พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1359 ทำให้ธงพยัคฆ์ดำสงบ
แต่ละคนโดนแส้เฆี่ยนครบหมดแล้ว ที่แผ่นหลังเป็นสีแดงเละเทะสะดุดตาน่าตกใจ ผิวหนังและเนื้อฉีกฉาดหมดแล้ว บนกระดูกเต็มไปด้วยรอยแตก สามารถมองเห็นอวัยวะภายในผ่านแผ่นหลังได้เลย ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงล้วนโดนเฆี่ยนจนก้นเปลือยออกมาครึ่งหนึ่ง โชคดีที่ยังมีเลือดสดพรางไว้ให้เห็นไม่ชัดเจน เสื้อผ้าท่อนบนของผู้ชายฉีดขาดจนหมดแล้ว ส่วนผู้หญิง…คนที่ลงโทษก็รู้จักบันยะบันยังเช่นกัน ไม่ได้ทำให้ผ้าปิดบังความอับอายด้านหน้าหลุดออกมาหมด
หลังจากนำทั้งสิบสองคนลงมาจากแท่นลงโทษ คลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ทั้งสิบสองคนก็งัวเงียฟื้นขึ้นมา แต่ก็ยังสู้การสลบต่อไปไม่ได้ เพราะรสชาติของการฟื้นขึ้นมานั้นทรมานยิ่งกว่า ราวกับปีนกลับมาจากเขตแดนแห่งความตาย แต่ละคนหยิบชุดคลุมมาคลุมไว้บนร่างกายด้วยมือที่สั่นเทา หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่งยัดเข้าปากแล้วกลืนลงไป
ในตอนนี้ทุกคนของธงพยัคฆ์ดำมองเหมียวอี้ด้วยสายตาที่ต่างออกไปแล้ว การที่สามารถใช้กฏทหารลงโทษผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพต่อหน้าฝูงชนได้ เดิมทีก็ชื่อความหมายถึงบารมีความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว
หลังจากสิบสองคนนี้โดนลงโทษด้วยแส้แล้ว ก็เหาะขึ้นมาบนฟ้าอีกครั้ง กุมหมัดคารวะขอบคุณในความเมตตาของเหมียวอี้ แต่ละคนสีหน้าไม่มีเลือดฝาดเลย ใบหน้าของสวีถังหรานยังคงบูดเบี้ยว ผ่านไปนานกว่าจะบรรเทา
“จิตใจที่จงรักภักดีของพวกเจ้าสิบคนข้าได้เห็นแล้ว เรื่องถอดอำนาจทางทหารของตัวเองนั้นไม่ต้องหรอก” เหมียวอี้กล่าว
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ผู้บัญชาการทั้งสิบที่ใบหน้าซีดขาวและมีเหงื่อซึมก็เงยหน้าอย่างงุนงง ไม่ถอดอำนาจทางทหารของพวกเราแล้วเหรอ?จากนั้นก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็อ่านความหมายในแววตาของอีกฝ่ายออก การพูดแบบนี้ต่อหน้ากำลังพลทุกคนของธงพยัคฆ์ดำ คาดว่าคงจะไม่ปลืนคำพูดของตัวเองแล้ว
กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพได้ยินแล้วก็ยิ่งแปลกใจ โดยเฉพาะลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการทั้งสิบ พวกเขายิ่งดีใจเหนือความคาดหมาย ก็เพราะกลัวว่า ‘เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่จะเปลี่ยนขุนนางใหม่’ ตอนนี้ไม่มีความกังวลนี้แล้ว พวกเขาย่อมโล่งอกมาก ต่างก็แอบรู้สึกว่าการโดนแส้ของผู้บัญชาการทั้งสิบช่างคุ้มค่า
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะบอกอีกว่า “เรื่องที่คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูวางแผนแย่งอำนาจ มีเจตนาเชื่อมโยงกับพวกเจ้าเป็นเรื่องจริงห้ามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เขียนขั้นตอนที่พวกเขาวางแผนยุยงส่งเสริมพวกเจ้าเป็นคำให้การแบบลายลักษณ์อักษร พวกเจ้ามีความเห็นแย้งอะไรมั้ย?”
ทั้งสิบคนลังเลครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็เป็นผู้บังคับบัญชาเก่าของพวกเขา คนเพิ่งจะตายไป จะให้เขียนคำให้การเกี่ยวกับทั้งสองเลยก็เหมือนจะไร้คุณธรรมไปหน่อย แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็คือสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเอง และจะไม่ตอบตกลงก็เกรงว่าจะไม่ได้ ทั้งสิบบาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว อยู่ตรงหน้าทัพกลาง ถ้าใครบังคับออกคำสั่งเพียงคำเดียว ก็จะสามารถเอาชีวิตพวกเขาได้เลย
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หนิวโหย่วเต๋อสร้างบารมีต่อหน้าทุกคนแล้ว สร้างอำนาจบารมีของผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่ที่ธงพยัคฆ์ดำแล้ว พอใช้กฎทหารแล้ว ถ้าตอนนี้คิดจะปลุกปั่นให้ลูกน้องต่อต้านก็เป็นสิ่งที่ยากมาก ถ้าจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋ออีก ก็คาดว่าคงไม่มีใครฟังคำสั่งของพวกเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรมา ขวัญกำลังใจของทหารคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
“น้อมรับคำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่!” ทั้งสิบแข็งใจเอ่ยรับ
“ไม่ต้องชักชาแล้ส เขียนตอนนี้เลย!” เหมียวอี้ไม่ให้โอกาสพวกเขาถ่วงเวลา ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว อีกไม่นานเบื้องบนจะถามหาความรับผิดชอบ เขาจะต้องหาคำตอบให้ทันเวลา มีคำให้การของคนทัพกลางมากมายขนาดนี้ ถ้นำคำให้การของผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพมาอีก การตายของคังจือลวี่และเหยาหย่วนชูก็เป็นสิ่งที่สมควรได้รับแล้ว
ผู้บัญชาการทั้งสิบไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงหยิบแผ่นหยกออกมาเขียนท่ามกลางการจ้องมองของทุกคน บางครั้งก็ถ่ายทอดเสียงปรึกษากัน ย่อมต้องโกหกให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ต้องคัดลอกของตัวเองออกมา
หลังจากผ่านไปสักพัก คำให้การที่ลงนามยืนยันของทั้งสิบก็อยู่ในมือเหมียวอี้หมดแล้ว เหมียวอี้ตรวจอ่านทีละชิ้น หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีผิดพลาดถึงได้เก็บไว้ สายตากวาดมองทัพใหญ่หนึ่งแสน แล้วบอกว่า “พอข้ามาที่ธงพยัคฆ์ดำ ก็เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น การปรับปรุงธงพยัคฆ์ดำเป็นสิ่งที่ต้องทำ ทัพกลางถูกปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว ธงอินทรีสิบกองทัพจะละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่นานเกินไปได้ยังไง พวกเจ้าสิบคนรีบเขียนแผนปรับปรุงออกมาให้เร็วที่สุด ต้องปรับปรุงให้เรียนร้อยภายในครึ่งวันนี้!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อำนาจเบ็ดเสร็จในการสั่งฆ่าของทั้งธงพยัคฆ์ดำรวมอยู่ในมือของเหมียวอี้คนเดียวแล้ว ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน ทุกคนทำได้เพียงปฏิบัติตาม
ทัพใหญ่ของธงอินทรีสิบกองทัพตั้งมั่นอยู่นอกค่ายกลป้องกัน พวกเขาแอบวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นาๆ ไม่รู้ว่าผลของการปรับปรุงจัดระเบียบจะเป็นอย่างไร
เหมียวอี้นำทัพกลางกลับเข้ามาในค่ายกล ผู้บัญชาการทั้งสิบก็นำกลุ่มลูกน้องคนสนิทของตัวเองเข้ามาในค่ายกลป้องกันเช่นกัน กัดฟันอดทนความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บสาหัสในขณะที่ปรึกษาเรื่องปรับปรุง
เสวี่ยหลิงหลงกับชิงจวี๋มองผู้ชายของตัวเองอย่างปวดใจ อยากจะเข้าไปดูแล แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องมากมายต้องจัดการ สวีถังหรานกับหยางชิ่งยังไม่ว่าง ทำได้เพียงฝืนประคับประคองอาการครึ่งเป็นครึ่งตาย
สวีถังหรานต้องบัญชาการให้ทัพกลางควบคุมและสังเกตสถานการณ์โดยรอบ ถึงอย่างไรด้านนอกก็มีทัพใหญ่หนึ่งแสนตุนอยู่ โดยมีหยางเจาชิงอยู่ด้วย
ส่วนกลุ่มผู้หญิงที่เป็นสมาชิกในครอบครัวก็ถูกเหมียวอี้เรียกเข้าไปในสวนแห่งหนึ่งที่อยู่ติดภูเขาและแม่น้ำ นั่นคือที่พักชั่วคราวของเหมียวอี้เช่นกัน หยางชิ่งก็อยู่ในนั้นด้วย ต่างก็กำลังรีบตรวจคำให้การที่กำลังพลของทัพกลางเขียนไว้ ของที่คนนับหมื่นเขียนไม่ใช่สิ่งที่คนคนเดียวจะอ่านหมดภายในเวลาอันสั้น ด้วยเหตุนี้จึงเรียกไป๋หลันเจ้าสำนักหกนิ้วและบรรดาผู้อาวุโสมาด้วย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ต้องตรวจดูว่ามีเนื้อหาที่เหมียวอี้ ‘คิดว่าไม่สอดคล้องกับเรื่องจริง’ หรือไม่ อย่าให้ตอนส่งมอบขึ้นไปมีคนเรียงร้องความเป็นธรรมให้พวกคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู
เหมียวอี้ขี้เกียจอ่านแล้ว งานเบ็ดเตล็ดที่กองมั่วกันแบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องอ่านผ่านตาด้วยตัวเอง เขามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นต้องไปทำ เขาถอดเกราะรบเดินช้าๆ อยู่ในลานบ้านแล้วลานบ้าน เหยียนซิวยังคงเดินตามหลังเขาโดยไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว
เฟยหงนำน้ำชาออกมาวางเป็นระยะ ยกตัวอย่างเช่นหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ตอนที่ผู้บัญชาการทั้งสิบมารายงานผลการปฏิบัติงาน เฟยหงก็บังเอิญออกมาพอดี
เมื่อเห็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ ในแววตาของผู้บัญชาการทั้งสิบก็ฉายแววทึ่งอัศจรรย์ใจ ทั้งยังแอบส่งสายตาให้กันแล้ว ในใจแอบบอกว่า ไม่แปลกใจที่ทิ้งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เพื่อผู้หญิงคนนี้ นางงามเลิศล้ำแบบที่หาพบได้ยากจริงๆ วีรุบุรษยากจะผ่านด่านหญิงงาม
ผู้บัญชาการทั้งสิบมาพบเหมียวอี้ ก็แสดงว่าทำแผนปรับปรุงออกมาแล้ว ทั้งสิบขอโยกย้ายตำแหน่งเอง ไม่พาทหารเล็กๆ ไปด้วย ธงอินทรีสิบกองทัพบัญชาการกันและกัน นับว่าเป็นการยื่นหมูยื่นแมว แสดงความจริงใจที่เหมียวอี้ไม่ถอดพวกเขาออกจากตำแหน่ง สาเหตุรองก็เพราะอยากจะรักษาตำแหน่งของลูกน้องไว้
เหมียวอี้แสดงออกว่าเห็นด้วย และเข้าใจเช่นกันว่าพวกเขาอยากจะปกป้องความรู้สึกของลูกน้อง แต่ก็ไม่ได้พอใจอะไรนัก เพราะไม่บรรลุผลการปรับปรุงอย่างที่เขาต้องการ เขาต้องการให้ปรับปรุงอย่างเต็มที่ นอกจากจะให้ผู้บัญชาการธงอินทรีสิบกองทัพแลกเปลี่ยนตำแหน่งกันแล้ว เขายังต้องการให้สลายโครงสร้างสมาชิกของธงอินทรีสิบกองทัพในปัจจุบันด้วย ล้างและจัดกลุ่มกำลังพลหนึ่งแสนใหม่ ต้องการทำให้เครือข่ายลูกน้องเก่าทั้งข้างบนข้างล่างวุ่นวาย ขณะเดียวกันก็ต้องการย้ายกำลังพลส่วนหนึ่งของธงอินทรีสิบกองทัพมาที่ทัพกลางด้วย แล้วค่อยย้ายกำลังพลส่วนหนึ่งของทัพกลางไปที่ธงอินทรีสิบกองทัพ นี่ก็คือผลลัพธ์ที่เหมียวอี้อยากได้
เหมียวอี้เรียกหยางชิ่งกับสวีถังหรานมา ให้ทั้งสองรวมทั้งผู้บัญชาการทั้งสิบรับผิดชอบเรื่องนี้ สวีถังหรานกับหยางชิ่งเป็นตัวแทนควบคุมแทนเขา
สาเหตุที่ให้สวีถังหรานเข้าร่วมด้วย ก็เป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทัพกลาง หยางชิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็เพราะหยางชิ่งเป็นคนรอบคอบและมีสติปัญญาสูงในเรื่องรายละเอียดด้านนี้ เหมียวอี้ยอมรับว่าตัวเองสู้หยางชิ่งไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรับผิดชอบทิศทางใหญ่ๆ ก็พอ
ทว่าการผสมและจัดคนใหม่ของทัพใหญ่หนึ่งแสนไม่ใช่เรื่องเล็ก การศึกษารายชื่อก็คือเรื่องที่สิ้นเปลืองความพลังความคิดมาก ไม่มีทางจัดการให้เรียบร้อยได้ภายในเวลาอันสั้นแน่นอน เหมียวอี้ตอบตกลงที่จะให้ขยายเวลาออกไป เพียงแต่จะลำบากทั้งสิบสองคนที่โดนการลงโทษ
เหมียวอี้ไม่ลำบาก ผ่านเหตุการณ์ที่หวาดเสียวมา สถานการณ์เริ่มสงบมั่นคงทีละนิด ภายนอกของเขาไม่มีใครดูออก หัวใจที่ตึงเครียดกลับต้องได้รับการผ่อนคลายอย่างเร่งด่วน คนอื่นเห็นเพียงความเด็ดเดี่ยวที่เขาตัดสินใจฆ่า แต่ใครจะรู้ว่าในใจของเขาแบกรับความกดดันไว้มากขนาดไหน ในเวลานี้ย่อมขาดสาวงามคอยปรนนิบัติไม่ได้ ดังนั้นเฟยหงส่งเสียงร้องอุทานออดอ้อน ถูกขาอุ้มเข้าใปในห้องนอนแล้ว ต้องอาศัยให้สาวงามคนนี้ช่วยผ่อนคลายให้…
กลุ่มผู้หญิงในครอบครัวกับพวกเจ้าสำนักไป๋จุดตะเกียงอ่านงานตอนกลางคืน ตรวจคำให้การที่วางเป็นกองต่อไป
หลังเที่ยงคืน ที่นอกค่ายกลป้องกัน คนมากมายกำลังเคลื่อนไหว ท่ามกลางแผ่นหยกรายชื่อที่แบ่งใหม่แผ่นแล้วแผ่นเล่า เสียงเรียกชื่อแบ่งสรรกำลังคนใหม่ดังทั้งคืน
หลังจากแบ่งสรรกำลังคนเสร็จแล้ว แต่ละฝ่ายก็เริ่มทำความรู้จักมักคุ้นกับกำลังพลใหม่ของตัวเอง ปัจจัยวัตถุสิ่งของของแต่ละธงก็ถูกแบ่งใหม่ไม่น้อยเช่นกัน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน
เร่งทำอย่างรวดเร็ว ตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงในวันถัดมา ในที่สุดกำลังพลของทั้งธงพยัคฆ์ดำก็ถูกปรับปรุงใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว
รอจนกระทั่งพวกหยางชิ่งกลับมารายงานผลการปฏิบัติงานทางนี้ ก็ไม่เจอเหมียวแล้ว ทุกคนถูกเหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ตรงประตูกันไว้ ไม่ให้ใครรบกวนการพักผ่อนของผู้บัญชาการใหญ่
แต่ความเคลื่อนไหวนี้ก็ปลุกให้เหมียวอี้ที่อยู่ในห้องตื่นขึ้นมาแล้ว เสียงที่เกียจคร้านดังออกมาจากในห้อง “ปรับปรุงเสร็จหมดแล้วเหรอ?”
สวีถังหรานที่ใบหน้าซีดขาวดูเหนื่อยล้ากุมหมัดคารวะรายงานแทนทุกคน “ปรับปรุงเสร็จหมดแล้วขอรับ เชิญผู้บัญชาการใหญ่ชี้แนะ”
เสียงของเหมียวอี้ดังมาว่า “ธงอินทรีสิบกองทัพละทิ้งการปฏิบัติมานานเกินไปแล้ว เคลื่อนกำลังพลเดี๋ยวนี้ ต่างคนต่างกลับไปประจำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าใครทำให้ชักช้าเสียงาน ก็ถือหัวมันมาให้ข้า ไปเถอะ!”
“รับทราบ!” พวกหวังลี่คุนที่โล่งอกแล้วกุมหมัดรับคำสั่ง แล้วออกไปจากที่นี่ทันที
บนเตียงในห้องนอน เหมียวอี้ที่ฟื้นฟูอารมณ์ได้แล้วเปิดผ้าห่มออกอย่างช้าๆ อีกครั้ง พอเห็นยอดหญิงงามนอนเปลือยกายอยู่ข้างๆ ก็ใช้มือข้างหนึ่งจับเอวขาวบางของนางดันขึ้นมา แล้วคว้าภูเขาหิมะที่อิ่มเอิบและเด้งจนน่าทึ่งมาย่ำยี…
กำลังพลของธงอินทรีสิบกองทัพจากไปอย่างราบรื่น สำนักหกนิ้วรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก รู้สึกเหมือนรอดชีวิตจากความตาย เทพแห่งภูผาทั้งสองและเทพคงคาทั้งสองยืนถอดถอนใจอยู่บนภูเขาเล็กๆ ไม่หยุด เหตุการณ์พลิกผันอันน่าหวาดเสียวที่เกิดขึ้นในระหว่างหนึ่งวันนี้ทำให้คนเครียดจริงๆ ต่อให้เป็นแค่คนที่มองดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ก็ตกใจไม่เบาเหมือนกัน
สวีถังหรานไม่วางใจ ดึงกำลังพลส่วนหนึ่งมาจากทัพกลาง ให้กระจายตัวกันอยู่นอกค่ายกล เตรียมป้องกันตั้งแต่อยู่ไกลๆ หลังจากวางกำลังทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เดินโซเซกลับมาพักผ่อน
พอกลับมาถึงห้องของตัวเอง ก็นอนคว่ำลงบนเตียงแล้วร้อง “ไอ๊หยาๆๆ” ทันที เม็ดเหงื่อที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ข่มไว้ก่อนหน้านี้เริ่มผุดไหลอกมาแล้ว
เสวี่ยหลิงหลงรีบเรียกสามใช้สองคนมาเป็นผู้ช่วย แล้วฉีกเสื้อที่โดนเลือดเกาะจนแข็งติดหลังสวีถังหรานอย่างระมัดระวัง สวีถังหรานสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วแยกเขี้ยวยิงฟันบอกเสียงสั่นว่า “ฮูหยิน เบาๆ หน่อย เบาๆ…”
จนกระทั่งได้เห็นสภาพยับเยินบนแผ่นหลังของเขาชัดเจน สาวใช้ทั้งสองก็ทนมองตรงๆ ไม่ได้ เสวี่ยหลิงหลงเอามือปิดปาก น้ำตาเอ่อล้นดวงตาออกมาทันที
สวีถังหรานเจ็บจนพูดไม่ออก โบกมือบอกใบ้ให้ใส่ยา
รอจนกระทั่งเสวี่ยหลิงหลงหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาเป่าหมอกดาวปลอบประโลมตรงบาดแผล ความรู้สึกเย็นสบายถึงได้ค่อยๆ ข่มความเจ็บปวดทรมานของสวีถังหรานไว้ ทำให้สวีถังหรานรู้สึกผ่อนคลายจนครางออกมา
ผ่านไปครู่ใหญ่ สวีถังหรานที่อาการบรรเทาถอนหายใจออกมาช้าๆ คิ้วที่ขมวดมุ่นก็คลายออกแล้ว เขาได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นข้างหลัง พอหันไปเจอเสวี่ยหลิงหลงที่ปาดน้ำตาไม่หยุด ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ร้องไห้ทำไม ไม่เสียการเสียงานหรอก เจ็บปวดผิวหนังนิดหน่อยเท่านั้น”
เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้าเบาๆ แล้วกล่าวเสียงสะอื้นว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มีจิตใจที่โหดร้ายจริงๆ!”
สวีถังหรานนอนหมอบถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ก็จะโทษว่าผู้บัญชาการใหญ่จิตใจโหดหี้ยมไม่ได้เช่นกัน สถานการณ์ตอนนั้นเร่งด่วนขนาดไหน ขนาดข้ายังตกใจจนเข่าอ่อน ตอนนี้พอเห็นภาพรวมหมดแล้ว กลับมาย้อนคิดดูถึงได้เข้าใจ ว่าข้ากับหยางชิ่งแทบจะทำให้ผู้บัญชาการใหญ่ทำงานใหญ่พัง ทำเสียเรื่องแล้วจริงๆ ผลที่ตามมาเลวร้ายจนไม่อยากจินตนาการถึงเลย ถ้ากองทัพวุ่นวายแล้วโจมตีเข้ามา พวกเราสองสามีภรรยาจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกเหรอ เมื่อเทียบกันแล้ว ความเจ็บปวดทางกายเนื้อนี้จะสำคัญอะไรล่ะ? ผู้บัญชาการใหญ่น่ะ จู่ๆๆๆ ประหารคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูต่อหน้าฝูงชน ฆ่าเผย อู๋ เหิงเพื่อสยบความวุ่นวายของทัพกลาง แล้วก็ปล่อยข่าวลืออีก นำทัพกลางหมื่นคนไปสยบธงอินทรีสิบกองทัพแสนคนด้วยตัวเอง ใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืนก็ควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้ราบคาบ! เรียกได้ว่ารับมือกับวิกฤตได้อย่างเด็ดขาดด้วยวิธีการที่รวดเร็วปานฟ้าผ่า การเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องกันช่างเกรียงไกรห้าวหาญจริงๆ ผู้บัญชาการใหญ่ช่างเด็ดเดี่ยว! ข้าสวีถังหรานทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยนับถือใครมาก่อนเลย ครั้งนี้ผู้บัญชาการใหญ่ทำให้ข้าหมอบกราบนับถือแล้วจริงๆ การโดนแส้เฆี่ยนครั้งนี้ช่างคุ้มค่า! เหอะๆ ผู้บัญชาการทัพกลาง…”
…………………………