พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1356 ทัพกลางยอมศิโรราบ
ฉากยิงแบบนี้ทำให้พวกเหมียวอี้สะเทือนใจไม่หาย นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นอานุภาพการโจมตีหมู่ของทัพใหญ่ที่แท้จริงของตำหนักสวรรค์ นักพรตบงกชรุ้งสิบกว่าคนจากหลายสิบคนที่หลบหนีก็ตายภายใต้การโจมตีระลอกเดียวเช่นกัน ตายอย่างไม่ได้แสดงความยอดเยี่ยม ไม่มีกำลังจะต่อต้านอะไรทั้งนั้น
หยางชิ่งเงียบขรึม เหยียนซิวจ้องมอง หยางเจาชิงกลับสูดหายใจอย่างตกตะลึง ไห่ผิงซินที่แบกเสาธงไม่รู้สึกอะไรกับภาพตรงหน้า โดยพื้นฐานนางไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้เข่นฆ่าใดๆ มาก่อน ไม่มีความสะท้อนใจนั้น ยังคงหันกลับไปมองคนที่นางเคารพบูชาที่สุดไม่หยุด
สวีถังหรานกลับตกใจกับฉากนี้จนเหงื่อแตกท่วมตัว เมื่อครู่นี้ถ้าถูกทัพกบฏโจมตีฝ่าเข้ามาได้ เกรงว่าคนที่อยู่ตรงนี้คงไม่มีใครรอดไปได้สักคน พอมองไปหาเหมียวอี้ที่กำลังยืนตระหง่านอีกครั้ง ในดวงตาก็มีเพียงคำว่า ‘นับถือ’ ขนาดเป็นแบบนี้ยังพลิกสถานการณ์ได้ เขาไม่กล้าจะจินตนาการถึงเลยจริงๆ
แต่สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้น ก็ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าเสียงสั่ง ‘ประหาร’ ของผู้บัญชาการใหญ่ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญขนาดไหน แต่สวีถังหรานกลับเข้าใจดี ตอนที่เขาเห็นทัพใหญ่ด้านนอกประชิดแดนเข้ามา จาก็ตกใจจนเข่าอ่อนแล้ว แต่ผู้บัญชาการใหญ่ดันสั่งประหารด้วยความมีพลังอำนาจเหมือนอย่างที่เคยเป็น แบบนี้เท่ากับอีกฝ่ายเอามีดจ่อคอผู้บัญชาการใหญ่ แต่ผู้บัญชาการใหญ่กลับฉีกยันต์ป้องกันตัวแผ่นสุดท้ายทิ้งไปแล้ว
นี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่ทุกคนของสำนักหกนิ้วได้เห็นอานุภาพการโจมตีของทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ ทั้งสำนักล้วนตัวสั่นหวาดกลัวกับสิ่งนี้
พวกผู้หญิงในครอบครัวที่มองจากบนฟ้าไกลๆ ด้านหลังโล่งใจมาก ภายใต้สถานการณ์ที่วิกฤตแบบนั้น พวกนางก็ตกใจจนเหงื่อท่วมตัวเช่นกัน ยังนึกกลัวย้อนหลังไม่หยุด
ทว่ากำลังพลทัพกลางที่ยิงโจมตีไปหนึ่งระลอกกลับเหมือนม้าป่าที่หลุดจากเชือกบังเหียน รีบพุ่งไปด้านล่างตรงที่ศพร่วงลงมา แย่งศพกัน!
ทำไมถึงแย่งศพกันน่ะเหรอ? ผู้บัญชาการใหญ่บอกแล้ว ว่าคนที่สร้างผลงานฆ่าโจรกบฏสามคนนั้นได้ จะได้เลื่อนขั้นเป็นรองผู้บัญชาการกับผู้ช่วยผู้บัญชาการ ทว่าภายใต้ธนูนับหมื่นที่ยิงออกไปพร้อมกัน ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าใครฆ่าได้ คนที่ได้เปรียบก็คือที่คนแย่งศพได้อยู่แล้ว
ผ่านไปไม่นาน ศพสามร้อยกว่าศพที่สภาพเละเทะจนไม่เหมือนเดิมก็ถูกแย่งลับมา กำลังพลนับหมื่นของทัพกลางยืนจัดแถวอยู่กลางอากาศอย่างเรียบร้อย ตร’หน้าคือศพที่ตัวเองแย่งชิงมาได้ หลังจากเตรียมพร้อมเสร็๗แล้ว ก็กล่าวเสียงดังพร้อมกันว่า “คารวะผู้บัญชาการใหญ่!”
“กรร!” เฮยทั่นคำรามขานรับอย่างเกรี้ยวกราด
“ดี!” เหมียวอี้โบกทวนชี้พร้อมชมเสียงดัง แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังว่า “เปิดประตูค่ายกล ต้อนรับผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางคนนี้กลับมา!”
“หา…” หยางเจาชิงหันหน้ากลับมาอย่างตกใจ
สวีถังหรานมองเขาด้วยสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน ครั้งนี้แม้แต่ไห่ผิงซินที่แบกเสาธงก็ตกใจแล้วเช่นกัน ถ้าปล่อยคนเข้ามาแล้วยิงธนูใส่พวกเรามั่วๆ จะทำอย่างไรล่ะ?
เฟยหงและผู้หญิงที่เหลือก็ตกใจเช่นกัน สถานการณ์พลิกไปพลิกมาอย่างไม่ปกติแบบนี้ ตอนนี้ถ้าเจ้าปล่อยคนเข้ามา จะไม่น่าตกใจมากได้อย่างไร
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่กำลังพลทัพกลางนับหมื่นที่อยู่ด้านนอกก็มองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกไม่กล้าเชื่อที่เหมียวอี้จะปล่อยพวกเขาเข้าไปตอนนี้
หยางชิ่งรู้ว่าเมื่อครู่ตัวเองเพิ่งจะยั่วโมโหเหมียวอี้ไป แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนร่วม จำเป็นต้องแข็งใจถ่ายทอดเสียงโน้มน้าวอีกครั้ง “นายท่าน เมื่อครู่เพิ่งยอมศิโรราบ ใจคนยังไม่มั่นคง ถ้าปล่อยเข้ามาตอนนี้ ผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดา ถ้ามีคนแฝงเจตนาไม่ดี พวกเราก็ไม่มีทางให้ถอยแล้ว ตอนนี้ให้พวกเขาอยู่ข้างนอกก็ไม่ผิดเช่นกัน รอให้จัดระเบียบเรียบร้อยแล้วปล่อยเข้ามาก็ยังไม่สาย!”
เหมียวอี้ไม่สนใจ ตอนนี้พลังของอำนาจเผด็จการก็ยิ่งแสดงออกมาจนหมด เสียงมังกรคำรามดังอย่างต่อนเอง เขาโบกทวนเกล็ดย้อน แล้วตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “เปิดประตู!”
หยางเจาชิงไม่กังวลอีกต่อไป หยิบเครื่องมือมาเปิดประตูค่ายกลป้องกันของประตูใหญ่
หยางชิ่งและคนอื่นๆ ที่พูดไม่ออกก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวนเข้าไปใหญ่
“เปิดแล้วจริงๆ”
“รีบดูสิ เปิดแล้วจริงๆ”
“เจ้าแซ่หนิวนี่ช่างใจกล้า ไม่กลัวพวกเราจะย้อนกลับมาโจมตีเหรอ?”
“สมกับเป็นชายชาตรีที่บุกเดี่ยวโจมตีฝ่าทัพใหญ่หนึ่งล้าน ใจกล้ามากทีเดียว กล้าหาญ สมคำร่ำรือ!”
“สามารถจับรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองไว้ได้ ก็ย่อมมีความมั่นใจอยู่แล้ว”
เปิดค่ายกลออกแล้วจริงๆ ได้เรียกว่าก่อความวุ่นวายไม่น้อยท่ามกลางกำลังพลทัพกลางนับหมื่น เรียกได้ว่าสุมหัวกระซิบกระซาบกัน
กลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกกลับลังเลไปชั่วขณะว่าจะเข้าหรือไม่เข้าดี กลุ่มผู้บังคับการกองร้อยเรียกหากัน สุมหัวปรึกษากันแล้ว
“ทำไม อาศัยศักยภาพของพวกเจ้าก็ยังไม่กล้าเข้ามาอีกเหรอ ขนาดข้ายังไม่กลัวแล้วพวกเจ้าจะกลัวอะไร?” เหมียวอี้ตะโกนถาม แล้วถือทวนชี้ออกไปอีกครั้ง ถามยืนยันว่า “ข้าพูดคำไหนคำนั้น บอกแล้วว่าจะไม่เอาเรื่องความผิดในอดีตก็จะไม่เอาเรื่อง ทำไมต้องลังเล?”
กลุ่มผู้บังคับการกองร้อยสบตากันแล้วพยักหน้า ก่อนจะกุมหมัดคารวะตรงหน้าเหมียวอี้พร้อมกัน “ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่ที่เมตตา!”
จากนั้นก็ต่างคนต่างเรียกกำลังพลของตัวเอง รวมตัวกันเป็นกลุ่ม กำลังพลนับหมื่นเข้ามาในค่ายกลป้องกันของประตูใหญ่อีกครั้ง
หยางชิ่งปิดประตูค่ายกล เหมียวอี้ก็นำคนเหาะลงมาแล้วเช่นกัน มาเหยียบลงตรงหน้ากำลังพลทัพกลาง กำลังพลนับหมื่นคารวะอย่างเป็นทางการอีกครั้ง กล่าวอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “คารวะผู้บัญชาการใหญ่!”
เหมียวอี้บอกว่า “ไม่ต้องเปลืองคำพูดแล้ว ไม่เอาเรื่องความผิดในอดีตก็ส่วนไม่เอาเรื่อง เรื่องที่ต้องทำก็ยังคงต้องทำ คังจือลวี่ เหยาหย่วนชู เผยไหลหมิง เหิงก่วงหลิง อู๋เฟิงและคนอื่นๆ ฝ่าฝืนคำสั่งทหาร ปลุกปั่นขวัญกำลังใจทหาร วางแผนร้ายยึดตำแหน่ง ทุกคนได้เห็นเองกับตาแล้ว ตอนนี้ผู้บัญชาการคนนี้ยังต้องให้พวกเจ้าเขียนรายงานความผิดของพวกเขา พวกเจ้าเขียนสิ่งที่รู้ลงมา มีปัญหาอะไรมั้ย?”
เหยียนซิวที่ตามติดคุ้มกันอยู่ข้างหลังแววตาวูบไหวเล็กน้อย เขาเหมือนจะคุ้ยเคยกับสถานการณ์นี้แล้ว ในปีนั้นก็เหมือนว่าเหมียวอี้จะเคยเล่นแบบนี้มาก่อน
กลุ่มทหารเอียงซ้ายเอียงขวา มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา สุดท้ายก็มีความเห็นแบบเดียวกัน ทยอยกันกุมหมัดคารวะ “ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งผู้บัญชาการใหญ่”
“ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไร งั้นก็เขียนเถอะ เขียนตอนนี้เลย เขียนเสร็จแล้วก็ถือมาคุยเรื่องเลื่อนตำแหน่ง” เหมียวอี้กล่าว
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งตำแหน่ง ทุกคนย่อมไม่กล้าเขียนซี้ซั้ว โดยเฉพาะพวกผู้บังคับการกองร้อยที่มีหวังอยากจะได้เลื่อนขั้น รีบหยิบแผ่นหยกออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขียน เรียกได้ว่าตำหนิว่ากล่าวพวกคังจือลวี่ต่างๆ นาๆ
เหมียวอี้สั่งให้หยางเจาชิงจัดโต๊ะแล้ว กำลังนั่งรออยู่ตรงนั้น
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แผ่นหยกฟ้องร้องก็ถูกส่งขึ้นมาทั้งหมด
เหมียวอี้นั่งตรวจอ่านไปจำนวนหนึ่ง พบว่ามีเขียนไปต่างๆ นาๆ ประมาณว่ากุมอำนาจทางทหารไว้แล้วทำตามใจตัวเอง ปลุกปั่นขวัญกำลังใจทหาร วางแผนร้ายแย่งชิงตำแหน่ง นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องเขียน ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นก็คือมีคนไม่น้อยที่ได้เห็นและได้ยินเองกับหูว่าคังจือลวี่ เหยาหย่วนชู เผย อู๋และเหิงบอกว่าเหมียวอี้ไม่มีอิทธิพลอำนาจ แค่มานั่งประดับตำหน่งไว้เฉยๆ เท่านั้น บอกว่าฝ่ายตัวเองมีกำลังทหารเยอะกว่า คุยกันว่าจะกดดันให้เหมียวอี้ออกไปอย่างไร ปรึกษากันว่าจะโค่นล้มเหมียวอี้อย่างไร ปรึกษากันว่าถ้าเหมียวอี้ไม่เชื่อฟังก็จะใช้กำลังทหารคุกคาม
คำฟ้องร้องนับหมื่นฉบับ เหมียวอี้ไม่สามารถอ่านหมดได้ภายในรวดเดียว กะว่าเดี๋ยวกลับไปแล้วค่อยๆ อ่าน ที่สำคัญคือเขาไม่ได้อ่านเอง เขาเพียงตรวจสอบนิดหน่อยเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องนำไปให้กองมังกรดำดู เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ให้คำอธิบายกับเบื้องบนสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าจะทำอะไรพวกคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูแล้วก็จะทำได้ ตอนนี้มีคนมากมายชี้ข้อบกพร่อง นี่ก็คือคำอธิบายแล้ว
เมื่อเก็บแผ่นหยกจำนวนนับหมื่นแล้ว เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นยืน กวาดสายตาเย็นเยียบมองกำลังพลทัพกลาง แล้วกล่าวถามด้วยเสียงดังมีพลังว่า “ข้าต้องการแต่งตั้งสวีถังหรานเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของทัพกลาง ทุกคนมีความเห็นแย้งอะไรมั้ย?”
กลุ่มคนเงียบไปครู่หนึ่ง ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง เป็นเพราะเคยได้ยินคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูปลุกปั่นมาก่อน ต่อให้ไม่ได้ฟังคำปลุกปั่นจากทั้งสอง ทุกคนก็ยังรู้สึกว่าสวีถังหรานต่ำกว่ามาตรฐานเกินไป พอได้ยินว่าพวกเหมียวอี้จะมารับตำแหน่งที่นี่ รวมทั้งคนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ ฝั่งนี้ย่อมสืบข่าวมาบ้างแล้วนิดหน่อย คนขี้ประจบที่ไม่ค่อยจะมีความสามารถสักเท่าไร ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเป็นผู้บัญชาการของทัพกลาง ถ้าวรยุทธ์ผ่านก็ยังพอไปได้ แต่ดันเป็นนักพรตบงกชทอง จุดเดียวที่พอจะรับได้ก็เกรงว่าจะเป็นยศแม่ทัพหนึ่งแถบ
แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ทุกคนต่างก็รู้ว่าไม่ว่าผู้บัญชาการใหญ่คนไหนจะมารับตำแหน่ง แต่ก็จะต้องจัดตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางให้กับคนของตัวเองแน่นอน มิหนำซ้ำเจ้าตัวก็ประจบสอพลอได้ดี ผู้บัญชาการใหญ่ก็แค่ชอบ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรได้ล่ะ?
ขนาดสวีถังหรานเองก็ยังรู้สึกขาดความมั่นใจไม่หาย ขนาดเขายังรู้เลยว่าตัวเองไม่เหมาะจะเป็นผู้บัญชาการของทัพกลาง แต่ผู้บัญชาการใหญ่ดึงดันจะยัดตนเข้าไปให้ได้ คงไม่ดีหากตนจะปฏิเสธ ถ้าปฏิเสธก็จะกลายเป็นว่าตนไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว
เพื่อที่จะช่วงชิงตำแหน่งอื่นๆ ที่เหลือ จึงไม่มีใครคัดค้าน สุดท้ายพวกผู้บังคับการกองร้อยก็เป็นตัวแทนตอบแทนทุกคนว่า “ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่”
เรื่องต่อมาก็จัดการง่ายแล้ว แย่งศพมาได้ก็นับว่าได้ผลงานแล้วเหรอ? ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก เหมียวอี้ปฏิเสธตรงๆ อย่างแข็งกร้าวเสียเลย ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะมีความเห็นแย้งหรือเปล่า ในเมื่อไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครฆ่า เช่นนั้นก็ทำได้เพียงให้เขาเป็นคนจัดการให้แล้ว
ถ้าส่งต่อให้ผู้บัญชาการทัพกลางอย่างสวีถังหรานไปจัดการ เหมียวอี้ก็รู้เช่นกันว่าจัดการไม่ไหว ถ้าให้สวีถังหรานไปจัดการจริงๆ ก็ไม่สามารถคุมสถานการณ์ให้สงบได้เลย ดีไม่ดีอาจจะเกิดเรื่องขึ้นก็ได้
ท่ามกลางสายตาของฝูงชน เหมียวอี้นั่งสงบอยู่ตรงหน้าของทุกคน หยิบบัญชีรายชื่อของทัพกลางมาพลิกอ่านแล้ว
กำลังพลนับหมื่นกลั้นหายใจอย่างใจจดใจจ่อ จ้องมองเขาโดยไม่กะพริบตา รู้ว่าโครงสร้างกำลังหลักใหม่ของทัพกลางกำลังจะออกมาแล้ว
หลังจากอ่านบัญชีรายชื่อคร่าวๆ เหมียวอี้ก็กล่าวเสียงเรียบว่า “หูอันซง เซวียผิงกง สองคนนี้เป็นรองผู้บัญชาการของทัพกลางแล้วกัน”
ชั่วพริบตานั้น ตรงนั้นก็เงียบงันจนทำให้คนตกใจ ตามติดด้วยการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนจำนวนมาก ถึงขั้นมีคนไม่น้อยอดกลั้นขำไม่ได้ เป็นการคลี่คลายบรรยากาศตึงเครียดหลังจากทหารก่อกบฏ ผู้บังคับการกองร้อยบางคนชี้ไปที่ศพบนพื้นพร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ สองคนนี้ตายอยู่ภายใต้ลูกธนูที่ยิงมั่วไปทั่วแล้ว”
“…” ผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่เมื่อครู่ยังองอาจผึ่งผาย แต่ตอนนี้ทำสีหน้าไม่ถูกแล้ว พบว่าปล่อยไก่จนเกิดเสียงหัวเราะ จึงถามด้วยสีหน้าเครียดขรึมว่า “ในเมื่อรู้แล้ว งั้นเจ้ายังไม่รีบทำรายชื่อทุกคนที่ตายออกมาอีกเหรอ?”
นี่ก็คือความยุ่งยากของการไม่รู้จักสถานการณ์ของลูกน้อง แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีเวลามาค่อยๆ ทำความเข้าใจแล้ว การทำให้ขวัญกำลังใจทหารมั่นคงคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง จะต้องวาดส่วนได้ส่วนเสียของส่วนรวมออกมาก่อน แล้วคนพวกนี้จะรีบช่วยเขาคุมทัพกลางเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ส่วนจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพิจารณาตอนนี้ ในภายหลังถ้าเข้าใจสถานการณ์แล้ว ตราบใดที่กุมอำนาจทางทหารไว้ในมือได้ เดี๋ยวค่อยปรับปรุงจัดระเบียบทีหลังก็จะไม่เกิดปัญหา ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องทำตามสัญญาให้ได้ก่อน
ผู้บังคับการกองร้อยคนนั้นรีบทำรายชื่อคนตายหลายสิบคนออกมา แล้วใช้สองมือยื่นรายชื่อให้
หลังจากเหมียวอี้นำมาตรวจสอบแล้ว ก็มองข้ามยศทหาร แต่อิงตามความสูงค่ำของวรยุทธ์ แต่งตั้งคนที่วรยุทธ์สูงสุดสองคนให้เป็นรองผู้บัญชาการของทัพกลาง จากนั้นก็เลือกผู้ช่วยผู้บัญชาการของธงหมาป่าสิบคน ยังเหลือผู้ช่วยผู้บัญชาการของธงหมาป่าหนึ่งคนที่คอยติดตามผู้บัญชาการทัพกลาง เหมียวอี้ก็ยกให้สวีถังหรานเลือกเอง
สวีถังหรานก็ตั้งใจทำอย่างจริงจังและระมัดระวัง หลังจากหยิบบัญชีรายชื่อออกมาเลือกคนที่ถูกใจแล้ว ก็เริ่มปรึกษาหารือกับคนคนนั้น เขามีวิธีการมองคนในแบบของตัวเอง คนที่วรยุทธ์เหมาะสม มีความเห็นพ้องกับเขา สามารถให้ความร่วมมือกับารทำงานของเขาได้คงจะถูกเขาเลือกไปแล้ว
การแต่งตั้งตำแหน่งที่อยู่ระดับล่างกว่านั้น เหมียวอี้ก็ไม่เข้าไปแทรกแซงแล้ว ปล่อยอำนาจให้อย่างไม่ลังเล ให้คนที่ตัวเองเลือกเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการไปเลือกเอาเอง เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าถ้าต้องการอาศัยให้คนพวกนี้คุมทัพกลาง ก็จะต้องให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการพวกนี้ดึงคนที่ตัวเองต้องการมา ถ้าเหมียวอี้แทรกแซงต่อไปโดยที่ไม่รู้สถานการณ์อะไรเลยก็จะทำให้วุ่นวาย ถ้าดันทุรังยัดคู่อริไปให้พวกเขา ถ้าทำให้พวกลูกน้องจัดระเบียบความสัมพันธ์ภายในได้ไม่ราบรื่น แบบนั้นจะต้องเกิดปัญหาแน่นอน
ขณะมองดูกำลังพลระดับล่างเสียงดังวุ่นวาย คนในตำแหน่งสำคัญกำลังต่างคนต่างเลือกกำลังพลของตัวเอง เหมียวอี้ก็เงยหน้ามองสีของท้องฟ้า แล้วถามว่า “ผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพน่าจะมาถึงแล้วใช่มั้ย?”
เขาสยบทัพกลางได้แล้ว พอผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพมาถึง ก็อย่าได้คิดเลยว่าจะได้รอดตัวไปอย่างปลอดภัย ในเมื่อฆ่าคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูแล้ว จะยอมให้คนของเขากุมอำนาจทางทหารต่อไปได้อย่างไร
เหนียนซู่ รองผู้บัญชาการทัพกลางที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ ตอนนี้ยังไม่มีงานอะไรทำ พอได้ยินก็หยิบระฆังดาราออกมาทันที ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อใคร หลังจากติดต่อแล้วก็สีหน้าเปลี่ยน อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นคนมากมายที่อยู่ตรงนั้น ก็รีบเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ คาดว่าก่อนหน้านี้คนของเผย อู๋และเหิงจะปล่อยข่าวไปแล้ว ผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพที่มาที่นี่เลี้ยวกลับไปแล้ว ทางนั้นรู้เรื่องที่คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูโดนประหารแล้ว ผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพกำลังเรียกรวมกำลังพลทัพใหญ่นับแสนและเร่งมาที่นี่ บอกว่าในธงพยัคฆ์ดำมีคนก่อกบฏ ต้องการจะมาปราบกบฏ!”
………………………