พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1358 ถอดอำนาจทางทหารของตัวเอง
ล้อเล่นอะไรกัน ดีไม่ดีกำลังพลเบื้องล่างของตัวเองอาจจขอความช่วยเหลือจากผู้บังคับบัญชาของตัวเอง มิหนำซ้ำตอนนี้ตัวคนก็ยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ อีกประเดี๋ยวจะไม่กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรอกเหรอ!
เมื่อเห็นเขาโมโหแล้ว หยางเจาชิงก็หวาดกลัวเล็กน้อย พบว่าวันนี้ความเด็ดขาดในการรบมารวมอยู่ที่ตัวนายท่านแล้วจริงๆ ดุร้ายถึงขีดสุด เด็ดเดี่ยวกล้าหาญน่าตกตะลึง มีหรือที่จะกล้าชักช้า รีบเปิดค่ายกลป้องกันอีกครั้งทันที
สวีถังหรานก็กลัวแล้วเช่นกัน ไม่กล้าขัดใจ รีบตะโกนออกคำสั่งให้กำลังพลทัพกลางรวมตัวกันจัดทัพ กำลังพลกลุ่มใหญ่แยกตัวออกไปอีกครั้ง ลอยอยู่บนฟ้าและจัดกระบวนทัพอีกครั้ง
สุดท้ายถึงได้เห็นเหมียวอี้ที่สวมเกราะรบผลึกแดงทั้งตัวขี่เฮยทั่นที่สวมเกราะรบหน้าตาดุร้ายน่ากลัว ชี้ทวนเกล็ดย้อนนำเหยียนซิวและคนอื่นๆ เหาะออกมา
ตรงหน้ากระบวนทัพที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหาง แบกเหมียวอี้ลอยกลับไปกลับมา รอการมาถึงของทัพใหญ่หนึ่งแสนอย่างเงียบๆ
กำลังจะสู้แบบหนึ่งต่อสิบแล้ว กำลังทัพกลางมีสีหน้าตึงเครียด มีคนไม่น้อยแอบด่าว่าเขาบ้า สวีถังหรานที่บัญชาการทัพกลางก็ยิ่งแอบวิตกกังวลไม่หาย อีกประเดี๋ยวจะได้บัญชาการกำลังพลจำนวนมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องเตรียมบุกตะลุยโจมตีข้าศึกอยู่ท่ามกลางทัพใหญ่ และยิ่งเป็นครั้งแรกที่ได้เผชิญกับฉากใหญ่ขนาดนี้ ในฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อแห่งความตื่นเต้น
ไห่ผิงซินเหลียวซ้ายแลขวา นางยังไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้เข่นฆ่ามาก่อน จู่ๆ ก็จะต้องเผชิญกับฉากแบบบนี้ ขาทั้งคู่จึงสั่นเล็กน้อย
แม้แต่หยางเจาชิงเองก็ยังวิตกกังวลอยู่บ้าง
กลับเป็นหยางชิ่งที่ไม่เหมือนคนอื่น เขาเชื่อมโยงการกระทำที่ต่อเนื่องของเหมียวอี้ จึงพอจะเดาอะไรได้บ้างแล้ว ดูค่อนข้างสงบเงียบใจเย็น
ในค่ายกลป้องกัน เสวี่ยหลิงหลงที่ยืนสังเกตการณ์ด้านนอกอยู่แถวเดียวกับเฟยหงถอนหายใจเบาๆ “ไม่หวาดกลัวยามเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจ ต้องการจะสู้แบบหนึ่งต่อสิบ พลังอาจของผู้บัญชาการใหญ่ ช่างเป็นวีรบุรุษจริงๆ!”
เฟยหงพยักหน้าเบาๆ วันนี้นางก็ถูกความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของเหมียวอี้ทำให้ตะลึงค้างแล้วเช่นกัน มองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาที่สื่อความรู้สึกซับซ้อน!
ทุกคนของสำนักหกนิ้วมองไปยังทัพใหญ่ที่จัดกระบวนทัพรออยู่เงียบๆ ด้านนอก กำลังรออย่างกังวลเช่นกัน
“ได้ยินชื่อเสียงบารมีที่หนิวโหย่วเต๋อบุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่มานานแล้ว ยังนึกว่าคนในใต้หล้ากล่าวเกินไป วันนี้พอได้เห็นพลังอำนาจของเขา ถึงได้รู้ว่าไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียง ช่างเป็นวีรบุรุษจริงๆ!” เจ้าสำนักไป๋หลันอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมกับผู้อาวุโสที่อยู่ทางซ้ายและขวา
ทว่าศิษย์ทุกคนของสำนักหกนิ้วสีหน้าเปลี่ยนทันที มีบางคนอุทานเสียงต่ำว่า “มาแล้ว!”
จู่ๆ บนท้องฟ้าก็ปรากฏเงาคนดำเป็นพืด รอจนกระทั่งเข้ามาใกล้ ภายใต้แสงอาทิตย์ยามสายัณห์ เกราะรบก็สะท้อนเป็นแสงสีทองระยิบระยับ ธงอินทรีฟ้า ธงอินทรีม่วง ธงอินทรีขาว ธงอินทรีทอง ธงอินทรีเขียวเงิน ธงอินทรีดิน ธงอินทรีดำ ธงอินทรีแดง ธงอินทรีเขียว ธงอินทรีน้ำเงิน ธงอินทรีสิบกองทัพโจมตีอยู่ข้างหน้า กำลังพลหนึ่งแสนประชิดเข้ามาที่เขตแดนแล้ว
หลังจากเข้ามาใกล้แล้ว ในท้องฟ้าใต้เท้าธงอินทรีสิบสีก็ปรากฏแม่ทัพเกราะม่วงสิบคน เป็นผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพนั่นเอง รองผู้บัญชาการที่ติดตามอยู่ทางซ้ายและขวาก็เป็นแม่ทัพเกราะม่วงเช่นกัน สายตาของทุกคนจ้องบนตัวเหมียวอี้ที่ยืนลำพังอยู่หน้ากระบวนทัพ นอกจากจะไม่เห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าหวาดกลัวสักนิด ยังเห็นกำลังพลของทัพกลางมารวมตัวกันอยู่นอกค่ายกลด้วย ชัดเจนว่าต้องการจะใช้กำลังปะทะกัน ทำให้รู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง
“ช่างใจกล้าจริงๆ!” หวังลี่คุนแอบถ่ายทอดเสียงบอกพวกเขา
กำลังพลใต้บังคับบัญชาของธงอินทรีสิบกองทัพ มีจำนวนไม่น้อยที่มองหน้ากันเลิกลั่ก
เหมียวอี้ชูทวนเกล็ดย้อนในมือเล็กน้อย สวีถังหรานที่อยู่ด้านหลังชูธงแผนใหญ่ขึ้นมาอย่างด้วยความพยายามเต็มที่ทันที แผ่นธงยาวถึงสามจั้ง กว้างถึงสามจั้ง เป็นธงที่ใหญ่ที่สุดของทั้งธงพยัคฆ์ดำ สีดวงอาทิตย์ยามเย็นราวกับเลือด ธงพยัคฆ์ดำปลิวสะบัดรับลม พยัคฆ์ดำที่ดุร้ายแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่บนผืนธง
ถึงแม้ฝั่งนี้จะมีคนน้อย แต่พอตั้งธงพยัคฆ์ดำขึ้น ทุกคนของธงพยัคฆ์ดำก็ไม่มีใครที่ไม่เหล่ตามอง เดิมทีธงผืนนี้ก็คือผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพอยู่แล้ว ใครเป็นคนนำใครเป็นตามแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว ภายใต้ความน่าเกรงขามที่สะสมมาเป็นเวลานาน สามารถเสริมสร้างพลังอำนาจให้กับฝ่ายหนึ่ง และสามารถทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกไม่มั่นใจได้เช่นกัน
ในธงอินทรีสิบกองทัพมีคนไม่น้อยแอบถ่ายทอดเสียงสื่อสารกัน ผู้บัญชาการทั้งสิบสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์จึงกันกลับมามองแวบหนึ่ง บนใบหน้าฉายแววขื่นขมเล็กน้อย แค่วางหมากผิดครั้งเดียว ก็แพ้ทั้งกระดานแล้ว ทั้งสิบคนแค้นมาก แค้นคังจือลวี่กับเหยาหย่วนช่าทำไมประมาทขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะตายด้วยน้ำมือของหนิวโหย่วเต๋อง่ายๆ แบบนี้ ในการออกทัพโจมตีครั้งนี้ พวกเราไม่รู้เลยว่าหลังจากออกคำสั่งแล้วจะมีคนสักกี่คนที่เชื่อฟัง แล้วจะมีคนเท่าไรที่ย้อนหันอาวุธมาทำร้ายพวกเดียวกัน
หลี่จื้อหย่วนตะโกนนำว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ช่างใจกล้าจริงๆ กล้าอาศัยทัพกลางเล็กๆ จัดกระบวนทัพออกมาต่อต้านธงอินทรีสิบกองทัพ”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ตลกน่า! ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ก็ปีนขึ้นมาจากภูเขากระดูกทะเลเลือดเหมือนกัน ตอนที่บุกเดี่ยวเข้าทัพใหญ่หนึ่งล้านไปตัดหัวคน ก็ไม่เคยขมวดคิ้วสักนิดเลย มิหนำซ้ำตอนนี้ก็มีกองทัพที่ห้าวหาญนับหมื่นด้วย” เขาโบกทวนชี้ “ธงพยัคฆ์ดำของข้าได้รับคำสั่งให้ควบคุมอาณาเขตดาวผืนนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งของข้ากำลังพลก็ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ ใครให้พวกเจ้าบังอาจระดมทัพใหญ่ออกจากปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้รับอนุญาต?”
พอเห็นว่าทำให้อีกฝ่ายตกใจและสร้างชื่อเสียงอิทธิพลฝ่ายตัวเองไม่ได้ ผู้บัญชาการทั้งสิบก็สบตากันแวบหนึ่ง ในใจต่างก็แอบทอดถอนใจ
เดิมทีพวกเขาก็อยากจะสู้เป็นครั้งสุดท้าย ให้กำลังพลข้างหลังตัวเองได้เห็นว่าอำนาจอยู่ฝ่ายไหน ใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะนำทัพใหญ่ออกรบ ทั้งยังโจมตีอยู่ข้างหน้ากระบวนทัพ ท่าทางเหมือนตกใจเสียที่ไหนกัน จึงไม่ต้องข่มขู่อีกต่อไปแล้ว ล้มเลิกแผนการสุดท้าย ลอยออกมาต่อสู้พร้อมกัน
“หลี่จื้อหย่วน หวังลี่คุน ลิ่งหูหลานจื่อ เย่สวินชิว เมิ่งหวน เซี่ยอวิ๋นเกา ถงเจิ้นชวน เถียนเยี่ยน ไก้ฉงเทียน ซูเลี่ย” ทั้งสิบคนเก็บอาวุธ แล้วกุมหมัดคารวะเสียงดังพร้อมกัน “คารวะผู้บัญชาการใหญ่!”
เมื่อเกิดฉากนี้ขึ้น ก็ทำให้คนไม่น้อยตกตะลึงงอ้าปากค้างจนคางแทบหล่น ขนาดฝั่งธงอินทรีสิบกองทัพยังมีคนมากมายที่รู้สึกเหลือเชื่อ
ที่จริงเหมียวอี้ก็แปลกใจเช่นกัน จากข่าวที่แอบส่งมาจากธงอินทรีสิบกองทัพไม่หยุด เขาก็ตัดสินได้แล้วว่าวิธีการใช้ข่าวลือของตัวเองได้ผล คาดว่าผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพต้องการจะเดินตามรอยเผย อู๋และเหิง อย่างไรเสีย เมื่ออยู่ที่นี่เขาก็เป็นฝ่ายครอง ‘ความชอบธรรม’ เป็นผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำที่เบื้องบนแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ มีอำนาจในการเลื่อนขั้นและแต่งตั้งตำแหน่ง ดังนั้นในเวลานี้เขาก็ยิ่งแสดงความอ่อนแอไม่ได้ กลัวว่าจะสั่นคลอนหัวใจทหารฝั่งธงอินทรีสิบกองทัพที่เอนเอียงมาทางตน ทำได้เพียงปลุกปั่นขวัญกำลังใจ จะทำให้ขวัญกำลังใจถอดถอยไม่ได้ ถึงได้เสี่ยงนำทัพอกมารับศึกด้วยตัวเอง เพียงรอให้อีกฝ่ายก่อกบฏ เขาก็จะบัญชาการกองทัพให้ตีขนาบทั้งด้านนอกด้านในทันที กำจัดผู้บัญชาการของธงอินทรีสิบกองทัพทิ้งในรวดเดียว ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะมาไม้นี้
แต่เหมียวอี้ยังไม่เมตตา โบกทวนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดอีกว่า “ข้ากำลังถามเจ้า ใครใช้ให้เจ้าบังอาจเคลื่อนกำลังพลโดยพลการ?”
ลิ่งหูหลานจื่อกุมหมัดตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เรียกพบ ข้าน้อยมิบังอาจไม่มา”
ก่อนหน้านี้ยังพูดอยู่เลยว่าทัพกลางเล็กๆ จะมาต่อต้านธงอินทรีสิบกองทัพ เหมียวอี้เชื่อก็แปลกแล้ว “ผู้บัญชาการคนนี้เรียกพบ พาลูกน้องคนสนิทมาด้วยก็พอแล้ว มีใครเขาระดมทัพใหญ่อย่างพวกเจ้าบ้าง?”
พวกผู้บัญชาการพึมพำในใจว่า ถ้าพามาแค่ลูกน้องคนสนิทจริงๆ ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็แปลกแล้ว!
หวังลี่คุนกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “พวกข้าน้อยได้ยินข่าวว่าฝั่งนี้มีคนก่อกบฏ ถึงได้พาคนมาปราบกบฏ!”
“ปราบกบฏ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม “จะปราบกบฏฝั่งไหนล่ะ ทำไมข้าได้ยินว่าพวกเจ้ามาเพื่อช่วยคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก่อกบฏ?”
หลี่จื้อหย่วนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้าหากผู้บัญชาการใหญ่ไม่เชื่อ พวกเราสิบคนก็ยินดีจะถอดอำนาจทางทหารของตัวเอง รอฟังคำสั่งลงโทษของผู้บัญชาการใหญ่”
“ใช่แล้ว!” อีกเก้าคนตอบพร้อมกัน
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เมื่อไม่มีความมั่นใจว่าจะใช้กำลังทหารข่มขู่ได้สำเร็จ ก็ทำได้เพียงละทิ้งอำนาจทางทหารเพื่อรักษาชีวิตไว้ ตราบใดที่เป็นฝ่ายละทิ้งอำนาจทางทหารเอง นี่ก็จะเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนัก หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีเหตุผลที่จะเอาชีวิตของพวกเขาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีทางให้คำอธิบายกับเบื้องบนได้
เมื่อพวกเขากล่าวมาแบบนี้ พวกลูกน้องคนสนิทในธงอินทรีสิบกองทัพของพวกเขาบ้างก็ตกตะลึง บ้างก็ส่งเสียงดึงฮือฮา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ เป็นเพราะทั้งสิบไม่ได้บอกให้พวกลูกน้องรู้ถึงผลลัพธ์ที่ปรึกษากัน กับเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ถึงตอนท้ายสุด ทั้งสิบก็ไม่มีทางประกาศต่อภายนอก ถึงอย่างไรตอนที่มาก็เตรียมตัวจะสู้ครั้งสุท้ายไว้แล้ว
เหมียวอี้หรี่ตาถาม “ยินดีจะเป็นฝ่ายทิ้งอำนาจทางทหารจริงเหรอ?”
“ใช่!” ทั้งสิบขานรับพร้อมกัน เมิ่งหวนบอกอีกว่า “พี่น้องของธงอินทรีสิบกองทัพจงรักภักดีต่อผู้บัญชาการใหญ่แน่นอน พอพวกเราถอดอำนาจทางทหารของตัวเองแล้ว หวังว่าในภายหลังผู้บัญชาการใหญ่จะไม่ทำให้พวกเขาลำบากใจ”
“ข้าจะทำยังไงก็ไม่ต้องให้พวกเจ้าสอนหรอก!” เหมียวอี้ตะคอก แล้วถามเสียงต่ำอีกว่า “ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ห้ามระดมกำลังออกจากปฏิบัติหน้าที่โดยพลการ ควรทำตามกฎทหาร! ปรับค่าจ้างพวกเจ้ายี่สิบปี เฆี่ยนด้วยแส้สิบครั้ง พวกเจ้ามีความเห็นแย้งอะไรมั้ย?”
ลงโทษด้วยการตัดค่าจ้างก็ยังดีหน่อย แต่รสชาติของการลงโทษด้วยแส้นั้นทรมานจริงๆ เรียกได้ว่าตายดีกว่าอยู่ ขนาดพวกผู้ชายได้ยินแล้วยังตัวสั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงอย่างลิ่งหูหลานจื่อกับเถียนเยี่ยนเลย
“ยินดีรับโทษ!” ทั้งสิบคนที่ไม่อยากเอาชีวิตมาเดิมพันทำได้เพียงแข็งใจเอ่ยรับ
เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อย “ทหาร ลากไปลงโทษ!”
พอสวีถังหรานโบกมือ คนหลายสิบคนของทัพกลางก็พุ่งออกไปทันที คุมตัวทั้งสิบไปบนพื้นด้านล่าง
“ผู้บัญชาการ!” ลูกน้องคนสนิทของทั้งสิบร้องอย่างตกใจ ต้องทราบไว้ว่าการลงโทษด้วยแส้แบบนี้ ถ้าคนที่ลงมือออกแรงหนักกว่าเดิมนิดเดียว ก็สามารถคร่าชีวิตได้ง่ายๆ เลย
ทว่าผู้บัญชาการทั้งสิบกลับส่ายหน้าห้ามไม่ให้ลูกน้องทำอะไรบุ่มบ่าม ความเจ็บของผิวเนื้อ แค่อดทนไว้เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว พวกเขาถอดอำนาจทางทหารของตัวเองท่ามกลางคนมากมายขนาดนี้ ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ยังต้องการชีวิตพวกเขาอีก ไม่ว่าจะกับเบื้องบนหรือเบื้องล่างก็แก้ตัวไม่ขึ้นทั้งนั้น
เดิมทีการลงโทษคือหน้าที่ของคนในทัพกลาง คนทำงานนี้ย่อมกระฉับกระเฉงมาก แท่นลงโทษทั้งสิบถูกวางไว้แล้ว
ผู้บัญชาการทั้งสิบถอดเกราะรบบนร่างกายตัวเอง เดินขึ้นไปที่แท่นลงโทษ แล้วใช้โซ่มัดมือมัดเท้าจนเป็นรูปตัวอักษร ‘大’
การลงโทษตรงนี้ยังไม่ทันได้เริ่มขึ้น เหมียวอี้ที่หันหลังให้ทัพกลางก็ถามเสียงเรียบอีกว่า “หยางชิ่ง สวีถังหราน พวกเจ้าสองคนยอมรับผิดมั้ย?”
ทั้งสองได้ยินแล้วงงในตอนแรก จากนั้นก็เข้าใจในทันที ผู้บัญชาการใหญ่กำลังหมายถึงเรื่องที่ทั้งสองลังเลไม่เด็ดขาดในตอนแรก
“ข้าน้อยยอมรับผิด!” ทั้งสองตอบด้วยสีหน้าขื่นขม
“บังอาจขัดคำสั่งข้าต่อหน้าฝูงชน! ทหาร ลากตัวไปลงโทษ ลงโทษเหมือนกัน!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น
ในทัพกลางมีคนพุ่งออกมาหลายคน แล้วกุมหมัดคารวะทั้งสองอย่างรู้สึกผิด หยางชิ่งมองดูทัพใหญ่หนึ่งแสนที่อยู่ตรงหน้า รู้ว่าการโดนลงโทษวันนี้เป็นการโดนตบหน้าท่ามกลางฝูงชน เหมียวอี้ต้องการอาศัยโอกาสของวันนี้ทำให้สำเร็จภายในครั้งเดียว ต้องการใช้พวกเขามาสร้างอำนาจบารมีที่ธงพยัคฆ์ดำ ส่วนสวีถังหรานก็พยักหน้าอย่างขื่นขม ดังนั้นทั้งสองจึงถูกลากไปด้วยเช่นกัน
ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสิบขึ้นบนแท่นลงโทษด้านล่างแล้ว พอเห็นว่ามีอีกสองคนเพิ่มมาให้ลงโทษ พวกเขาก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ในใจรู้สึกมีสมดุลขึ้นไม่น้อย กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพเห็นลูกน้องคนสนิทข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ก็โดนลงโทษด้วยเหมือนกัน ในใจก็รู้สึกยุติธรรมขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
เพียงแต่เสวี่ยหลิงหลงกับชิงจวี๋ที่อยู่ในค่ายกลป้องกัน พอได้เห็นฉากนี้แล้วก็เริ่มปวดใจ โดยเฉพาะชิงจวี๋ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะลงโทษหยางชิ่ง ไม่ไว้หน้าฉินเวยเวยสักนิดเลยเหรอ? หารู้ไม่ว่า ในตอนนั้นเหมียวอี้ถึงขั้นเกิดความคิดจะฆ่าหยางชิ่งแล้ว เพราะหยางชิ่งแทบจะทำลายงานใหญ่ของเขาพัง!
แส้สยบมังกร! เห็นแส้สยบมังกรอีกแล้ว เหมียวอี้เดาว่าแส้สยบมังกรของพิภพเล็กคงจะได้รับถ่ายทอดมาจากพิภพใหญ่ หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง เขารู้ถึงรสชาติยามโดนแส้สยบมังกรเฆี่ยน ทุกวันนี้ยังตราตรึงอยู่ในใจ เรียกได้ว่าทรมานจนอยากตายมากกว่าอยู่!
เพื่อป้องกันไม่ให้ร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทาน สิบสองคนนี้จึงถูกควบคุมวรยุทธ์ไว้ชั่วคราว พอแส้สยบมังกรสิบสองสายเฆี่ยนดัง ‘เพี้ยะ’ ที่แผ่นหลังของทั้งสองก็มีหนังพร้อมเลือดเนื้อหลุดเป็นชิ้นทันที “อา…” เสียงกรีดร้องสิบสองเสียงดังขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ อยากจะข่มไว้แต่ก็ข่มได้ยาก โซ่ที่มัดแต่ละคนไว้สั่นเทิ้ม เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาจดจำไปทั้งชีวิต
ตอนที่โดนเฆี่ยนไปเจ็ดแปดแส้ ทั้งสิบสองคนก็สลบกันหมดแล้ว ไม่มีข้อยกเว้นสักคน
…………………………