พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1352 เกาทัณฑ์ขึ้นสาย
แม่น้ำมีสองฝั่ง ฝั่งตะวันตก หยางชิ่งที่มาเพื่อเรียกเข้าพบยืนอยู่กลางป่าริมแม่น้ำและเห็นพวกคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู
หยางชิ่งถ่ายทอดเจตนาของเหมียวอี้ เชิญให้คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูไปพบสักรอบ
คังจือลวี่เหล่ตามองหยางชิ่ง แล้วถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เรียกพบด้วยธุระอะไร”
หยางชิ่งส่ายหน้าถอนหายใจ “เหยียนซิวฝากมาบอก ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร”
ทั้งสองสบตากัน ขณะกำลังจะไปดูว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ ใครจะคิดว่าเผยไหลหมิง หนึ่งในผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางจะกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หยางชิ่ง เจ้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวนายท่านจะสองจะตามไปทีหลัง”
คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูอึ้งนิดหน่อย ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงแอบขัดขวาง แต่ก็รู้ว่าการที่เขาทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลแน่ เหยาหย่วนชูจึงพยักหน้าเบาๆ ให้หยางชิ่ง “พวกเราสองคนจะไปเดี๋ยวนี้”
หยางชิ่งกวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะ แล้วไม่พูดอะไรอีก ขอตัวลาตรงนี้แล้วเดินออกไปก่อน
รอจนกระทั่งหยางชิ่งเดินไปไกลแล้ว เหยาหย่วนชูก็เอียงหน้าถามเผยไหลหมิง “หมายความว่ายังไง?”
เผยไหลหมิงใช้สองมือหมุนใบไม้สีเหลืองทองใบหนึ่ง พร้อมกล่าวอย่างลังเล “พอเกิดเรื่องเมื่อวานนี้ขึ้น ข้าก็สังเกตได้รางๆ ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว เจ้าแซ่หนิวนั่นมาใหม่ ยังไม่ทันรู้สถานการณ์ชัดเจน เท้ายังไม่ทันพัก ก็ทำให้ทัพกลางออกไปแล้ว เจ้านั่นเป็นตัวละครที่พลิกเมฆคว่ำฝนที่ตลาดสวรรค์ได้ ข้ารู้สึกว่าพวกเราต้องระวังตัวเอาไว้หน่อย”
ผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพกลางอีกสองคน อู๋เฟิงกับเหิงก่วงหลิงสบตากันแวบหนึ่ง
“เจ้ารู้สึกว่าจะมีปัญหาเหรอ?” คังจือลวี่ขมวดคิ้วถาม
เผยไหลหมิงส่ายหน้าเบาๆ สื่อว่าปฏิเสธ จากนั้นก็พยักหน้าอีก “ข้ารู้สึกว่านายท่านทั้งสองไปครั้งนี้จะต้องระวังตัวไว้ดีกว่า ตอนนี้เขากันพวกเราทั้งหมดออกมาแล้ว ถ้าการเรียกนายท่านทั้งสองไปครั้งนี้มีเจตนาอะไรไม่ดี ถึงตอนนั้นแมแต่ผู้ช่วยก็ไม่มีสักคน”
คังจือลวี่แสยะยิ้ม “เขาจะกล้าลงมือสังหารพวกเราสองคนเชียวเหรอ?”
เผยไหลหมิงส่ายหน้า “พูดยากนะ! เจ้าเวรนั่นไม่ใช่คนดีอะไร ตอนอยู่ตลาดสวรรค์ก็ฆ่าคนจนเลือดนองเป็นสายน้ำ คนที่ตายด้วยน้ำมือเขามีจำนวนไม่น้อยเลย”
คังจือลวี่หัวเราะลั่นทันที “อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขาไม่กี่คนน่ะเหรอจะลงมือกับพวกเรา? แบบนั้นไม่ใช่หาเรื่องอับอายใส่ตัวหรอกเหรอ!”
เหยาหย่วนชูก็หัวเราะพลางโบกมือเช่นกัน “คิดมากไปแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราสองคนรึเปล่า ถ้าลงมือแตะต้องพวกเราจริงๆ เขาก็รับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหวหรอก ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะบ้าระห่ำกว่านี้ แต่ก็ไม่โง่ถึงขั้นนั้นหรอก ถ้าทำให้ทุกคนของธงพยัคฆ์ดำก่อกบฏแบบไม่ให้ตั้งตัว เขาก็จะได้รับบทเรียนกลับไปเหมือนกัน”
เผยไหลหมิงจึงบอกว่า “ระวังไว้จะได้ไม่ผิดพลาดมาก ต่อไปเวลานายท่านทั้งสองเข้าออกสำนักหกนิ้ว ก็พาคนติดไว้ข้างกายเยอะๆ ดีกว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยรับมือสะดวก”
“ไปพบเขายังต้องพาคนไปด้วยเยอะๆ แล้วจะให้พวกลูกน้องมองพวกเรายังไง จะไม่นึกว่าพวกเรากลัวเขาหรอกเหรอ?” คังจือลวี่ถาม
เหยาหย่วนชูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “สถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ที่น้องเผยกังวลก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่คำพูดของพี่คังก็ใช่ว่าจะไม่เหตุผล จะให้ปณิธานของเขามาดับความน่าเกรงขามของพวกเราได้ยังไง พวกเรามีอำนาจแข็งแกร่งกว่าแต่ยังโดนเขาขู่ได้ แบบนี้จะไม่น่าหัวเราะเยาะเหรอ! เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้าสามคนให้ลูกน้องเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี ถ้าหนิวโหย่วเต๋อมีเจตนาไม่ดีจริงๆ ก็เรียกรวมนักพรตบงกชรุ้งทุกคนทันที ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงรวมไปที่จุดเดียว ฝืนทำลายค่ายกลป้องกัน…ถ้าเขากล้าลงมือสังหารจริง งั้นพวกเราก็ทำได้เพียงเด็ดหัวของเขาไปวินิจฉัยความถูกผิดกับเบื้องบน!”
เผยไหลหมิงพยักหน้า “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อวางแผนร้ายอะไร อาศัยกำลังของนายท่านทั้งสอง การต้านทานไว้ชั่วคราวก็ไม่ใช่ปัญหา น่าจะมีเวลาพอให้พวกเราโจมตีฝ่าค่ายกลป้องกันไปรับมือต่อ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่นายท่านต้องระวังเอาไว้ หนิวโหย่วเต๋อชอบวางยาพิษ นายท่านทั้งสองคงจะเคยได้ยินเรื่องที่ตลาดสวรรค์มาก่อน ถ้าพวกเขาเตรียมอะไรไว้ให้นายท่านกิน ก็ห้ามกินเด็ดขาด จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นข้างในแต่ข้างนอกไม่รู้”
ถ้าเหมียวอี้ได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร เป็นเพราะวางยาพิษที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทครั้งเดียว ตอนนี้กลับชื่อเสียงโด่งดังไปข้างนอก ทุกคนต้องระวังตัวไว้ ใครใช้ให้เขามีพลังไม่เท่าไรแต่ชื่อเสียงกลับโด่งดังมากล่ะ
“เอาตามนี้ก็แล้วกัน!” คังจือลวี่ตัดสินใจ แล้วเรียกเหยาหย่วนชูให้ออกไปด้วยกัน
ทั้งสองเหาะมาเหยียบลงนอกประตูใหญ่ของสำนักหกนิ้ว พอหยางเจาชิงเห็นดังนั้น ก็ควบคุมเครื่องมือเปิดค่ายกลให้ทั้งสองเข้ามาทันที
ตรงกลางป่า อู๋เฟิงที่มองตามทั้งสองคนเดินขึ้นเขาไปเอียงหน้าถามว่า “พี่เผย เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อกล้าลงมือแตะต้องรองผู้บัญชาการใหญ่จริงเหรอ?”
เผยไหลหมิงยิ้มเรียบๆ “ผู้บัญชาการใหญ่ไปแล้ว ทัพกลางอยู่ในการควบคุมของพวกเราสามคน อำนาจทางหารของธงอินทรีสิบทัพอยู่ในมือรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองคน ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกล้าลงมือ ก็แสดงว่าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”
เหิงก่วงหลิงถามอย่างแปลกใจทันที “งั้นทำไมเมื่อครู่นี้เจ้าถึงเตือนเหมือนมันจะเกิดขึ้นจริงล่ะ?”
เผยไหลหมิงมองหน้าอีกสองคนพลางถอนหายใจ แล้วบอกว่า “สถานการณ์ของพวกเราสองคนน่ากังวล! ถ้าหนิวโหย่วเต๋ออยากจะยืนให้มั่นคง ก็จะต้องซื้อใจคน ตำแหน่งผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพจะเปลี่ยนหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ และเพื่อความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต๋อเอง ทัพกลางที่ทำหน้าที่พิทักษ์อยู่ข้างกายก็จะต้องถูกเปลี่ยนใหม่แบบล้างไพ่แน่นอน แล้วตอนนี้ก็วุ่นวายจนกลายเป็นแบบนี้อีก หนิวโหย่วเต๋อจะเชื่อใจลูกน้องคนสนิทสามคนของผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนได้ยังไง พอเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ก็เปลี่ยนขุนนางใหม่ พวกเราควรจะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหนล่ะ? อนาคตของกำลังพลทัพกลางต่างจากอนาคตของธงอินทรีทัพอื่นๆ พึ่งพาอาศัยได้แค่ผู้บัญชาการใหญ่เท่านั้น ผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่มาถึง ใจคนก็ว้าวุ่นเตรียมจะก่อเรื่อง เกรงว่าลูกน้องที่จ้องตำแหน่งระดับบนคงจะมีไม่น้อย อาศัยพวกเราสามคนต้านทานไม่ไหวหรอก ตอนนี้ธงอินทรีสิบกองทัพล้วนถูกควบคุมอยู่ในมือรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง ตราบใดที่สองท่านนั้นกุมอำนาจทางทหารข่มไว้ คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาพวกเราถึงจะไม่กล้าเคลื่อนไหวซี้ซั้ว เพราะทุกคนต่างก็รู้ว่าฝั่งพวกเราได้เปรียบกว่า”
เหิงก่วงหลิงกับอู๋เฟิงเข้าใจในทันที ที่แท้ก็อยากจะให้รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองนำทุกคนต่อต้านหนิวโหย่วเต๋อต่อไป
อู๋เฟิงถามอย่างลังเล “ตอ่ให้ล้มหนิวโหย่วเต๋อได้แล้ว แต่ไม่ช้าก็เร็วที่ธงพยัคฆ์ดำจะต้องเปลี่ยนผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่อีก ถึงตอนนั้นสถานการณ์ของพวกเราก็น่ากังวลเหมือนเดิม”
เผยไหลหมิงจึงบอกว่า “รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองล้วนอยากนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ตามหลักการแล้ว ขอเพียงล้มหนิวโหย่วเต๋อได้ ก็จะต้องให้หนึ่งในพวกเขาขึ้นสู่ตำแหน่งแน่นอน ดังนั้นแล้ว การร่วมมือกันของพวกเขาจึงเป็นแค่เรื่องชั่วคราว หลังจากล้มหนิวโหย่วเต๋อแล้ววจะต้องแตกคอกันแน่นอน กำลังของทั้งสองฝ่ายเรียกได้ว่าสูสี เช่นนั้นนักพรตบงกชรุ้งห้าสิบกว่าคนท่ามกลางกำลังพลนับหมื่นในทัพกลางของพวกเราก็คือแต้มต่อสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะ ไม่ว่าพวกเราจะเอนเอียงไปช่วยฝั่งไหนให้ชนะ ตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางกับรองผู้บัญชาการทั้งสองจะต้องเป็นของพวกเราแน่นอน นอกเสียจากเบื้องบนจะกลัวยุ่งยากไม่พอ ส่งผู้บัญชาการใหญ่ลงมาจากฟ้าอีกครั้ง”
“พูดจามีเหตุผล พวกเราแค่ต้องนั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เหมือนดั่งเฒ่าประมงตกปลาก็พอแล้ว” อู๋เฟิงพยักหน้ายิ้ม
เหิงก่วงหลิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เบื้องบนวุ่นวายกันขนาดนั้นแล้ว! ทีแรกก็ยังดีๆ อยู่ ตามขั้นตอนปกติแล้ว ถ้าส่งคนปกติมารับตำแหน่งก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรเลย แต่ดันจะทำให้เรื่องวุ่นวายแบบนี้ นี่กำลังกลั่นแกล้งธงพยัคฆ์ดำหรือกำลังกลั่นแกล้งหนิวโหย่วเต๋อกันแน่!”
เผยไหลหมิงกับอู๋เฟิงยิ้มอย่างขื่นขม มีหรือที่ทั้งสองจะไม่เข้าใจหลักการนี้ ต่อให้เบื้องบนต้องการจะส่งคนลงมาอีก แต่ถ้าส่งคนที่มีบารมีความน่าเชื่อถือมานั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ก็คงไม่วุ่นวายแบบนี้แน่นอน อย่างน้อยถ้าผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนพาลูกน้องคนสำคัญไปด้วย ก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้เช่นกัน ถ้าคนระดับล่างอยากจะมาเติมตำแหน่งที่ว่างก็ย่อมต้องเอาใจผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่อยู่แล้ว แต่เบื้องบนดันสั่งให้เหลือลูกน้องคนสำคัญของผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนเอาไว้ ไม่ย้ายผู้บัญชาการที่คุมธงอินทรีสิบกองทัพไปไหนสักคน ขนาดรองผู้บัญชาการใหญ่สองคนที่ปกติดูแลธงอินทรีสิบกองทัพยังอยู่ครบเลย เรียกได้ว่าตอบสนองทั้งข้างล่างข้างบนพอดี บวกกับหนิวโหย่วเต๋อเพิ่งมาครั้งแรก กำลังอ่อนแอรังแกง่าย ไม่เกิดเรื่องขึ้นก็แปลกแล้ว ถ้ามีโอกาสใครก็ไม่อยากล้าหลังกว่าคนอื่นทั้งนั้น ธงพยัคฆ์ดำที่อยู่ดีๆ ถูกปลุกปั่นแล้ว…
ในตำหนักใหญ่ของสำนักหกนิ้ว เหมียวอี้ไม่ได้นั่งบนบัลลังก์ของผู้บัญชาการใหญ่ แต่ยืนอยู่หน้าบัลลังก์และเงยหน้ามองรูปปั้นของปรมาจารย์ที่บุกเบิกสำนักหกนิ้ว
เฟยหงที่ยืนอยู่ตรงประตูหลังตำหนักไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไร หรือว่ามีอะไรน่ามอง
เหยียนซิวยืนเงียบอยู่ข้างๆ ส่วนสวีถังหรานยืนอยู่เบื้องล่าง หยางเจาชิงกำลังเฝ้าประตูใหญ่จึงไม่อยู่ตรงนี้ เหมียวอี้เรียกได้ว่าส่งตำแหน่งสำคัญที่สุดที่ต้องตัดสินใจให้หยางเจาชิงเฝ้าไว้ ไห่ผิงซินยังคงเฝ้าประตูตำหนักเหมือนเดิม
หยางชิ่งกลับมาแล้ว พอเข้ามาในตำหนักใหญ่ก็กุมหมัดคารวะเหมียวอี้ที่กำลังหันหลังให้ “นายท่าน รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองจะตามมาทีหลัง”
เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเฟยหงรออยู่ตรงประตูหลังตำหนัก ก็บอกว่า “เฟยหง เจ้าไปเรียกรวมพวกผู้หญิงของแต่ละบ้านไปเฝ้าด้านหลังเอาไว้ ถ้าข้าไม่เรียกก็อย่าให้ใครโผล่หน้าออกมา”
“ค่ะ!” เฟยหงย่อตัวคำนับ ถูกกันออกไปแบบนี้แล้ว
พอหยางชิ่งเห็นแบบนี้ ความกังวลในสายตาก็ยิ่งหนักกว่าเดิม เขาพอจะสังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว จากนิสัยของเหมียวอี้ที่เขารู้จัก เขาสงสัยว่าเกาทัณฑ์จะง้างไว้บนสายแล้ว
ผ่านไปไม่นาน คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็มาถึงแล้ว ก่อนที่จะเข้ามาในตำหนัก ทั้งสองก็มองสภาพแวดล้อมโดยรอบครู่หนึ่ง หลังจากเข้ามาแล้วก็ตรวจดูสถานการณ์ภายในตำหนักอีก เมื่อไม่พบความผิดปกติอะไร ก็วางใจทันที
จากนั้นทั้งสองก็ยืนกุมหมัดคารวะอยู่ตรงตีนบันไดพร้อมกัน “คารวะผู้บัญชาการใหญ่”
“ทั้งสองมาแล้วเหรอ” เหมียวอี้หันตัวมากล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วนั่งลงบนบัลลังก์
“ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการใหญ่เรียกมาด้วยธุระอะไรขอรับ?” คังจือลวี่ถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ที่เรียกรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองมา ก็เพราะต้องการจะปรึกษาเรื่องแต่งตั้งตำแหน่งในทัพกลางสักหน่อย ถ้าทัพกลางเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ควรจะแก้ไขปัญหาสำคัญ”
ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เหยาหย่วนชูขานรับ แล้วถามอีกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ร่างรายชื่อที่เหมาะสมกับตำแหน่งไว้แล้วหรือขอรับ?”
เหมียวตอบว่า “ข้าเองก็ไม่ค่อยคุ้ยเคยกับสถานการณ์ของทัพกลางสักเท่าไร เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้สวีถังหรานไปเป็นผู้บัญชาการของทัพกลาง ตำแหน่งรองผู้บัญชาการสองคนกับผู้ช่วยผู้บัญชาการสองคน ก็ให้รองผู้บัญชาการใหญ่ช่วยดูหน่อยว่ามีใครที่เหมาะสมหรือไม่”
ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ พวกเจ้าไม่ต้องเถียงเรื่องตำแหน่งผู้บัญชาการกับข้าแล้ว ข้าจะถอยให้ก้าวหนึ่งเหมือนกัน ตำแหน่งอื่นๆ ในทัพกลางก็ส่งต่อให้พวกเจ้าจัดการเช่นกัน
สวีถังหรานที่ยืนอยู่เบื้องล่างปาดเหงื่ออย่างอับอาย สายตาที่มองเหมียวอี้ไม่รู้ว่าสื่อถึงความซาบซึ้งตื้นตันใจหรือว่าอะไร นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะยังดึงดันให้เขานั่งตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลาง แต่ตำแหน่งลูกน้องเบื้องล่างเจ้าดันส่งให้พวกเขาไปจัดการ ถึงตอนนั้นคนที่จะขึ้นมาก็ไม่ใช่คนของตัวเองเลย ตำแหน่งผู้บัญชาการของข้านี้ เมื่อเป็นแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการโดนปล้นอำนาจ หัวใจคนไม่ได้เอนเอียงมาอยู่ฝั่งนี้เลย!
คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูขมวดคิ้วพร้อมกัน พวกเผยไหลหมิงจะต้องเล็งตำแหน่งผู้บัญชาการกับรองผู้บัญชาการทั้งสองตำแหน่งนั้นแน่นอน หลีกทางตำแหน่งผู้บัญชาการให้ ขาดตำแหน่งที่สำคัญที่สุดไปหนึ่งตำแหน่ง ให้คนสามคนไปแย่งตำแหน่งรองผู้บัญชาการสองตำแหน่ง แล้วจะไม่ทะเลาะกันหรอกเหรอ?
ถ้าล้มเหมียวอี้แล้ว อำนาจของทัพกลางที่พวกเผยไหลหมิงกุมไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตบงกชรุ้งห้าสิบกว่าคน ก็แทบจะตัดสินได้เลยว่าในบรรดาพวกเขาสองคนใครจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาทั้งสองจะไปขัดใจสามคนนั้น ย่อมต้องหยุดยั้งไว้
คังจือลวี่เป็นคนแรกที่คัดค้านเสียงดัง “ยังไม่ต้องพูดถึงวรยุทธ์และประสบการณ์ในธงพยัคฆ์ดำของสวีถังหราน เขาไม่คุ้นเคยกับทัพกลางเลย ธรรมเนียมของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายกับหน่วยองครักษ์ฝ่ายขวาล้วนเป็นการเลื่อนขั้นทีละขั้น ถ้าข้างบนว่าง ถึงจะดึงคนข้างล่างที่เหมาะสมไปเติม ถ้าตัดขาดช่องทางในการเลื่อนขั้นของคนระดับล่าง ทัพกลางจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน!”
…………………………
[1] เกาทัณฑ์ขึ้นสาย 箭在弦上 อุปมาว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำแน่นอน