโต้วก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้เคลื่อนกำลังพล รีบมาประจำการที่นี่ มาควบคุมอาณาเขตดาวผืนนี้ ไม่อนุญาตให้อำนาจอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง ดาวเคราะห์ทุกดวงที่ถูกยืนยันว่ามีเหมืองเหรียญผลึก ทัพเป่ยโต้วก็จะส่งกำลังพลกลุ่มหนึ่งมาเฝ้าไว้ ป้องกันไม่ให้มีคนขโมยขุดไปใช้ส่วนตัว รอจนตรวจสอบจำนวน ขนาดและชนิดเหรียญได้คร่าวๆ แล้ว ถึงจะส่งต่ออาณาผืนนี้ให้อำนาจท้องถิ่น ทำแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนฮุบประโยชน์ไว้ส่วนตัวเกินไป
การขุดเหมืองเหรียญผลึกก็ค่อนข้างยาก เปลือกโลกที่ฝังเหรียญผลึกเอาไว้จะแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ถ้าใช้กำลังของคนธรรมดาขุดก็จะใช้เวลาเยอะเกินไป ที่สำคัญก็คืออาณาเขตผืนนี้มีดาวเคราะห์ที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของมนุษย์อยู่ไม่กี่ดวง หมายความว่าดาวเคราะห์ที่มีเหรียญผลึกซ่อนอยู่ส่วนใหญ่จะเป็นดาวเคราะห์ที่รกร้าง ไร้แรงโน้มถ่วง ไร้อากาศ เป็นดาวเคราะห์ที่เปลือยโล่งอยู่ในดาราจักรแท้ๆ เลย มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางมาขุดที่นี่ได้ ตามระเบียบปฏิบัติแล้วต้องให้สำนักฝึกตนบนพื้นที่นั้นส่งคนมาขุด
สำนักฝึกตนในท้องที่ที่ส่งมาก็ย่อมไม่ได้ขุดให้เปล่าๆ จะต้องมีค่าตอบแทนตามสัดส่วน ตำหนักสวรรค์ก็ต้องการได้ผลประโยชน์เหมือนกัน อำนาจท้องถิ่นก็ย่องต้องการส่วนแบ่งสักส่วน เหมืองเหรียญผลึกบนอาณาเขตของข้า จะไม่มีส่วนแบ่งของข้าเชียวหรือ?
รอจนกระทั่งจัดการของพวกนี้เสร็จหมดแล้ว ภารกิจประจำการของทัพเป่ยโต้วถึงได้นับว่าเสร็จสิ้น ถึงจะสามารถส่งต่องานและจากไปได้
ส่วนเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของทัพเป่ยโต้วเช่นกัน ทั้งยังเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่บัญชาการทหารด้วย คำอธิบายที่กล่าวมาด้านบนก็คือหน้าที่ของทั้งสองคน
หลังจากอธิบายแล้ว โป๋เยวก็เรียกคนมา นำลูกน้องที่เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้พามาด้วยไปลงทะเบียนเข้าหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย จ้านหรูอี้ก็มีรายชื่อผู้ติดตามสิบคนเช่นเดียวกัน สมาชิกของนางเต็มหมดแล้ว แต่เหมียวอี้มีเพียงหยางชิ่ง สวีถังหราน หยางเจาชิง เหยียนซิว ไห่ผิงซิน รวมจำนวนแล้วได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนคนของจ้านหรูอี้พอดี
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างอิจฉาก็คือ พอเห็นลูกน้องของจ้านหรูอี้เหาะขึ้นเขามาแล้วเผยสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นนักพรตบงกชรุ้งทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่กำลังพลที่พามาจากตลาดสวรรค์ แต่เป็นอำนาจที่อยู่เบื้องหลังนางให้การสนับสนุน นี่ก็คือความแตกต่างของภูมิหลังวงศ์ตระกูล ทำให้เจ้ามีสิทธิ์แค่อิจฉา
จากนั้นรองแม่ทัพภาคโป๋ก็เตรียมให้คนส่งเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ไปรับตำแหน่งที่ฐานของตัวเอง
“หนิวโหย่วเต๋อ!” คนกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปถึงดาราจักร จู่ๆ ก็ได้จ้านหรูอี้ตะโกนเสียงดัง พวกเหมียวอี้หันกลับไปมอง เห็นเพียงจ้านหรูอี้ชี้นิ้วมาพร้อมทำหน้าแสยะยิ้ม “วันหลังจะต้องไปเยี่ยมแน่ ไม่รู้ว่าเจ้าจะคิดอย่างไรบ้าง?”
“ไม่ต้องมาเยี่ยมจะดีกว่า ข้ากับเจ้าไม่ค่อยสนิทกัน ไม่ต้อนรับ!” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่เกรงใจเลย ขี้คร้านจะสนใจอีก โบกมือนำทุกคนเหาะไปข้างหน้าต่อ
จ้านหรูอี้ที่ได้รับความอัปยศอีกครั้งกัดฟันจนฟันแทบแตก ความรู้สึกเวลาโดนตบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่ามันเจ็บแสบไร้ที่สิ้นสุด คนนอกยากจะรับรู้ความรู้สึกนี้ได้…
ดาวหกนิ้ว สถานที่ประจำการของธงพยัคฆ์ดำ
ถึงแม้อาณาเขตดาวผืนนี้จะมีดาวเคราะห์ที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ไม่มาก แต่สถานที่ประจำการของผู้บัญชาการใหญ่ก็ย่อมต้องเลือกที่ดีๆ สักหน่อย
ในทางตรงกันข้าม สามารถเลือกได้สถานที่ที่ค่อนข้างดีเท่านั้น ถึงอย่างไรบริเวณนี้ก็มีที่ให้เลือกไม่เยอะ
สำนักหกนิ้ว สำหนักแห่งหนึ่งที่มีลูกศิษย์ฝึกตนเกือบหมื่นคน เดิมทีดาวหกนิ้วเป็นดาวเคราะห์ไร้ชื่อที่มีสภาพแวดล้อมเลวร้ายมาก บนดาวเคราะห์ไม่มีคนอยู่อาศัย ไม่มีพืชพรรณขึ้นเลย และไม่มีอากาศสำหรับหายใจตามปกติด้วย ตอนหลังปรมาจารย์หกนิ้วที่บุกเบิกสำนักหกนิ้วมาที่นี่ ทำการแก้ไขปรับปรุงครั้งใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นใช่ไฟเผากำจัดธาตุอากาศที่เป็นพิษ ละลายน้ำแข็งให้กลายเป็นแม่น้ำ ทั้งยังปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้ที่นี่จำนวนมาก ทำให้มีการหมุนเวียนของสภาพอากาศในโลก ต้องใช้ความพยายามเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนดำรงชีวิตอยู่ได้
ตามกฎของตำหนักสวรรค์ ดาวเคราะห์สำหรับอยู่อาศัยที่บุกเบิกขึ้นเพื่อตำหนักสวรรค์ นี่คือคุณูปการและคุณธรรม ตามหลักการแล้วต้องตบรางวัลอย่างงาม แต่พอตำหนักสวรรค์ส่งคนมาดูสภาพแวดล้อมที่นี่ ก็ไม่มีการตบรางวัลอีก ยกดาวดวงนี้ให้ปรมาจารย์หกนิ้วเพื่อเป็นยกย่องสดุดีโดยตรงเลย
เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะขนาดตำหนักสวรรค์ส่งขุนนางมาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่มีใครอยากมาเลย ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ แต่จับมาโยนไว้เพียงเทพคงคาสองคนกับเทพแห่งภูผาสองคนเท่านั้น มองแค่จุดนี้จุดเดียวก็เห็นภาพรวมแล้ว
สถานที่เกินเก้าส่วนของทั้งคาวเคราะห์รกร้างไร้ผู้คนดำรงชีวิต มีเพียงสองฝั่งที่แม่น้ำไหลผ่านเท่านั้นถึงจะมีพืชพรรณเขียวขจี สถานที่อื่นไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือขาดแคลนน้ำ แม่น้ำสายเดียวที่มียังคงเป็นแม่น้ำที่เกิดจากการวางค่ายกลแสงอาทิตย์เหนือเขตน้ำแข็งให้น้ำแข็งละลาย สถานที่เลวร้ายแบบนี้ หลังจากน้ำระเหยแล้วก็จะกลายเป็นเมฆฝนอยู่เหนือเขตน้ำแข็งเท่านั้น หรือพูดได้อีกอย่างว่า ทั้งดาวเคราะห์ดวงนี้มีเพียงเขตน้ำแข็งเท่านั้นที่มีฝนตก สถานที่อื่นยังไม่เคยเห็นมีน้ำฝนสักเท่าไรเลย สามารถปลูกพืชได้ก็แปลกแล้ว
เดิมที่ปรมาจารย์หกนิ้วอยากจะอาศัยผลงานนี้เพื่อขอตำแหน่งขุนนางที่ตำหนักสวรรค์สักตำแหน่ง ใครจะคิดว่าจะได้เพียงดาวเคราะห์เส็งเคร็งดวงเดียว ถ้าปล่อยดาวเคราะห์ดวงใหญ่ให้สูญเปล่าไปก็น่าเสียดายเหมือนกัน ถ้าไม่มีใครดูแลจัดการ ในภายหลังจะต้องทิ้งให้เสียเปล่าแน่นอน สิ้นเปลืองต้นทุนความพยายามขนาดนี้ก็ไม่อยากปล่อยให้เสียเปล่าเหมือนกัน ตอนหลังเขาจึงตั้งสำนักที่นี่เสียเลย รับลูกศิษย์ไปทั่วทุกที่ ในที่สุดก็มีสำนักหกนิ้วเหมือนอย่างทุกวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลย เป็นสำนักแห่งเดียวของที่นี่ ถ้าไม่อยากให้พวกเทพแห่งภูผากับเทพคงคาที่ประจำอยู่ที่นี่ผูกสัมพันธ์กับสำนักหกนิ้วก็คงยาก สถานที่อื่นรกร้างเกินไป เทพพวกนี้แทบจะกินอยู่ที่สำนักหกนิ้วในระยะยาว ทำตัวเหมือนเป็นลูกศิษย์ของสำนักหกนิ้ว การถูกจับมาเป็นขุนนางที่นี่แสดงว่าไม่มีอำนาจอิทธิพลอะไรแน่นอน สถานที่ที่สภาพแวดล้อมเลวร้ายจนนกไม่อยากบินมาอุจจาระแบบนี้ ไม่มีใครอยากจะมาควบคุมดูแลเช่นกัน และไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งพกเขาเช่นกัน แค่รายงานสถานการณ์ของดาวหกนิ้วตามกำหนดเวลาก็พอแล้ว และขุนนางตำแหน่งเทพแห่งภูผา เทพคงคา ต่อให้ต่ำต้อยอย่างไรแต่ก็ยังเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ มีหนังเสือแบบนี้คลุมอยู่ โดยทั่วไปไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องสำนักหกนิ้วที่นี่ การที่สำนักหกนิ้วอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลกลับเป็นความโชคดีที่อยู่ในความโชคร้ายด้วยซ้ำ
แต่หลังจากปรมาจารย์หกนิ้วบรรลุวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้ง ในที่สุดก็ถูกตำหนักสวรรค์รับไว้จนสปรารถนาแล้ว
ตอนนี้เมื่อมองดูจากบนท้องฟ้า บริเวณเขียวขจีสองฝั่งแม่น้ำก็เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น โดดเด่นสะดุดตามาก สถานที่อื่นส่วนใหญ่เป็นภูเขาหินหัวโล้นที่ไม่มีพืชพรรณ หรือไม่ก็เป็นที่ราบดินเหลือง
ตอนที่สำนักหกนิ้วเลือดสถานที่ ก็จะต้องเลือกจุดที่ดีที่สุดของที่นี่แน่นอน ภูเขาเขียวชอุ่มที่มีแม่น้ำแยกสายไหลผ่านล้อมรอบ ต้นไม้โบราณสูงระฟ้า ในนั้นมีทุ่งดอกไม้ละลานตาราวกับลายผ้าแพร ทั้งยังตั้งใจสร้างน้ำตกหลายสายด้วย ทั้งยังมีศาลางดงามบนภูเขา ถ้ามองแค่บริเวณนี้ก็ยังนับว่าไม่เลว อย่าย้ายสายตาไปมองที่อื่นก็พอ
ในตอนนี้สถานที่แต่ละแห่งถูกธงพยัคฆ์ดำยึดใช้ชั่วคราวแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนของธงพยัคฆ์ดำหาที่พักที่เหมาะสมจากอาณาเขตที่ถูกแบ่งให้ควบคุมไม่เจอ ก็เลยยึดสำนักหกนิ้วให้เป็นฐานยึดใช้ชั่วคราว
ศิษย์สำนักหกนิ้วทั้งหมดถูกไล่ให้ลงไปกินน้ำล้างเท้าแล้ว ธงพยัคฆ์ดำไม่ตอบตกลงให้อยู่ต้นน้ำ จะให้พวกเราดื่มน้ำล้างเท้าของศิษย์น้ำหมื่นของสำนักหกนิ้วไม่ได้หรอกมั้ง? ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าน่าน่าสะอิดสะเอียนขนาดไหน! สำนักหกนิ้วทำได้เพียงบีบจมูกทนไว้ ต่อให้เทพแห่งภูผา เทพคงคาจะมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขาขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าอวดอ้างบารมีต่อหน้ากองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์
ทว่าผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนเพิ่งจะเป็นคนน่ารังเกียจได้ไม่นาน จู่ๆ เบื้องบนก็มีคำสั่งโยกย้าย ย้ายเขาออกไปอีกแล้ว หนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังต้องมารับตำแหน่งต่อจากเขา
พอกลุ่มของเหมียวอี้เหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงนอกประตูใหญ่ของสำนักหกนิ้ว ทั้งสำนักหกนิ้วถูกธงพยัคฆ์ดำวางค่ายกลใหญ่เพื่อปกป้องไว้ คนนอกห้ามบุกเข้ามา ค่ายกลใหญ่นี้มีขนาดเท่ากับค่ายกลที่ตำหนักคุ้มเมืองตลาดสวรรค์ เพียงแต่ค่ายกลใหญ่ที่ตำหนักคุ้มเมือง หลังจากวางไว้แล้วก็ไม่เคยย้ายเลย แต่ค่ายกลใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำกลับย้ายบ่อยตามการเคลื่อนกำลังพล
“รองผู้บัญชาการใหญ่หู ลมอะไรหอบท่านมาได้ล่ะ?” ทหารยามธงพยัคฆ์ดำที่เฝ้าอยู่นอกประตูใหญ่สำนักหกนิ้วกล่าวทักทายหูโกวอวี้อย่างร่าเริง แต่สายตากลับมองสำรวจพวกเหมียวอี้ที่อยู่ข้างหลังหูโกวอวี้ไม่หยุด
หูโกวอวี้ ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมซูบผิวดำ เป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ของกองมังกรดำ ได้รับคำสั่งจากโป๋เยวให้มาส่งเหมียวอี้รับตำแหน่ง รองผู้บัญชาการใหญ่อีกคนโดนโป๋เยวสั่งให้ไปส่งจ้านหรูอี้รับตำแหน่งแล้ว
หูโกวอวี้ยิ้มเรียบๆ “อย่ามาแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ อยู่ดีๆ จะมาปิดประตูค่ายกลทำไม? ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำคนใหม่ของพวกเจ้ามาแล้ว ยังไม่รีบเปิดประตูค่ายต้อนรับอีก”
“อ้อ! รอสักครู่ ตอนนี้เครื่องมือค่ายกลใหญ่อยู่ที่รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นก่อนส่งต่องาน ถึงได้ปิดประตูค่ายกลเอาไว้ ข้าจะติดต่อให้เดี๋ยวนี้” ทหารยามรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ แต่สายตากลับเหลือบมองเหมียวอี้ที่อยู่ข้างหลังหูโกวอวี้ไม่หยุด
พูดไปก็หน้าอับอายใจ! หลังจากมาถึงทุกคนล้วนเปลี่ยนสวมเกราะรบอย่างเป็นทางการ เหมียวอี้ที่โดนลดยศตอนนี้เป็นทหารเลวหกแถบ พวกหยางชิ่งที่อยู่ข้างหลังก็ยิ่งอับอายเกินทน สวีถังหรานรู้สึกอับอายมาก เขาเป็น…แม่ทัพหนึ่งแถบ เกราะรบสีทองบนตัวสะดุดตากว่าเกราะรบสีทองของเหมียวอี้ตั้งเยอะ เดิมทีสวมเกราะทองทหารเลวห้าแถบ เหมียวอี้เห็นแล้วกลับบอกว่าไม่จำเป็น ทำให้เขายึดหลักความเป็นจริง กดดันให้เขาไปเปลี่ยนกลับมาให้ได้
ตำแหน่งของหูโกวอวี้ไม่สูงเท่าเหมียวอี้ เป้นรองผู้บัญชาการใหญ่ แต่ยศของเขาคือแม่ทัพเกราะม่วงสองแถบ
ประตูค่ายกลปิดสนิท เข้าไปไม่ได้ ทุกคนทำได้เพียงรออยู่ข้างนอก
หลังจากนั้นพักหนึ่ง เมื่อไม่เห็นรองผู้บัญชาการใหญ่ออกมา หูโกวอวี้ที่เอามือไขว้หลังก็ขมวดคิ้วอยู่หน้าค่ายกลป้องกัน “คังจือลวี่ เหยาหย่วนชู นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมยังไม่ออกมาอีก หลับไปแล้วรึไง?”
คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูที่เขาเรียกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองของธงพยัคฆ์ดำนั่นเอง
ทหารยามสองคนหัวเราะเบาๆ คนที่พูดก่อนหน้ากุมหมัดขออภัย “รองผู้บัญชาการใหญ่หู จะโทษรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองก็ไม่ได้ นายท่านทั้งสองลาดตระเวนจุดสำรวจสายแร่ จะรีบกลับมาเร็วขนาดนี้ได้ยังไง นายท่านทั้งสองกำลังรีบกลับมาแล้ว”
หูโกวอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ เอียงหน้ามองพวกเหมียวอี้ที่อยู่ด้านหลัง แล้วหันกลับมาถามอีกว่า “ให้พวกเขาสองคนรีบๆ หน่อย ข้ายังมีธุระอีก ไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองอยู่กับพวกเจ้านะ”
“ใช่ๆๆๆ!” ทหารยามหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ
หูโกวอวี้หันตัวมายิ้มเจ้าเล่ห์ “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว สงสัยจะทำได้เพียงพอต่อไป”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรขอรับ!” รอยยิ้มค่อนข้างแฝงความหมายลึกซึ้ง
หยางชิ่งที่อยู่ข้างหลังขมดคิ้วเล็กน้อบ ก่อนที่จะมารองแม่ทัพภาคโป๋เยวก็ติดต่อทางนี้ไว้แล้ว บอกแล้วว่าวันนี้หนิวโหย่วเต๋อจะมา ตอนนี้กลับเข้าไม่ได้แม้แต่ประตูบ้าน
หยางเจาชิงกับสวีถังหรานสบตากันแวบหนึ่ง ขนาดไห่ผิงซินยังเม้มปากเล็กน้อย สังเกตได้ว่ามีคนเล่นตุกติก ชัดเจนเกินไปจริงๆ
เหยียนซิวไม่สะทกสะท้านกับเรื่องนี้ ยังคงเฝ้าอยู่ข้างหลังเหมียวอี้อย่างเงียบๆ เขาติดตามเหมียวอี้มาหลายปี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นเหตุการณ์แบบนี้ รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะกังวล เพราะเหมียวอี้ย่อมแก้ไขปัญหาได้
เฟยหงกับกับเสวี่ยหลิงหลงสวมหมวกมุ้ง ทำให้คนมองไม่ออกว่ามีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร เพียงแต่สาวใช้ที่อยู่ข้างกายแอบสบตากันเงียบๆ
…………………………