พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1351 คืนนี้ไร้กังวล
คังจือลวี่กับเหยาหย่วนเหล่ตามองกันแวบหนึ่ง ความหมายในคำพูดของไป๋หลันคือสิ่งที่พวกเขาคาดคิดอยู่แล้ว ผู้บัญชาการใหญ่หนิวอ้อมค้อมไปไกลขนาดนี้ ที่จริงก็เพราะอยากจะแยกออกจากทัพกลาง ถ้าถอนตัวออกจากทัพกลางไปด้วยกันสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก เพื่อให้สำนักหกนิ้วเป็นคนดี ที่บอกว่าเป็นคนใจดีมีเมตตานั้นเป็นคำพูดไร้สาระ มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ ก้าวถัดไปก็คงจะเป็นการเข็นเรือตามน้ำแล้ว
เหมียวอี้ถามอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “ในเมื่อนี่เป็นเจตนาดีของเจ้าสำนักไป๋ รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง ก็เป็นอย่างที่บอกไว้ แขกอย่างพวกเราตามใจเจ้าบ้านดีกว่ามั้ย?”
เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย บนใบหน้าคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูปรากฏรอยยิ้ม แทบจะหัวเราะออกมาแบบมีเสียง เหยาหย่วนชูกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ทุกอย่างล้วนเชื่อฟังผู้บัญชาการใหญ่”
ทั้งสองก็กำลังเข็นเรือตามน้ำเช่นกัน ต้องการจะให้ทุกคนได้เห็นว่าผู้บัญชาการใหญ่ที่รักษาระยะห่างกับทุกคนเป็นคนอย่างไร ทำตัวไม่เหมือนคนของธงพยัคฆ์ดำเลย
เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “เช่นนั้นทั้งสองก็ฝากบอกด้วยนะ ว่าให้ทัพกลางถอนกำลังออกจากสำนักหกนิ้วไปตั้งฐานอยู่ปลายน้ำ” แล้วหันกลับมาบอกไป๋หลันว่า “เจ้าสำนักไป๋ ไปบอกให้ศิษย์ของสำนักหกนิ้วกลับมาเถอะ”
“รับทราบ!” คนทั้งสองฝั่งเอ่ยรับคำสั่ง
คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูออกไปปฏิบัติตามคำสั่งพร้อมรอยยิ้ม แต่กลับยังไม่ได้ปล่อยพวกไป๋หลันไป ตอนที่ยังไม่ได้บรรลุถึงเป้าหมาย เหมียวอี้ก็ไม่มีทางปล่อยพวกเขาออกไปทำให้เรื่องพัง ให้ไป๋หลันหยิบระฆังดาราออกมาเรียกศิษย์สำนักหกนิ้วที่อยู่ตรงสองฝั่งแม่น้ำกลับมา
จากนั้นหยางชิ่งก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามว่า “นายท่าน นี่คงไม่ได้คิดจะลงมือกับคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เหล่ตามอง เมื่อเห็นท่าทางเขาค่อนข้างร้อนใจ ก็เกลี้ยกล่อมว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
“…” หยางชิ่งพูดไม่ออก ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับ เขาก็ดึงดันพูดไม่ได้ว่าจะต้องเป็นแบบไหน ในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล เขารู้ว่ากับเรื่องแบบนี้ ถ้าเหมียวอี้ตัดสินใจแล้วก็โน้มน้าวให้เปลี่ยนใจไม่ได้แน่
แต่เหมียวอี้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนขี้บ่น เป็นคนที่ชอบไตร่ตรองปัญหาอย่างรอบคอบครบทุกด้าน เป็นคนที่มักจะกังวลเรื่องนั้นกังเวลเรื่องนี้
รวดเร็วมาก ผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่ของธงพยัคฆ์ดำเริ่มใช้คำสั่งทหารครั้งแรกกับลูกน้องในธงพยัคฆ์ดำแล้ว ทัพกลางของธงพยัคฆ์ดำไม่ได้ควบคุมธงอินทรี ธงหมาป่าหลายกองทัพที่อยู่ตามแนวภูเขาโดยรอบทยอยกันโผล่ขึ้นมา กำลังพลหนึ่งหมื่นสองพันกว่าคนของทัพกลางปรากฏตัวตามภูเขาแห่งต่างๆ กลายเป็นทัพหนึ่งพันจำนวนสิบเอ็ดกองทัพ ธงอินทรีสิบกองทัพ ปกติจะมีหนึ่งกองทัพเฝ้าคุ้มกันอยู่ข้างกายธงพยัคฆ์ดำ เป็นกำลังพลที่พิทักษ์อยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน
กำลังพลสิบเอ็ดกองทัพถอนกำลังออกจากอาณาเขตของสำนักหกนิ้วอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเทียบกับศิษย์สำนักหกนิ้วด้านนอกที่กำลังรวมกลุ่มเตรียมตัวจะเข้ามา ก็กลายเป็นความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน
พวกเหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนยอดเขากำลังสังเกตความเคลื่อนไหวของหทารที่ถอนกำลังอยู่ข้างล่าง ธงพยัคฆ์ดำขนาดใหญ่ที่กำลังปลิวสะบัดแสดงพลังอำนาจอยู่ข้างหลังดูค่อนข้างเงียบเหงาโดดเดี่ยว
เคอโส่วอี้ ไห่เป้าผู้อาวุโสทั้งสองถูกส่งไปรับหน้าที่รับศิษย์ของสำนักตัวเองตรงข้างประตูใหญ่ คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูที่กำลังนำกำลังพลถอนตัวออกเหล่ตามองผู้อาวุโสทั้งสองแวบหนึ่ง ในแววตาสื่อความหมายชัดเจนว่าจะล้างแค้นทีหลัง ในใจผู้อาวุโสทั้งสองรู้สึกขมขื่นมาก
คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูเดินตามออกประตูใหญ่ไปแล้ว ทั้งสองไม่เตรียมที่จะพักข้างใน ‘จุดที่ฮวงจุ้ยดี’ ข้างในเหลือไว้ให้เหมียวอี้คนเดียวก็เพียงพอแล้ว ทั้งสองไม่อยากอาศัยบารมีนี้ อยู่กับพี่น้องของธงพยัคฆ์ดำจะเหมาะสมกว่า
อู๋เฟิงหันกลับมามองเงาคนที่อยู่บนยอดเขาแวบหนึ่ง ทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำผู้สง่าผ่าเผย กลัวกำลังพลทัพกลางของตัวเองราวกับเป็นเสือเป็นหมาป่า เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นแบบนี้”
เหิงก่วงหลิงแสยะยิ้ม “เอาสถานที่ดีๆ ให้คนนอกอยู่ แต่กลับไล่พี่น้องของตัวเองไปนอนกลางดินกินกลางป่าข้างนอก ผู้บัญชาการใหญ่ที่ลำเอียงเข้าข้างคนนอก ข้าก็เคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน”
เผยไหลหมิงที่เดินกอดอกอยู่ข้างหน้าอย่างไม่สะทกสะท้านกล่าวเสียงเรียบว่า “คุณสมบัติที่จะมาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการของธงพยัคฆ์ดำก็ยังมีอยู่ ถึงยังไงก็ยังมีชื่อเสียง บารมีชื่อเสียงที่ฝ่าเข้าทัพใหญ่หนึ่งล้านก็ยังมีอยู่เหมือนเงาตามตัว ทุกคนก็ว่าอะไรไม่ได้ อยู่ดีไม่ว่าดี นักพรตบงกชทองเล็กๆ คนหนึ่งถือมาเป็นผู้บัญชาการใหญ่โดยตรง ไม่รู้เหมือนกันว่าเบื้องบนกำลังเล่นบ้าอะไร ส่งคนแบบนี้มาน่ารังเกียจจะตาย”
ทั้งสามคนนี้ก็คือผู้ช่วยผู้บัญชาการของทัพกลางเพียงสามคนที่ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนไม่ได้พาไปด้วย เหยาหย่วนชูที่เดินอยู่ข้างหน้าทั้งสามคนกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกเหรอ? เขาทำเรื่องประเภทนี้ให้เบื้องบนเห็นก็ดีเหมือนกัน เป็นเขาเองนะที่ทำเรื่องที่ก่อให้เกิดความโกรธแค้นของหมู่มาก ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็มาโทษพวกเราไม่ได้”
กำลังพลตำหนักสวรรค์นับหมื่นออกจากประตูใหญ่ จากนั้นกำลังพลนับหมื่นของสำนักหกนิ้วก็เข้าประตูใหญ่มา ในสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งเข้าฝ่ายหนึ่งออก กำลังพลสองฝ่ายย้ายที่ เพียงแต่ธงพยัคฆ์ดำยังคงปลิวไสวอยู่หน้าตำหนักใหญ่ของสำนักหกนิ้ว ศิษย์สำนักหกนิ้วอยู่ภายใต้การล้อมพิทักษ์ของธงพยัคฆ์ดำตำหนักสวรรค์ แต่ทัพกลางของธงพยัคฆ์ดำกลับกลาเป็นกำลังพลที่อยู่รอบนอกธงพยัคฆ์ดำ ทำให้คนรู้สึกว่าเหลวไหลและแปลกประหลาดอย่างเลี่ยงไม่ได้
เคอโส่วอี้กับฉูอิ้นผู้อาวุโสทั้งสองกำลังจัดให้ศิษย์ในสำนักต่างคนต่างกลับไปที่ของตัวเอง แต่มีลูกศิษย์ไม่น้อยที่ไปแล้วกลับมารายงานว่า ว่าห้องพักของตัวเองถูกทำลายพังหมดแล้ว
“ซ่อมแซมของตัวเองสักหน่อยแล้วกัน!” ผู้อาวุโสเคอโบกมืออย่างจนปัญญา อีกฝ่ายโดนไล่ออกมาในใจก็รู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว ทำลายข้าวของนิดหน่อยใครจะว่าอะไรได้ล่ะ
พอเหมียวอี้ที่ยืนรับลมอยู่บนภูเขาเห็นกำลังพลทั้งสองฝ่ายสลับที่กันเรียบร้อยแล้ว ก็กล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าสำนักไป๋”
ไป๋หลันรีบก้าวขึ้นมา “ผู้บัญชาการใหญ่มีอะไรจะกำชับ?”
เหมียวอี้จ้องมองความเคลื่อนไหวของทัพกลางธงพยัคฆ์ดำด้านนอก เอ่ยถามโดยไม่ชายสายตามองมา “ตอนนี้ตำแหน่งข้างกายข้ายังว่างอยู่ จะให้สำนักหกนิ้วของพวกเจ้ารับหน้าที่ลาดตระเวนเฝ้าพิทักษ์รักษาชั่วคราว คิดว่ายังไงบ้าง?”
ไป๋หลันจะปฏิเสธได้เหรอ? ในใจยิ้มเจื่อน แต่ยังกุมหมัดคารวะตอบว่า “ย่อมทำตามคำสั่งอยู่แล้ว!”
เหมียวอี้บอกว่า “หยางชิ่ง เรื่องนี้ส่งต่อให้เจ้ากับเจ้าสำนักไป๋ร่วมมือกันจัดการก็แล้วกัน” เรื่องการวางกำลังทหารป้องกัน ย่อมต้องส่งต่อให้คนที่มีประสบการณ์ทำอยู่แล้ว หยางชิ่งที่คุมกำลังทหารมาหลายปีจะต้องมีประสบการณ์มากกว่าสำนักหกนิ้วแน่นอน บวกกับความละเอียดรอบคอบของหยางชิ่ง จะต้องเตรียมพร้อมป้องกันเยอะแน่นอน จากนั้นก็พูดเสริมอีกว่า “เทพแห่งภูผาทั้งสองกับเทพคงคาทั้งสองก็ส่งต่อให้พวกเจ้าจัดเตรียมงานให้ทำด้วยแล้วกัน”
พวกซาจินเปียวที่อยู่ข้างหลังพูดไม่ออก อีกฝ่ายยังไม่ทันขอฟังความเห็นอะไรจากพวกเขาเลย แต่ก็เตรียมการให้แบบนี้แล้ว
“รับทราบ!” หยางชิ่งเอ่ยรับคำสั่ง แล้วยื่นมือเชิญไป๋หลันให้ไปเตรียมงานด้วยกัน
จากนั้นเหมียวอี้ก็โยนเครื่องมือปิดเปิดค่ายกลป้องกันให้หยางเจาชิงอีก “ไปที่สำนักหกนิ้ว ขอตัวนักพรตบงกชทองจำนวนหนึ่งมาเฝ้าประตูใหญ่ ปิดประตูค่ายกลให้สนิท ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็อย่าให้ใครเข้าออกได้ง่ายๆ”
“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบไล่ตามไปทางไป๋หลัน ต้องไปขอคนจากอีกฝ่าย
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ยื่นมือ เฟยหงที่อยู่ข้างกายก็นำถ้วยน้ำชามาวางในมือของเขาทันที ขณะมองดูผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าดื่มน้ำชาอย่างช้าๆ วันนี้นางได้เห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านนี้จะผ่านด่านยากที่อยู่ตรงหน้านี้ไปได้อย่างไร
นางมองดูความเคลื่อนไหวรอบข้างอย่างเงียบๆ อีกครั้ง
เหยียนซิวยังคงทำตัวเหมือนเงาของเหมียวอี้ ยืนเงียบไม่สะทกสะท้านอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ เป็นคนเงียบพูดน้อย ถ้าไม่มีเรื่องก็แทบจะไม่พูดเลย และเหมียวอี้ก็ทำเหมือนเขาเป็นเงาของตัวเองจริงๆ น้อยมากที่จะเรียกใช้งาน
ส่วนสวีถังหรานก็ทำท่าสุขุมรอบคอบ เบิกตากว้างพยายามมองรอบด้านอย่างระมักระวัง ราวกับต้องการป้องกันอันตรายทุกอย่าง หลังจากสบตากับเฟยหงแล้วก็รีบเจียดรอยยิ้มที่เบื่อหน่ายออกมา
ไห่ผิงซินเดินไปเดินมาอยู่นอกประตูใหญ่หน้าตำหนัก เหมือนค่อนข้างเบื่อหน่าย สายตาเพ่งเล็งบนตัวเฟยหงเป็นระยะ ทำให้เฟยหงแอบระวังตัว
สำหรับเฟยหงแล้ว ไห่ผิงซินทำให้นางระวังตัวยิ่งกว่าเหยียนซิวเสียอีก นางสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองแล้ว ขอเพียงตัวเองเดินออกมาจากตำหนักนอน ก็มีเป็นไปได้สูงว่าจะโดนผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า ‘นางหนู’ คนนี้จับตามอง ร้อยยิ้มที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาแบบนั้นเสแสร้งได้แนบเนียนมาก ตอนที่นางฝึกฝนอย่างลับๆ ก็มีรายการนี้อยู่ในกฎระเบียบด้วยเหมือนกัน ยิ่งเจอกับคนแบบนี้ก็ยิ่งต้องระวังตัว
สำหรับบรรดาลูกน้องที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ นางพอจะรู้จักและเข้าใจบ้างแล้ว
หยางชิ่งจัดเป็น ‘นักวางแผน’ ที่ปรึกษาหารือกับหนิวโหย่วเต๋อบ่อย แต่กลับไม่ถูกหนิวโหย่วเต๋อใช้ให้ทำงานสำคัญ ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงใดๆ ส่วนสวีถังหรานนั้นเป็นต้นแบบของคนขี้ประจบ ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็มีชื่อเสียงเรื่องเอาใจเหมียวอี้แล้ว เป็นสุนัขรับใช้โดยแท้ อาศัยการประจบสอพลอของตัวเองทให้เหมียวอี้มีความสุข พอมาถึงที่นี่ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางให้ หยางเจาชิงเป็นคนปกติมาก เป็นลูกน้องคนสนิทที่คอยวิ่งเต้นทำงานให้ ทำงานได้อย่างรวดเร็วฉับไว ส่วนเหยียนซิวก็เป็นองครักษ์ที่เหมือนเงา คำว่า ‘อย่ามายั่วโมโห’ เขียนไว้บนใบหน้าแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรน่ากลัว ส่วนไห่ผิงซินที่ดูเหมือนไร้เดียงสาปากไม่มีหูรูด ก็คือคนที่นางต้องระวังมากที่สุดท่ามกลางคนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ คนที่สามารถมาอยู่ในตำแหน่งลับแบบนี้ได้ เหมียวอี้จะใช้คำว่า ‘เด็กโง่’ ที่ปากไม่มีหูรูดได้อย่างไร ภายนอกกับภายในไม่เหมือนกันแน่ ควรค่าแก่การระวังตัว!
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ เหมียวอี้ที่ยังไม่ถอดเกราะรบยืนรับลมหนาวอยู่ตลอด กำลังสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบ
ตอนกลางคืนของที่นี่ค่อนข้างหนาว เฟยหงออกจากความมืดมาสะบัดผ้าคลุมให้เหมียวอี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ นำมาผูกไว้บนบ่าเหมียวอี้แล้ว เมื่อมีลมพัดมา ธงพยัคฆ์ดำที่ลอยอยู่บนฟ้าก็พัดกระพืออย่างแรง
ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน หยางชิ่งกลับมารายงานผลการปฏิบัติงาน
เมื่อได้รู้ว่าวางกำลังพลไว้เตรียมเฝ้าระวังรอบด้านเรียบร้อยแล้ว หลังจากแน่ใจว่ากันปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ออกไปจากข้างกายตัวเองแล้ว คืนนี้ก็ไร้กังวล เหมียวอี้ถึงได้ถอนหายใจออกมา แล้วกำชับหยางชิ่งกับสวีถังหรานว่าคืนนี้ต้องลำบากสักหน่อย ให้ทั้งสองลาดตระเวนไว้ทั้งคืน
หลังจากทั้งสองเอ่ยรับคำสั่ง หยางชิ่งก็มองดูสาวใช้ทั้งสองของเฟยหงที่รออยู่ข้างนอกไกลๆ แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็สะบัดผ้าคลุม หันตัวเดินกลับเข้าไปพักผ่อนในเรือนพักแล้ว
เดินเล่นในลานบ้านของที่พักเจ้าสำนักหกนิ้วรอบหนึ่ง ตอนที่เดินเข้าตำหนักนอน จู่ๆ เหมียวอี้ก็หันตัวมา “คืนนี้ข้าจะไปพักผ่อนกับซิงเอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์”
เฟยหงพลันหยุดฝีเท้า มองเขาอย่างงุนงง แล้วตอบเบาๆ ว่า “ค่ะ!”
ไม่ว่านางจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเหมียวอี้ด้วยเป้าหมายอะไร แต่ในตอนนี้ความรู้สึกในใจนางนั้นยากจะบรรยายออกมาได้
นางหันตัวมาบอกใบ้ให้ซิงเอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์ที่เดินตามหลังพาเหมียวอี้ไปพักผ่อน ทั้งยังกำชับให้พวกนางดูแลนายท่านด้วย สาวใช้ทั้งสองเรียกได้ว่าทำสีหน้าหวั่นวิตกและเอ่ยรับลูกเดียว ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เรื่องที่สาวใช้ทั้งสองกังวล สุดท้ายมันก็ยังเกิดขึ้น เมื่อไม่มีทางปฏิเสธก็ทำได้เพียงยอมรับอย่างเขินอาย แสดงความอ่อนโยนละมุนละไมทั้งคืน…
วันต่อมา ตอนสาวใช้ทั้งสองเดินตามเหมียวอี้ออกมาจากห้องนอน ก็เห็นเฟยหงรออยู่ในลานบ้านด้านนอก เหมียวอี้ที่แหวกดอกไม้ตูมสองดอกมาทั้งคืน ตอนนี้เพียงพยักหน้ายิ้มบางๆ ให้เฟยหง จกานั้นก็ก้าวยาวเดินผ่านไป พร้อมทั้งบอกกับเหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ข้างนอกและตามมาว่า “ให้หยางชิ่งบอกรองผู้บัญชาการคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูให้มาพบข้า”
ทำให้ในสายตาของเฟยหงที่กำลังมองตามรู้สึกว่าผู้ชายในโลกนี้ไร้หัวใจ ในสายตาของคนพวกนี้เหมือนจะมีแต่เรื่องอำนาจ แต่กลับไม่มีตำแหน่งให้ผู้หญิงข้างกาย
หลังจากเฟยหงเก็บสีหน้าอารมณ์แล้ว ก็เดินไปตรงหน้าสาวใช้แล้วกระซิบถามสองสามประโยค สองสาวที่ใบหน้าแดงเรื่อพยักหน้าอย่างอ่อนปวกเปียก จากนั้นก็ก้มหน้าไม่กล้ามองเฟยหง เฟยหงกัดริมฝีปากอยู่นานโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็หันตัวเดินตามเหมียวอี้ไปอีก
……………………