พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1362 จุดด่างพร้อยไม่อาจปิดบังหยกงาม
นอกจากจะตะโกนว่าซวยแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่มีวิธีการอื่น ต่อให้จะรู้ล่วงหน้าเรื่องคนรักสองคนนนั้นขอโป๋เยว เขาก็ยังจะตอบตกลงอยู่ดี ตั้งแต่ที่พิภพเล็กจนถึงตลาดสวรรค์ของพิภพใหญ่ ผ่านบทเรียนที่นองเลือดมาหลายปีขนาดนั้น ทำให้เขาเข้าใจหลักการหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ว่าถ้าเบื้องบนมีคนสนับสนุน ก็จะมีประโยชน์ต่อการยืนอยู่ในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง ไม่อย่างนั้นกลุ่มคนในแดนอเวจีจะช่วยเขาจัดการปี้เยว่ไปเพื่ออะไรล่ะ?
ตอนนี้เรื่องนี้ยังไม่มีค่าพอให้เขาครุ่นคิดถึงมาก ผ่านอุปสรรคใหญ่หลวงมาตั้งมากมาย แค่ผู้หญิงสองคนก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลยจริงๆ ถ้าแม้แต่ ‘นางจิ้งจอก’ สองตัวก็ยังปราบไม่ได้ เช่นนั้นการทำงานในหลายปีมานี้ของเขาก็สูญเปล่าแล้ว
“นายท่าน ทำยังไงดี?” สวีถังหรานถามอย่างระมัดระวัง
“ทำยังไงอะไร?” เหมียวอี้เอียงหน้าถาม
สวีถังหรานชี้นิ้วไปข้างบน “คนรักสองคนของรองแม่ทัพภาคโป๋เยวมาแล้วจะทำยังไง? ถ้าพวกนางทำตัววุ่นวายเหมือนที่ธงพยัคฆ์ดินล่ะ…”
“นี่ถือว่าเป็นปัญหาด้วยเหรอ?” เหมียวอี้พูดดูถูก มองเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามว่า “เจ้าคงไม่ถึงขนาดสู้ไม่ได้แม้แต่ผู้หญิงสองคนหรอกใช่มั้ย?”
“…” สวีถังหรานพูดไม่ออก แล้วถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “ข้า…ข้าสู้เหรอ?”
“ถ้าเจ้าไม่สู้ แล้วจะให้ข้าลดเกียรติตัวเองลงไปสู้กับพวกนางรึไงล่ะ?” เหมียวอี้ถามเหมือนแปลกใจ
“นายท่าน หลังจากมาแล้วพวกนางก็จะได้เป็นรองผู้บัญชาการนะ ไม่ว่าจะเป็นยศหรือตำแหน่งข้าก็ควบคุมพวกนางไม่ได้เลย” สวีถังหรานกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม
เหมียวอี้จึงบอกว่า “มีข้าหนุนหลังอยู่ เจ้าจะกลัวอะไร? หลังจากพวกนางมาแล้ว ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน…ผู้บัญชาการทัพกลางผู้สง่าผ่าเผยอย่างเจ้า อยากได้คนก็มีคนให้ อยากได้อำนาจก็มีอำนาจให้ ถ้าแม้แต่พวกนางสองคนยังจัดการไม่ได้ ข้ายังจะหวังให้เจ้ามาพิทักษ์ที่ศูนย์กลางธงพยัคฆ์ดำได้อีกเหรอ?”
“…” สวีถังหรานเถียงไม่ออกไปพักหนึ่ง เมื่อเห็นเหมียวอี้จ้องตนไม่ละสายตา เขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ถามว่า “นายท่านต้องการให้จัดการพวกนางสองคนยังไง? จะให้ถึงตายหรือจะให้มีชีวิตอยู่!”
เหมียวอี้บอกว่า “สองคนนี้สามารถใช้เส้นสายกับโป๋เยวได้ ยังมีประโยชน์ให้ใช้งาน ข้าออกจากตลาดสวรรค์มาที่นี่ก็เรียกได้ว่ามามือเปล่า ตอนนี้ยังต้องการให้โป๋เยวช่วยพูดกับเบื้องบนให้ แล้วข้าก็ไม่อยากเห็นพวกนางสองคนเรื่องเยอะเหมือนตอนอยู่ธงพยัคฆ์ดินด้วย ทำให้พวกนางว่านอนสอนง่ายหน่อย”
สวีถังหรานเข้าใจแล้ว แค่ต้องเปลี่ยนมู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงให้กลายเป็นแจกันดอกไม้ของธงพยัคฆ์ดำ เวลาต้องการใช้ก็หยิบออกมาวาง เวลาไม่ต้องการใช้ก็วางไว้ข้างๆ อย่างสงบ เขาจึงพยักหน้าบอกว่า “ข้าน้อยจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง!”
ในใจรู้สึกเครียดนิดหน่อย ทั้งชีวิตนี้ต้องประจบคนที่อยู่ระดับสูงกว่าตนมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่วางแผนร้ายรับมือคนใต้บังคับบัญชา แต่เขาก็รู้เช่นกัน ว่าการที่ผู้บัญชาการใหญ่สามารถมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางให้เขา ไม่ได้มอบให้คนสนิทข้างกายคนอื่นๆ ถ้าเขาไม่นำผลงานมาช่วยคลายความกังวลให้ผู้บัญชาการใหญ่สักหน่อย เขาก็จะรู้สึกผิดกับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของผู้บัญชาการใหญ่ ดังนั้นเขาจึงแอบตัดสินใจแน่วแน่ ครั้งนี้เขาจะต้องจัดการได้อย่างสวยงามเพื่อให้คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ได้เห็น ว่าพ่อคนนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกันนะ!
ที่จริงเขาก็คิดมากเกินไปหน่อย จะผลักเรื่องนี้ไปให้บรรดาคนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร ไม่อย่างนั้นตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางก็จะไม่ตกมาถึงตน
ประมาณที่ยงวันของวันต่อมา อวี่จ้งเจินผู้ตรวจการของทัพเป่ยโต้วก็มาเยือนที่สำนักหกนิ้วด้วยตัวเอง เนี่ยอู๋เซี่ยวนำกลุ่มคนมาต้อนรับ
พอเจออวี่จ้งเจิน เหมียวอี้ก็หมั่นไส้นิดหน่อย อวี่จ้งเจินเพียงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ที่หางตาเหมือนอมยิ้มเล็กน้อย
พอเดินวนทั้งสำนักหกนิ้วได้รอบหนึ่ง อวี่จ้งเจินก็พาคนไปเดินดูที่ธงอินทรีสิบกองทัพใต้บังคับบัญชาต่อ
แต่ละจุดที่ธงอินทรีสิบกองทัพไปประจำการ จุดประจำการที่สำรวจเจอเหมืองเหรียญผลึก แต่ละแห่งล้วนทิ้งเงาของอวี่จ้งเจินเอาไว้ เหมียวอี้ตามหลังหลุ่มอยู่ตลอด เมื่อถึงแต่ละจุดที่ไป อวี่จ้งเจินก็จะหัวเราะอย่างร่าเริงเสมอ พูดคุยอย่างมีอัธยาศัยไมตรีดีกับคนจำนวนไม่น้อย แต่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้คุยกับเหมียวอี้สักคำ ทำเหมือนไม่รู้จักเหมียวอี้ จนกระทั่งจากไปก็ไม่ได้สบตากับเหมียวอี้อีกเลย
เหมียวอี้อยากจะพูดคุยกับเขาดีๆ อยากจะอาศัยบารมีท่านหัวหน้าภาคสักหน่อย ต่อไปจะได้อยู่ที่นี่ได้สะดวก แต่จนใจที่คนตำแหน่งสูงกว่าเขาล้อมอวี่จ้งเจินไว้หมดแล้ว ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีสิทธิแม้แต่จะเข้าใกล้ หลังจากขอให้คนไปรายงานแล้ว อวี่จ้งเจินก็ไม่ยอมเจอเขาเลย เหมือนจงใจจะแบ่งแยกความสัมพันธ์ให้ชัดเจน คำว่า ‘น้องชาย’ ที่พออ้าปากก็เอ่ยเรียกตอนอยู่ตำหนักคุ้มเมืองโดนสุนัขกินไปหมดแล้ว
ท่านผู้ตรวจการตรวจตราไปรอบหนึ่งแล้วไม่พบปัญหาอะไร หลังจากอวี่จ้งเจินไปแล้ว พวกเนี่ยอู๋เซี่ยวก็กลับมาที่กองมังกรดำ
มู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงต่างคนต่างนำลูกน้องสิบคนมารายงานตัวในวันถัดไป ในลานบ้านชั่วคราวของเหมียวอี้ ทั้งสองกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “คารวะผู้บัญชาการใหญ่!”
นับว่ายังมีท่าทีเกรงใจอยู่บ้าง ก่อนที่ทั้งสองจะมา โป๋เยวก็เคยย้ำเตือนพวกนางแล้ว ว่าแม่ทัพภาคไม่ค่อยพพอใจพวกนาง มีเจตนาที่จะถอดพวกนางออกจากตำแหน่ง เขาใช้ความพยายามไปเยอะมากเพื่อที่จะปกป้องทั้งสองเอาไว้ ยังยังเลื่อนตำแหน่งให้หนึ่งขั้นด้วย การสร้างความดีความชอบให้ตัวเองนั้นไม่ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเน้นตักเตือนว่า หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คนที่จะไปมีเรื่องด้วยได้ง่ายๆ
ที่จริงตอนที่รู้ว่าจะต้องมาอยู่กับเหมียวอี้ ทั้งสองก็กลัวนิดหน่อย เป็นเพราะชื่อเสียงของ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ โด่งดังไปถึงข้างนอก อำนาจเล็กน้อยที่หนุนหลังพวกนางอยู่ เกรงว่าจะไม่อยู่ในสายตาหนิวโหย่วเต๋อเลยจริงๆ มีคนที่มีภูมิหลังตั้งมากมายเท่าไรที่โดนเจ้าเวรนั่นตัดหัวไป เรียกได้ว่าไปที่ไหนก็ฆ่าที่นั่น คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว
ทั้งสองเองก็ไม่ใช่คนโง่ วางแผนไว้ว่าจะทำตัวว่านอนสอนง่ายไปสักระยะก่อน และแน่นอน ทั้งสองก็มีจิตใจที่แสวงหาความก้าวหน้าเช่นกัน ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่มีใครบ้างที่ไม่อยากเป็น ทุกอย่างล้วนต้องรอให้พวกนางยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคงก่อน มีรากฐานของตัวเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ผู้หญิงสวยมักจะมีความมั่นใจในตัวเองอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าสู้กับคนต่ำทรามอย่างสวีถังหรานแล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไร
พอทั้งสองเข้ามา พวกเหมียวอี้ก็มองประเมินศีรษะจดเท้าอย่างละเอียด พบว่าสองคนนี้เป็นสาวสวยที่งามหยาดเยิ้มจริงๆ แต่ละคนหน้าตาดุจภาพวาด ผิวกายขาวดุจหิมะ เรือนร่างก็มีส่วนเว้าส่วนโค้ง เห็นแล้วทำให้พึมพำในใจว่า ‘โป๋เยว เจ้านั่นช่างน่าสนใจจริงๆ’
หยางชิ่งเหล่ตามองเหมียวอี้ เขาเองก็ได้ข่าวผู้หญิงสองคนนี้มาแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะรับมือกับสองคนนี้อย่างไร สามารถแส่หาเรื่องที่ธงพยัคฆ์ดินได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่รักษากฎระเบียบอะไร ที่สำคัญคือเหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนดีมีเมตตาเหมือนกัน ไม่ยอมให้พวกลูกน้องทำซี้ซั้ว คาดว่าไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องเกิดเรื่องขึ้นอีก
“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ผายมือ
จากนั้นมู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหงก็ยื่นหลักฐานแสดงตัวตนให้เหมียวอี้ตรวจสอบ。
หลังจากตรวจสอบตัวตนของทั้งสองแล้ว เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ “ทั้งสองคนมาที่นี่ได้ นับว่าเป็นการเพิ่มทัศนียภาพให้ธงพยัคฆ์ดำจริงๆ แต่ช่วยไม่ได้ที่ข้ายังมีงานรัดตัว ตอนนี้ยังอยู่ด้วยไม่ได้”
“มิบังอาจรบกวนผู้บัญชาการใหญ่” ทั้งสองตอบด้วยรอยยิ้มออดอ้อนพร้อมกัน
เหมียวอี้เอียงหน้าบอกว่า “สวีถังหราน รองผู้บัญชาการทั้งสองเพิ่งมาใหม่ เจ้าพาพวกนางสองคนไปทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ธงพยัคฆ์ดำเถอะ อย่าเมินเฉยพวกนาง!”
หลังจากพูดคุยกันตามมารยาท สวีถังหรานก็เชิญทั้งสองออกไปอย่างร่าเริง แล้ววันต่อๆ มาสวีถังหรานก็อยู่เป็นเพื่อนตลอด เจ้าหมอนี่ประจบสอพลอได้เก่ง ปะเหลาะคนผู้หญิงสองคนนี้มีความสุขมาก…
ที่ตำหนักดาราจักร มีเสียงหัวเราะเบาๆ ที่มีอำนาจบารมีดังขึ้นอีกครั้ง
ซือหม่าเวิ่นเทียนยืนยิ้มอยู่เบื้องล่างโดยไม่พูดอะไร
“เลือกคนตายสองคนไปเป็นผู้ช่วย เหอะๆๆ เขาก็ทำได้เนอะ เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นผู้บังคับบัญชาที่เลอะเลือนขนาดนี้…” ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องบนถือแผ่นหยกพลางส่ายหน้าไม่หยุด จากนั้นก็หัวเราะอีก ท่าทางเหมือนกลั้นขำไม่ไหว “ลูกลิงน้อยตัวนี้ช่างออกนอกลู่นอกทางจริงๆ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มตอบว่า “ทำเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนไปหน่อย ฉุกละหุกเกินไป ทำให้เกิดเรื่องน่าขำอย่างเลี้ยงไม่ได้”
“จุดด่างพร้อยไม่อาจปิดบังหยกงาม[1]!” จู่ๆ ประมุขชิงก็กล่าวอย่างกระชุ่มกระชวย โยนแผ่นหยกในมือบนโต๊ะยาว “มีจุดบกพร่องสิถึงจะปกติ สมบูรณ์แบบเกินไปจะมีปัญหาแน่นอน ใช้เวลาสองวันก็ควบคุมธงพยัคฆ์ดำได้แล้ว พอลงสนามก็ใช้วิธีการที่รวดเร็วปานฟ้าผ่าฆ่าจนทุกคนฉุกละหุกรับมือไม่ทัน ทั้งกล้าหาญและมีแผนการ เด็ดขาดที่สุด ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ลงสนามเล่นได้อย่างสวยงาม เรียกได้ว่าพลิกสถานการณ์ ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
เป็นการประเมินค่าที่สูงมากจริงๆ! ซือหม่าเวิ่นเทียนแอบตกตะลึง นานแล้วที่ไม่ได้ยินฝ่าบาทเอ่ยชมใคร แต่จะว่าไปแล้ว พอได้เห็นข่าวนั้น เขาก็รู้สึกอัศจรรย์ใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้หลายปีที่วางหมากข้างกายเหมียวอี้ไม่ได้ เขาก็รู้สึกว่าไม่ปลอมแล้ว จึงกุมหมัดคารวะพร้อมพูดประจบเยินยอแบบพอประมาณ “เป็นฝ่าบาทที่ปราดเปรื่องมองคนออก!”
“หลานสาวคนนั้นของอิ๋งจิ่วกวง ให้เงื่อนไขที่เหมือนกันแล้ว ผู้ช่วยที่พาไปด้วยก็มีศักยภาพเต็มที่กว่า ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ประมุขชิงถาม
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “นี่ก็คือปัญหาของลูกหลานผู้มีอำนาจ สายตาสูงถึงยอด มองไม่เห็นใครอยู่ในสายตา พอไปถึงก็คิดจะใช้วิธีการที่แข็งกร้าวเลย ถ้าไม่ใช่เพราะข้างกายนางมีคนที่ตระกูลจัดหาให้อยู่ด้วย ทำให้ตระกูลนางรู้สถานการณ์เบื้องลึกล่วงหน้าแล้วหยุดยั้งได้ทัน ก็แทบจะทำให้ธงพยัคฆ์น้ำเงินเกิดการก่อกบฏแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ตอนนี้กำลังอดทนครุ่นคิดว่าจะลงมืออย่างไร แต่ก็ถูกถ่วงเวลาไว้แล้วเช่นกัน ตอนนี้เกรงว่าจะยังไม่มีเวลาไปหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อขอรับ” ในใจแอบทอดถอนใจ อยู่ดีไม่ว่าดี ดึงดันจะออกมาประลองให้ได้ เลยโดนจับโยนออกไปเหมือนเป็นหมากให้เปรียบเทียบเสียเลย
“นี่ก็คือความแตกต่าง!” ประมุขชิงกล่าวเหน็บแนม แล้วถามอีกว่า “อิ๋งจิ่วกวงเที่ยวก่อเรื่องวุ่นวาย ตอนหลังไม่ได้ยื่นมือเข้าไปแทรกจริงเหรอ?”
“ภายนอกไม่ได้ยุ่งแล้วจริงๆ บอกว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ให้นางหนูนั่นได้รับบทเรียนยาวๆ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว
ประมุขชิงบอกว่า “แจ้งไปทางนั้นด้วย ว่าอย่าทำให้นางตาย ที่นางหนูนั่นเย่อหยิ่งจองหองถือเป็นเรื่องดี เดี๋ยวต่อไปหาเรื่องที่ทำลายงานของตระกูลอิ๋งให้นางทำ กระตุ้นความหยิ่งผยองของนาง จะต้องน่าสนุกมากแน่นอน”
ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มเจื่อน “ยั่วให้อิ๋งจิ่วกวงโมโห เกรงว่าคงจะไม่ปล่อยนางไปแน่”
ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พวกในวังที่พูดอะไรก็เชื่อฟังข้าเห็นจนเลี่ยนแล้ว หาคนที่เจ้าอารมณ์มาเปลี่ยนรสชาติหน่อยก็ดีเหมือนกัน ได้ยินว่านางหนูนั่นหน้าตาสวย ถ้าอิ๋งจิ่วกวงไม่ปล่อยนางไปจริงๆ เจ้าก็พานางหนูนั่นเข้าวังมาแล้วกัน ข้าจะรับนางเป็นสนม ให้ตระกูลอิ๋งตั้งใจให้ความสำคัญสักหน่อย…ควรจะหาคู่ต่อสู้ที่มีน้ำหนักให้เฉิงอวี่สักคน ภรรยาที่เป็นคู่ที่ชีวิตของข้าจะเอาแต่คิดถึงผลประโยชน์ของตระกูลฝ่ายตัวเองได้อย่างไรล่ะ”
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับวังหลัง ซือหม่าเวิ่นเทียนก็หุบปากทันที เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจ จ้านหรูอี้ เด็กสาวคนนั้นถือว่าถูกกำหนดโชคชะตาแล้ว…
ดาวหยกงาม หอสามรากฐาน ลูกชายทั้งสามของตระกูลโค่วยืนอยู่เบื้องล่าง
พอฟังรายงานจากโค่วเหมี่ยนเสร็จ อ๋องสวรรค์โค่วที่นั่งบนเก้าอี้และใช้สองมือวางบนท้องพร้อมใช้นิ้วเคาะจังหวะก็พลันลืมตา เขาหยุดเคาะนิ้วแล้ว จ้องมองเบื้องล่างพร้อมถามเสียงต่ำว่า “ลูกสาม เจ้ารู้ข่าวของทางหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้ยังไง อย่าบอกนะว่าเจ้ายื่นมือเข้าไปในหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้ว?”
โค่วเหมี่ยนตกใจทันที รีบโบกมือบอกว่า “เปล่าขอรับ เป็นเพราะข่าวแพร่ออกมาแล้ว ไม่ใช่ความลับอะไรแล้ว ไปสืบนิดหน่อยก็รู้แล้วขอรับ”
ผู้เฒ่าถังโค้งตัวเล็กน้อยข้างกายอ๋องสวรรค์โค่ว “พอเห็นแบบนี้แล้ว ก็นับว่าประเมินความสามารถของเจ้าเด็กนั่นต่ำเกินไป ทหารนับหมื่นพันหาได้ง่าย ขุนพลหนึ่งเดียวหายากยิ่ง ถ้ารู้แต่แรกแล้วจ่ายมากๆ หน่อยก็คุ้ม เขาเป็นคนที่ตระกูลโค่วดึงขึ้นมาจากน้ำ แต่กลับโดนประมุขชิงชุบมือเปิบ น่าเสียดายไปหน่อย!”
อ๋องสวรรค์โค่วพยักหน้า เคาะนิ้วที่วางพาดบนหน้าท้องต่อไป พร้อมบอกว่า “น่าเสียดายจริงๆ!”
…………………………
[1] จุดด่างพร้อยไม่อาจปิดบังหยกงาม 瑕不掩瑜 อุปมาว่า จุดด่างพร้อยเล็กๆน้อยๆ ไม่สามารถจะบดบังจุดเด่นได้